บทที่ 244.3 อยู่เบื้องหน้ากองทัพที่เกรียงไกร ข้าดื่มเหล้าหนึ่งคำ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 244.3 อยู่เบื้องหน้ากองทัพที่เกรียงไกร ข้าดื่มเหล้าหนึ่งคำ โดย ProjectZyphon

ในตรอกหนีผิง ความคิดนับร้อยประดังเข้าหาผู้เฒ่านายพลเอกสกุลเฉา แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ แต่ก็ไม่เคยขาดการคบค้าสมาคมกับยอดฝีมือบนภูเขา ทว่าการได้เห็นเทพเซียนตีกันอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดินกับตาตัวเองแบบนี้กลับมีน้อยครั้ง เฉาเม่าผู้ตรวจการงานเตาเผาหลานสายตรงรุ่นนี้ของตระกูลเฉาเอ่ยถาม “ท่านบรรพบุรุษ หากท่านต้องผิดใจกับอริยะของที่แห่งนี้ด้วยสาเหตุนี้?”

เฉาซีแค่นเสียงหยัน “เอาชนะเทียนจวินลัทธิเต๋าขอบเขตสิบสองของอุตรกุรุทวีปไม่ได้ ข้าผู้อาวุโสจะยังเอาชนะขอบเขตสิบเอ็ดคนใหม่ของแจกันสมบัติทวีปไม่ได้อีกงั้นหรือ? เฉาจวิ้นทำให้ตระกูลเฉาขายหน้าได้ แต่ข้าผู้อาวุโสไม่มีทางทำให้ผู้ฝึกตนของนาตยทวีปต้องขายหน้า!”

บัดนี้นายพลเอกสกุลเฉาและเฉาเม่าผู้ตรวจการถึงเพิ่งจะตระหนักได้อย่างแท้จริงว่า เหตุใดบรรพบุรุษที่ดูเหมือนจะจิตใจดีผู้นี้ถึงสามารถเป็นคนเฝ้าพิทักษ์หอพิทักษ์เมืองที่อยู่ริมทะเลแห่งนั้นได้

ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของตรอกหนีผิง “ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู?”

เฉาซีแสยะปาก “ได้สิ เจ้าเลือกสถานที่มาเลย ข้าเลือกเวลา!”

ชายฉกรรจ์ที่ออกจากร้านกระบี่มาเอาเรื่องกล่าวอย่างไม่ลังเล “กลางภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกมีเนินดินซึ่งอยู่ในรัศมีร้อยลี้ ไม่มีผู้คน ตอนนี้ยังมีเขตอาคมที่ต้าหลีสร้างเอาไว้ มากพอที่เจ้าและข้าจะต่อสู้จนรู้แพ้รู้ชนะ”

เฉาซีพยักหน้ารับอย่างแรง “ตกลง อีกหนึ่งร้อยปีค่อยตีกัน!”

หร่วนฉงอึ้งค้าง ก่อนจะถ่มน้ำลายลงบนพื้นหนักๆ หนึ่งทีแล้วหมุนตัวเดินจากไป

เฉาเม่ายกมือปิดหน้า

นายพลเอกสกุลเฉาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

 เฉาซีค้อนประหลับประเหลือก “ทำไม? นี่เรียกว่าต่อสู้ด้วยปัญญา พวกเจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”

เฉาซีเดินนำเข้าไปในบ้านของตัวเองก่อน ปู่หลานที่เดินตามมาด้านหลังกำลังจะเดินตามเข้าไปข้างใน แต่ประตูบ้านกลับปิดดังปัง

เฉาเม่าและปู่ของเขาที่เป็นนายพลเอกต้าหลีหันมายิ้มจืดให้กัน ได้แต่ออกจากตรอกหนีผิงไปยังที่ว่าการจวนผู้ตรวจการ ปรึกษากันถึงแผนการขั้นต่อไปของตระกูลอย่างลับๆ

มรสุมทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปก่อตัวขึ้นแล้ว สถานการณ์ส่งผลดีต่อราชสำนักต้าหลี แน่นอนว่ายิ่งลงสนามเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ผลประโยชน์มหาศาลมากเท่านั้น

แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้สกุลเฉายังมีข่าวดีใหญ่เทียมฟ้า บรรพบุรุษเฉาซีจะอยู่ในแจกันสมบัติทวีปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง เฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์จะเข้าร่วมกองทัพชายแดนของต้าหลี คิดดูแล้วฮ่องเต้คงจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ควันธูปนี้ไม่มากก็น้อย ในอนาคตอีกร้อยปี การที่สกุลเฉาจะกดหัวข่มทับสกุลหยวนที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตในราชสำนักได้อย่างมั่นคงก็คือสถานการณ์ที่แน่ชัดแล้ว

……

หลังจากที่ลู่เฉินนักพรตเต๋าสวมกวานดอกบัวมาเยือนครั้งหนึ่ง ผู้เฒ่าแซ่ชุยในเรือนไม้ไผ่ที่สวมผ้าป่าน เปลือยเท้าเดินอย่างเคยชินก็เปลี่ยนนิสัยใหม่ เปลี่ยนมาสวมผ้าชุดเขียวของบัณฑิต ทำไม้เท้าไม้ไผ่ไว้ใช้เวลาเดินให้ตัวเองชิ้นหนึ่ง สวมรองเท้าพื้นไม้หนึ่งคู่ มักจะลงจากเขาไปซื้อตำราโบราณและข้าวของเครื่องใช้ในห้องหนังสือมาเป็นประจำ จัดชั้นสองของเรือนไม้ไผ่จนเป็นเหมือนห้องหนังสือของตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้ เวลาอยู่ว่างๆ ก็มักจะจับพู่กันขึ้นเขียนตัวอักษร

ทำเอาเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่เห็นอยู่ในสายตาหันมามองหน้ากัน เข้าใจผิดนึกว่าธาตุมารเข้าแทรกผู้เฒ่า ภายหลังเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูได้เห็นภาพเขียนตัวอักษรที่เลิศล้ำของผู้เฒ่า จึงมักจะพูดคุยกับผู้เฒ่าเป็นประจำ นั่นถึงได้ค้นพบว่าที่แท้ผู้เฒ่าคือผู้มากความรู้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นพิณ หมากล้อม พู่กันจีนหรือภาพวาดก็ล้วนเชี่ยวชาญมีฝีมือเป็นเอก สำหรับความรู้ของระบบลัทธิขงจื๊อก็ยิ่งลึกล้ำ

เด็กชายชุดเขียวเป็นคนประเภทไม่ใส่ใจใครทั้งนั้น แถมยังรักตัวกลัวตาย คิดอย่างเดียวว่าหากผู้เฒ่าตั้งใจฝึกวรยุทธ์ให้ดี กลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ที่มีวรยุทธ์สูงส่งในฟ้าดินน้อยๆ แห่งนี้ ตนถึงจะสบายใจ จึงมักจะคอยพูดหว่านล้อมแบบอ้อมๆ กับผู้เฒ่าว่า เขตการปกครองหลงเฉวียนคือสถานที่ที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด พร่ำพูดว่าสถานการณ์ในยุทธภพของต้าหลีแปลกประหลาดอย่างมาก ต้องอาศัยตบะขั้นสูงสุดถึงจะสยบพวกคนถ่อยได้

น่าเสียดายก็แต่ผู้เฒ่าไม่สนใจเจ้าหมอนี่แม้แต่น้อย อย่างมากก็แค่คุยเล่นกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่มักจะมาสอบถามขอความรู้ สำหรับคำว่าวิถีวรยุทธ์ ดูเหมือนเขาจะโยนมันลงพื้นแล้วไม่คิดจะเก็บขึ้นมาอีก เด็กชายชุดเขียวจนใจเป็นอย่างยิ่ง คร่ำครวญว่าขอร้องคนอื่นไม่สู้พยายามด้วยตัวเอง จึงได้แต่มุมานะฝึกตนต่อไป พยายามอย่างสุดกำลังในการย่อยหินดีงูชั้นเยี่ยมสองก้อนที่กลืนลงท้องไป

หมู่นี้เว่ยป้อทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือที่เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการต้อนรับขับสู้แขกที่มาเยือน แต่ก็ยังคอยมาที่เรือนไม้ไผ่เป็นระยะ เฝ้ามองบ่อน้ำขนาดเล็กที่โยนเมล็ดพันธ์ดอกบัวม่วงทองดอกหนึ่งลงไป

ตอนนั้นเฉินผิงอันยังฟังคำแนะนำของเว่ยป้อ ในเมื่อเขาเป็นเจ้าของภูเขาลั่วพั่ว นอกจากทิ้งเมล็ดพันธ์ดอกบัวม่วงทองเมล็ดนั้นไว้ในเรือนไม้ไผ่แล้ว เขายังทิ้งตราประทับชิ้นหนึ่งไว้เพื่อใช้เป็นวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะแห่งภูเขาและแม่น้ำ ตราประทับชิ้นนั้นก็คือ ‘เฉินสืออี’ (เฉินสิบเอ็ด) ที่ฉีจิ้งชุนเป็นผู้แกะสลัก ตราประทับชิ้นนี้ไม่มีความลี้ลับใดๆ เป็นเพียงแค่ความคาดหวังต่ออนาคตอันดีงามที่ฉีจิ้งชุนมอบให้แก่เฉินผิงอันเท่านั้น

เหนือขอบเขตปลายทางขอบเขตที่สิบของวิถีวรยุทธ์ ก็คือเทพแห่งการต่อสู้ของโลก สามารถยืนเคียงไหล่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสูงสุดในใต้หล้าได้แล้ว

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเกินกว่าสิ่งใด เหนือกว่าตำราที่ปีนั้นเด็กหนุ่มชุยฉานมอบไว้ให้นางดูแล ทุกๆ วันนางจะต้องแอบหยิบตราประทับอันน้อยที่นายท่านของนางมอบให้ออกมา ใช้ผ้าแพรเช็ดอย่างละเอียดและตั้งใจสามเวลาเช้า กลางวันและเย็น ไม่ว่าเด็กชายชุดเขียวจะหลอกล่ออย่างไร นางก็ไม่มีทางยอมให้เขาแตะแม้แต่ปลายเล็บ

ตอนนี้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่มีชาติกำเนิดจากหอจือหลันแคว้นหวงถิงได้อาศัยหินดีงูที่เฉินผิงอันมอบให้ฝ่าธรณีประตูสุดท้ายของห้าขอบเขตล่าง เลื่อนสู่ขอบเขตแรกของห้าขอบเขตกลางอย่างขอบเขตถ้ำสถิตไปแล้ว หลังจากนี้ก็คือขอบเขตเจ็ดชมมหาสมุทร ขอบเขตแปดประตูมังกร ขอบเขตเก้าโอสถทอง ขอบเขตสิบก่อกำเนิด มหามรรคายังอีกยาวไกล ไกลเกินกว่าจะเอื้อมมือคว้าได้ถึง

เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเด็กชายชุดเขียวที่มีขอบเขตชมมหาสมุทรซึ่งจู่ๆ ก็ฮึกเหิมอยากพัฒนาก้าวหน้า เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูกลับปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติมากกว่า ทุกวันนอกจากจะทำความสะอาดจนเรือนไม้ไผ่ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ดแล้ว ก็จะพลิกเปิดตำราหาความรู้ จิตใจผ่อนคลายเป็นสุข เมื่อเทียบกับงูน้ำแม่น้ำอวี้เจียงที่มีนิสัยดุดัน งูหลามไฟจากหอหนังสือตนนี้จึงดูใจเย็น สบายๆ มากกว่า

ดังนั้นตอนนี้จึงกลับกลายเป็นว่าเด็กชายชุดเขียวเป็นฝ่ายรังเกียจที่นางโง่เขลาเกียจคร้าน ไม่รู้จักแสวงหาความก้าวหน้า

คืนวันนี้เด็กชายชุดเขียวเข้าฌานฝึกตนอยู่ริมหน้าผา เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก ผู้เฒ่าแซ่ชุยเดินลงจากเรือนไม้ไผ่ หยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งข้างเด็กหญิง เอ่ยเบาๆ ว่า “สกุลชุยอยู่มาพันปี เป็นตระกูลบัณฑิตผู้มีความรู้อันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป แต่ก็ยังไม่สามารถสั่งสอนอบรมคนให้ฉลาดเฉลียวได้อย่างงูหลามไฟเช่นเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า เรื่องของโชควาสนานั้นแข่งขันกันไม่ได้จริงๆ”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูยิ้มรับอย่างว่าง่าย เอ่ยถามว่า “ท่านปู่ชุย ท่านว่าตอนนี้นายท่านของข้าฝ่าทะลุขอบเขตหรือยัง?”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งข้าผู้อาวุโสเป็นคนปูรากฐานให้เอง ไหนเลยจะฝ่าไปได้ง่ายขนาดนั้น ตอนนี้ยังเร็วเกินไป ไม่แน่ว่าไปถึงนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้สุดแล้ว ขอบเขตของเฉินผิงอันก็ยังแน่นิ่งไม่ขยับ ติดอยู่บนคอขวดของขอบเขตสาม ทุกวันเอาแต่ดื่มเหล้าดับทุกข์ จากนั้นก็กลายมาเป็นผีขี้เหล้าที่ปณิธานถดถอย”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูบ่นเสียงเบา “วิชาหมัดของนายท่านข้า ถือว่าท่านเป็นคนสอนให้ครึ่งหนึ่ง หากนายท่านไม่เลื่อนขอบเขต ท่านจะยังมีความสุขอยู่ได้อย่างไร?”

ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าน่ะไม่ใช่คนบนวิถีวรยุทธ์อย่างพวกเรา จึงไม่รู้น้ำหนักของคำกล่าวที่ว่า ‘ขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก’ ตอนนั้นหมัดเดียวของข้าผู้อาวุโสก็สามารถฆ่าซุนซูเจียนข้ารับใช้สกุลชุยที่เป็นขอบเขตหกขั้นสูงสุดได้ โดยที่ใช้แค่ความสามารถของขอบเขตห้าเท่านั้น ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ก็เพราะว่ารากฐานของผู้ฝึกยุทธ์มีหนาบาง หากวางรากฐานไว้ไม่ดี ก็เหมือนหอสูงที่พอถูกลมพัดก็ส่ายโงนเงน หากปูรากฐานไว้ดี นั่นก็เป็นเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน ลมพัดมาเล็กน้อยไม่อาจนับเป็นอะไรได้ ก็แค่คันๆ เท่านั้น”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกล่าวอย่างกลัดกลุ้ม “ข้างกายนายท่านข้าไม่มีคนคอยดูแล ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องทำด้วยตัวเอง จะถ่วงเวลาการฝึกหมัดของเขาหรือเปล่า?”

ผู้เฒ่าปรายตามองแผ่นหลังของเด็กชายชุดเขียว ก่อนจะดึงสายตากลับมามองเด็กหญิงตัวน้อยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ แล้วทอดถอนใจพูดว่า “สามารถทำให้พวกเจ้าสองคนมาอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ทะเลาะกัน ก็ถือว่าเฉินผิงอันอบรมสั่งสอนได้ดี ไม่รู้ว่าวันหน้าเมื่อครอบครัวใหญ่โตกิจการรุ่งเรืองแล้ว เฉินผิงอันจะยังคงปฏิบัติต่อทั้งคนและสิ่งของได้อย่างเป็นกลาง มีความยุติธรรมอย่างตอนนี้หรือไม่ กฎเกณฑ์ของตระกูลเล็กๆ ดีหรือไม่ดี กับขนบธรรมเนียมในตระกูลใหญ่ถูกต้องหรือไม่ หากต้องจัดการขึ้นมาก็เป็นคนละเรื่องกันเลย”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแหงนหน้า กล่าวอย่างน่ารักไร้เดียงสา “หากมีวันนั้นจริงๆ ท่านปู่ชุยช่วยนายท่านของข้าหน่อยได้หรือไม่?”

ผู้เฒ่าลูบศีรษะของงูหลามไฟน้อย “เรื่องในบ้านบางเรื่อง คนนอกช่วยไม่ได้”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนช้าๆ ยื่นนิ้วชี้ไปไกล “ลองจินตนาการดู หากมีวันนั้นจริงๆ เฉินผิงอันก่อตั้งสำนัก มีเจ้าและงูน้ำน้อย มีงูดำภูเขาฉีตุนที่ใต้ท้องมีเส้นสีทอง มีขาสี่ขางอกออกมาตัวนั้น มีภูเขามากมายขนาดนี้ หากวันหน้าภูเขาทุกลูกมียอดฝีมือเฝ้าพิทักษ์ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าคนที่รับเฉินผิงอันเป็นอาจารย์…และยังมีพวกเด็กๆ ที่เรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์อาน้อย จากนั้นพวกเจ้าก็กลายเป็นตระกูลเซียนในสายตาของคนบนโลก มีผู้อาวุโสในสำนัก ต้องรับลูกศิษย์ เฉินผิงอันมีคนใต้บังคับบัญชาสิบคน ร้อยคนหรืออาจถึงพันคน หมื่นคน หากคนในครอบครัวตัวเองเกิดทะเลาะกันขึ้นมา จะหน้ามือหรือหลังมือก็เป็นเนื้อ เฉินผิงอันไม่สามารถใช้หนึ่งหมัดหนึ่งกระบี่แก้ไขปัญหาได้แล้ว ควรจะจัดการอย่างไร?”

ตอนอยู่หอจือหลัน เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเคยอ่านตำราประวัติศาสตร์ของแต่ละแคว้นมาจนปรุ รู้ดีถึงความยุ่งยากของปัญหาข้อ แม้แต่อารมณ์จะแทะเมล็ดแตงก็ไม่เหลืออีกต่อไป

ผู้เฒ่าแซ่ชุยเอ่ยยิ้มๆ “อันที่จริงเจ้าก็ไม่ต้องกังวลให้มากไป เฉินผิงอันมีข้อดีอยู่ข้อหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สังเกตเห็น…”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูรออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินประโยคถัดไปจากผู้เฒ่า จึงเอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่ “ท่านปู่ชุย นายท่านของข้ามีข้อดีมากมายขนาดนั้น ยังมีข้อไหนที่ข้าไม่รู้อีกหรือ?”

ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ “นังหนูน้อย เจ้าน่ะมีข้อหนึ่งที่ดีมากจริงๆ นั่นคือการประจบเอาใจ โดยเฉพาะเวลาประจบนายท่านของเจ้าที่เป็นดั่งสายฝนฤดูใบไม้ผลิหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต!”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเขินอายเล็กน้อย คิดในใจว่าตนไม่ได้ประจบสักหน่อย นายท่านของนางดีแบบนั้นจริงๆ

ผู้เฒ่านั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ พูดด้วยรอยยิ้มไม่เล่นแง่อีกต่อไป “เฉินผิงอันเป็นคนที่พูดง่ายมาก ทุกคนที่สนิทกับเขามักจะมองข้อดีนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน แต่สักวันหนึ่ง กับเรื่องบางเรื่อง เฉินผิงอันจะกลายเป็นคนที่ไม่ได้พูดง่ายอีกต่อไป หรืออาจถึงขั้นพูดยากที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นเรื่องประหลาดจะเกิดขึ้น ทุกคนจะรู้สึก…ร้อนตัวและหวาดกลัว และจะไม่มีทางกล้าตอบโต้อะไรกลับไป”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูรีบยกสองมือขึ้นประกบกัน “ข้าไม่อยากเห็นนายท่านโกรธเลย”

ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งครั้ง

ครั้งหนึ่งหลังจากที่เขาฆ่าคนนอกเรือนไม้ไผ่ เคยพูดกับเฉินผิงอันอย่างดุดันว่า “เจ้าจะเรียนหมัดกับข้า หรือจะเรียนรู้วิธีเป็นคนกับข้า”

นี่เป็นทั้งคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของผู้เฒ่า แล้วก็เป็นเพราะผู้เฒ่าที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครคิดว่าในด้าน ‘การเป็นคน’ นี้ไม่อาจโน้มน้าวเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมาได้

หากไม่เป็นเช่นนี้ แล้วผู้เฒ่าจะเต็มใจให้เฉินผิงอันเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาหมัดของตัวเองได้อย่างไร

คิดจะรับลูกศิษย์ก็ต้องรับคนที่ในอนาคตมีหวังว่าจะเหนือกว่าตัวเอง แค่คนเดียวก็เพียงพอ! หาไม่แล้วต่อให้รับลูกศิษย์ขอบเขตเก้า ขอบเขตสิบมาเป็นกลุ่ม แล้วอย่างไร? ก็ยังเป็นแค่มดไม่กี่ตัวภายใต้สถานการณ์ใหญ่อยู่ดีไม่ใช่หรือ?!

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูพลันถามอย่างขลาดกลัว “หากมีวันหนึ่งท่านปู่ชุยทำเรื่องที่ผิด แล้วนายท่านของข้าโกรธ ท่านจะกลัวหรือไม่?”

ผู้เฒ่าเขกมะเหงกใส่ศีรษะของเด็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินจากไปพลางพูดเสียงขุ่น “นังหนูนี่ไม่รู้จักพูดเลยจริงๆ!”

 เด็กชายชุดเขียวที่แอบเงี่ยหูฟังอยู่ตรงริมหน้าผามาโดยตลอดหันหน้ามายิ้มชั่วร้าย ยกนิ้วโป้งให้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแทะเมล็ดแตงอย่างอารมณ์ดี นี่ไม่ใช่ว่าข้าร้ายกาจ เป็นนายท่านของข้าต่างหากที่ร้ายกาจ

—–