บทที่ 207 หลงทางและถูกปิดล้อม

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 207 หลงทางและถูกปิดล้อม
ไม่ค่อยแตกต่างจากที่ฉีเฟยอวิ๋นคิดมากนัก แต่เดิมฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าผู้คนในตำหนักเฟิ่งอี๋ไม่ดีกับนาง แต่สิ่งที่หนานกงเย่ทำเป็นการกำเริบเสิบสานเช่นนั้น เป็นเพราะผู้คนในตำหนักเฟิ่งอี๋ขี้ขลาด และเก็บซ่อนเรื่องบางอย่างไว้

เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นวางแผนว่าจะไปเยี่ยมฮองเฮาและคารวะนาง แต่เมื่อถามป้าซีก็พบว่าฮองเฮาอยู่ที่ศาลบรรพชนและยังไม่ได้กลับมา

เมื่อนึกถึงสถานที่ที่ไร้ความปรานีเช่นนั้น ฮองเฮาก็คงจะแก่ตายอยู่ที่ศาลบรรพชน ฉีเฟยอวิ๋นไม่แปลกใจเลย

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นกลับไปที่ตำหนักเฟิ่งอี๋ นางก็ตรงกลับไปพักผ่อนไปที่ตำหนักด้านข้าง หลังจากเข้าไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ตรวจสอบบนเตียงแล้วโรยผงกำมะถันแดง จากนั้นก็นอนลงบนที่นอน

แต่เมื่อหลับฉีเฟยอวิ๋นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะฝัน ในความฝันแรกนางฝันเห็นหนานกงเย่นอนอยู่ในคุกคนเดียว โดยไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าและไม่มีข้าวกิน

ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ต้องเป็นหนานกงเย่ที่คิดถึงนางอยู่แน่ ๆ นางถึงฝัน

ฉีเฟยอวิ๋นเป็นหมอ และเคยศึกษาเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง นางศึกษาหัวข้อนี้ในชาติก่อน ในนั้นมีการทดลองที่พิสูจน์ว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์สามารถสื่อสารกับญาติ เพื่อน คนรัก และลูกได้

ตัวอย่างเช่น เมื่อนางงกำลังคิดถึงใครสักคน คนคนนั้นก็จะฝันถึงนาง

บางคนแม้กระทั่งในช่วงเวลาแห่งความตาย คนที่เกี่ยวข้องกับเลือดของนางบางคนก็จะฝันถึงอย่างไม่มีเหตุผล

ในแง่ของวิทยาศาสตร์ทุกคนเท่าเทียมกัน แต่ในหัวข้อศึกษาพวกเขา มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังศึกษาอยู่ไม่ใช่ความแตกต่างของเทววิทยา

นั่นเป็นความแตกต่างหรือไม่ ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่แน่ใจ แต่การฝันถึงหนานกงเย่อธิบายได้ว่าเป็นสถานการณ์หนึ่งที่หนากงเย่คิดถึงนาง

ฉีเฟยอวิ๋นนอนไม่หลับ นางลุกขึ้นนั่งอยู่สักพัก แล้วนอนหลับไปอีกครั้ง

คราวนี้ไม่คิดว่าซูมู่หรงก็จะมา

“หัวหน้า?”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่านางจิตใจไม่สงบหรือไม่ นางถึงได้ฝันว่าซูมู่หรงมาถึงที่นี่ และกลายเป็นหนึ่งในพระโอรสของบ้านเมืองนี้ เขาสวมเสื้อคลุมสีดำขอบทอง และยืนมองนางอยู่ตรงหน้า

นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แล้วอีกฝ่ายก็หายไป

หลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็นอนไม่หลับอีก หลังจากที่นั่งมานาน ฉีเฟยอวิ๋นก็ขยับตัวเล็กน้อย และรู้สึกเย็นว่าฝ่ามือของนางเย็น ราวกับว่านางได้สัมผัสอะไรบางอย่าง

ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงงู นางก้าวถอยหลังไป แต่นางรู้สึกแข็งแกร่งและคุ้นเคย

ฉีเฟยอวิ๋นก้มลงมองไปที่สิ่งนั้น ที่แท้ก็เป็นปลอกหนังมีดทหทาร

ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจ และแตะหน้าผากของตัวเองว่านางฝันอยู่หรือไม่?

นางออกแรงบีบมันอย่างแรง และเจ็บจนเกือบจะร้องไห้ออกมา

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว เป็นไปไม่ได้ นี่คือมีดทหารของซูมู่หรง

ตอนที่พวกเขาเคลื่อนทัพอยู่ข้างนอก ทุกคนล้วนแต่มีมีดทหารอยู่ข้างกาย

แม้ว่ามีดทหารจะเหมือนกัน แต่ทุกคนก็ล้วนมีสัญลักษณ์ มีบางครั้งมีดทหารของซูมู่หรงจะถูกนำออกมาเปิดกระป๋อง ฉีเฟยอวิ๋นเห็นมันมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นเพียงแค่แวบแรกที่เห็น นางก็สามารถจำมันได้แล้ว

เมื่อเปิดปลอกหนังออก และดึงมีดทหารออกมา มีดนั้นคมและส่องประกายมาก

ด้านล่างของมีดทหาร มีรหัสประจำตัว 001

ฉีเฟยอวิ๋นลูบและมองดูรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ

มีดของซูมู่หรงมาอยู่ในที่ที่นางหลับได้อย่างไร

ฉีเฟยอวิ๋นลุกออกจากเตียงและเดินไปรอบ ๆ ห้อง นางนึกถึงสิ่งที่ซูมู่หรงเคยพูดตอนที่นั่งอยู่ในป่า มีดอยู่คนอยู่ มีดหายคนดับสูญ

หรือว่าซูมู่หรงตายแล้วจริง ๆ ?

แต่ถ้าเขาตายแล้ว ทำไมมีดถึงมาอยู่ที่นี่?

ฉีเฟยอวิ๋นพยายามนึกถึงครั้งก่อนตอนที่ฝันถึงซูมู่หรง เขาสวนชุดกาวน์สีขาวและกำลังศึกษาบางอย่างอยู่ หรือว่าว่าเขาจะอยู่ที่นี่ด้วย?

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้สนใจมากนัก เป็นเรื่องดีที่มีดทหารอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรมีดที่คมเช่นนี้ก็ไม่ทำขึ้นได้

ฉีเฟยอวิ๋นเก็บมีดและกลับไปพักผ่อน

ในคืนนี้ฉีเฟยอวิ๋นฝันถึงหนานกงเย่หลายครั้ง และทุกครั้งก็เห็นภาพเขาอยู่ในคุก

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นง่วงนอนมาหจนลืมตาไม่ขึ้น ในระหว่างทางที่นางไปเยี่ยมอ๋องตวน นางจึงหยุดพิงกำแพงเพื่อพักผ่อนสักครู่

หากไม่ใช่เพราะมีคนในวังเดินผ่านไปมา ฉีเฟยอวิ๋นก็คงจะหลับไม่ตื่น

หลังจากที่ไปเยี่ยมอ๋องตวนแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ออกมาจากตำหนักหวาหยาง และได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการลงโทษหนานกงเย่

เสด็จลุงได้ตรวจสอบแล้วว่าเพื่อสืบสวนคดีนี้ หนานกงเย่ได้ใช้วิธีการทรมานเพื่อให้รับสารภาพออกมา แต่สุดท้ายกลับทำให้หรงชินอ๋องถูกทรมานจนสิ้นพระชนม์

แต่หลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่หรงชินอ๋อง แม้ว่าหรงชินอ๋องจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องยากที่หรงชินอ๋องจะวางแผนเรื่องก่อกบฏ

ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ตรวจสอบจวนอ๋องเจ็ดอย่างละเอียด เป็นเพราะหรงชินอ๋องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบอกที่พักในระหว่างการเดินทางของอ๋องตวน จึงปิดการไต่สวนคดี

แต่เป็นเพราะหรงชินอ๋องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จวนอ๋องเจ็ดจึงอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี และทุกคนก็ถูกปล่อยออกมา

ส่วนท่านอ๋องคนอื่น ๆ ก็พ้นผิด

หนานกงเย่จัดการคดีได้ไม่ราบรื่น และบีบบังคับหรงชินอ๋องจนสิ้นพระชนม์ จึงถูกปลดจากการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และลงโทษตามกฎหมายหนึ่งปี

ฉีเฟยอวิ๋นรออยู่ที่หน้าตำหนักเฉาเฟิ่ง ไห่กงกงให้ขันทีมาส่งข่าวให้ฉีเฟยอวิ๋น

หลังจากที่ได้ฟังแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็จากไป

และขันทีก็รีบกลับไปบอกไห่กงกง

บางครั้งฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่าในวังแห่งนี้ช่างไร้ความปรานีจริง ๆ

หลังจากที่กลับมาถึงตำหนักเฟิ่งอี๋แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยทั้งวัน หนานกงเย่ถูกนำตัวเข้าไปในคุกแล้ว นางถูกกักตัวไว้ในตำหนักและห้ามออกไปไหน นี่คือพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้อย่างนั้นหรือ?

ก่อนหน้านี้ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจว่าเหตุใดแววตาของเฉินอวิ๋นชูถึงได้เศร้าสลดเช่นนั้น

แต่ในตอนนี้นางเข้าใจแล้ว เมื่อใช้งานเรา เราจะเป็นอาวุธ และเขาจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี แต่เมื่อไม่ต้องการเราแล้ว เราก็จะไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น

จากนั้นก็คิดว่าจะพาหนานกงเย่ออกมาได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นคนเหล่านั้นคงจะไม่ยอมเลิกราอย่างแน่นอน

ฉีเฟยอวิ๋นออกไปทานอาหารเย็น หลังจากที่ออกไปแล้ว นางก็เห็นจักรพรรดิอวี้ตี้เดินเข้ามาในตำหนักเฟิ่งอี๋ เมื่อเห็นจักรพรรดิอวี้ตี้ ฉีเฟยอวิ๋นก็ถอนสายบัว และยังคงต้องมีมารยาท

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นองค์จักรพรรดิ

ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร นางก็ไม่สามารถเอาจริงเอาจังได้

“หม่อมฉันคารวะฝ่าบาทเพคะ”

“ลุกขึ้นเถิด”

ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาจักรพรรดิอวี้ตี้ดูซูบผอมลง และเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักบำรุงฤทัย

หลังจากที่ตรวจสอบแล้วจะไปหาเขา แต่เขารอไม่ไหว จึงต้องเป็นฝ่ายมาเอง

แต่เมื่อเห็นท่าทีของฉีเฟยอวิ๋น จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ค่อนข้างรู้สึกละลายใจ

การให้หนานกงเย่ไปตรวจสอบนั้นเป็นความตั้งใจของเขา และเมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็ให้หนานกงเย่เข้าไปนั่งอยู่ในคุก

เขาเป็นจักรพรรดิที่น่าละายใจยิ่งนัก

“ช่วงนี้ข้านอนไม่ค่อยหลับ และตั้งใจมาที่นี่เพื่อให้พระชายาเย่ตรวจดูอาการ” หนานกงอวี้เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน และไม่ได้ถือตัว

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“เชิญฝ่าบาทเพคะ”

จักรพรรดิอวี้ตี้ยืนแขนให้ฉีเฟยอวิ๋น แล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ใช้สมาธิตรวจดู และแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ หากไม่กินยาพิษ เขาก็ไม่เป็นไร

ก่อนหน้านี้ที่ดื่มเลือดของนางก็ถือว่ามีประโยชน์

ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า:“ฝ่าบาททรงฝันมาก หม่อมฉันจะหาทางเพคะ”

จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอยู่นาน:“ข้าไม่ได้……”

“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากจะออกไปเดินเล่น หม่อมฉันทูลลาเพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นถอนสายบัวและเดินออกไป

ไห่กงกงรีบหันไปมอง และพบว่าพระชายาเย่ดูผิดหวัง

ไห่กงกงหันกลับไปมองจักรพรรดิอวี้ตี้:“ฝ่าบาท พระชายาเย่ยังเยาว์ และยังเป็นเด็กอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

“ไห่กงกง เจ้าช่วยพูดให้น้อยลงหน่อย”

“บ่าวไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ”

ไห่กงกงรีบคุกเข่าลง ราวกับว่าจักรพรรดิอวี้ตี้โกรธจริง ๆ และเดินออกไป

ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากตำหนักเฟิ่งอี๋ และเดินเล่นภายในวังจนกระทั่งมืด

เมื่อเงยหน้าขึ้นนางก็พบว่าตนเองเดินออกมาไกลแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ที่นางเดินมานี้ ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ต้องห้ามภายในวัง

ฉีเฟยอวิ๋นใจคอห่อเหี่ยว คนโชคร้ายทำอะไรก็โชคร้าย จะเคราะห์หามยามร้ายก็ช่าง ถึงอย่างไรนางก็เดินมาถึงตำหนักเย็นแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังและกำลังจะกลับไป แต่เมื่อหันหลังกลับมาก็มีแสงที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการสังหาร

และร่างกายของนางก็ถูกกระตุ้นการรับรู้ และรู้สึกว่ามีคนอันตรายกำลังรวมตัวกันเข้ามาหานาง ฉีเฟยอวิ๋นมองไปรอบ ๆ และหันไปมองข้างหลัง

แย่แล้ว นี่เป็นทางตัน และไม่มีทางไป

ฉีเฟยอวิ๋นคลำหาเข็มเงินและมีดทหารที่นำติดตัวมา

นางยิ้มไม่ออก ของสองสิ่งนี้ทำอะไรได้บ้าง?