ตอนที่ 242-1 ฉากโหมโรงก่อนองค์หญิงขึ้นครองราชย์

ชายาเคียงหทัย

เรื่อยไปจนถึงเกือบยามสี่ เยี่ยหลีเอนซบพิงหลับอยู่ในอ้อมแขนม่อซิวเหยาแล้ว องค์หญิงอันซีถึงได้ส่งคนมาเชิญแขกทุกท่านให้เข้าไปรวมกันที่วัง ถึงแม้จวบจนยามนี้แล้ว แต่ทุกคนยังมิได้กลับไปพักผ่อนที่จวนที่พัก กลับยังต้องเข้าวังไปร่วมหารือธุระ จึงทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้าง แต่ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น ก็มิอาจพูดว่าจะไม่ไปได้

ในใจทุกคนต่างรู้ดีว่า การต่อสู้ในครานี้ได้จบสิ้นลงแล้ว ฝ่ายที่ชนะ ดูท่าว่าจะเป็นองค์หญิงอันซี และทุกคนที่อยู่ที่นั่น ย่อมคิดอยากเข้าวังไปโดยทันที เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์ที่มากขึ้น

เดิมทีม่อซิวเหยาคิดอยากให้เยี่ยหลีกลับไปพักผ่อน แต่เมื่อเยี่ยหลีคิดถึงหนานจ้าวอ๋องที่ถูกซ่อนตัวไว้ในสักจุดในวัง จึงตัดสินใจที่จะเข้าวังไปด้วยอีกรอบหนึ่ง

ตำหนักใหญ่แห่งเดิมที่หนานจ้าวอ๋องเคยต้อนรับพวกเขา แต่ยามนี้คนที่อยู่บนตำหนักกลับเปลี่ยนคนเสียแล้ว องค์หญิงอันซียังคงอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวปักลายดอกไม้สีน้ำเงินตัวเก่า แค่เพียงบนชุดแต่งงานมีรอยเลือดสีแดงเข้มเปื้อนอยู่จำนวนไม่น้อย เมื่ออยู่ใต้แสงโคมไฟ ยิ่งทำให้ดูมีความเยือกเย็นและรังสีสังหารมากขึ้นหลายส่วน

ยามนี้ องค์หญิงอันซียืนอยู่ตรงด้านบนตำหนัก กดสายตาลงมองซูม่านหลินที่นั่งอยู่กับพื้นด้วยสภาพน่าเวทนา

“ดึกดื่นเช่นนี้แล้ว ยังเชิญทุกท่านให้มาเข้าวัง ช่างเสียมารยาทแล้วจริงๆ” องค์หญิงอันซีหันไปพยักหน้าให้เยี่ยหลี แล้วถึงได้หันไปเอ่ยขอโทษทุกคนที่เดินเข้ามาในตำหนัก

เหลยเถิงเฟิงยิ้ม “องค์หญิงไม่ต้องเกรงใจไป คืนนี้เกิดเรื่องขึ้นกะทันหัน แต่เมื่อเห็นองค์หญิงและพระสวามีปลอยภัยไม่เป็นอันใด ข้าก็วางใจแล้ว”

ผู่อายืนอยู่ด้านหลังองค์หญิงอันซี บนใบหน้าอ่อนเยาว์ มีคราบเลือดที่ไม่ทันได้เช็ดออกหลงเหลืออยู่ เห็นได้ชัดว่า เมื่อคืนนี้ ไม่ว่าเขาหรือองค์หญิงอันซี ต่างก็ผ่านการศึกที่ยากลำบากมาเช่นกัน

องค์หญิงอันซียิ้ม “ขอบคุณเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อที่เป็นห่วง”

เสนาบดีหลิ่วขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ เหตุใดถึงไม่เห็นหนานจ้าวอ๋องออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงอันซีขมวดคิ้วเรียว เอ่ยว่า “บอกตามตรง ตั้งแต่ข้ากลับเข้ามาที่วัง ก็ยังไม่พบเสด็จพ่อเลย ยามนี้กำลังให้คนออกตามหาอยู่ ซูม่านหลิน ตราคำสั่งขององครักษ์ในเมืองและในวังล้วนอยู่ในมือเจ้า เสด็จพ่ออยู่ที่ใด”

ซูม่านหลินที่สีหน้าย่ำแย่ เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ที่ไหน”

องค์หญิงอันซียิ้มเยาะ “ตราคำสั่งอยู่ในมือเจ้า เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเสด็จพอ่อยู่ที่ไหน เช่นนั้นเจ้าได้ตราคำสั่งมาได้อย่างไร”

ซูม่านหลินอึ้งไป แล้วก็เข้าใจความหมายขององค์หญิงอันซีอย่างรวดเร็ว นางต้องการนำเรื่องที่หนานจ้าวอ๋องหายตัวไป มายืนใส่หัวนาง! เรื่องนี้ ซูม่านหลินถือว่าถูกใส่ความเข้าให้จริงๆ นางไม่คิดเลยจริงๆ ว่าตนที่ระดมยอดฝีมือจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงและองครักษ์จากทั้งเมืองหลวงมาหมดแล้ว ก็จะยังเอาชนะองค์หญิงอันซีไมได้ เดิมทียังมีความหวังที่จะสังหารองค์หญิงอันซีเสียให้รู้แล้วรู้รอด แค่เพียงองค์หญิงอันซีตาย พวกลูกน้อยของนางก็จะกลายเป็นสัมภเวสีไร้นายที่สามารถจัดการได้ง่ายดาย ผู้ใดเลยจะรู้ว่า จู่ๆ ข้างกายนางจะมีองครักษ์ที่มีความสามารถในด้านการรบที่น่าเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่งปรากฏขึ้น อย่าว่าแต่จะฆ่านางเลย ตัวนางเองยังถูกคนที่องค์หญิงอันซีพามา บุกเข้าไปจับตัวมาได้จากในตำหนักธิดาเทพเสียด้วยซ้ำ

“เจ้าหมายความเช่นไร ตราคำสั่ง ท่านอ๋องย่อมเป็นคนให้ข้า!” ซูม่านลิ่นเอ่ยเสียงเข้ม

องค์หญิงอันซีก็ไม่รีบร้อย ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เสด็จพ่อจะมอบตราคำสั่งองครักษ์ในวังและตราคำสั่งทหารในเมืองให้กับเจ้าทั้งหมดหรือ เจ้ากำลังล้อเล่นอันใด”

ซูม่านหลินเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ หากเป็นยามปกติ หนานจ้าวอ๋องไม่มีทางมอบของสำคัญเช่นนี้ให้กับนางจริงๆ เพียงแต่ครานี้นางใช้วิธีการพิเศษบางอย่างที่ทำให้หนานจ้าวอ๋องเคลิบเคลิ้มจนยอมมอบตราคำสั่งให้กับนาง แต่ไม่ว่านางจะพูดเช่นไรว่าหนานจ้าวอ๋องเป็นผู้มองตราคำสั่งนี้ให้กับนางด้วยตนเอง ก็เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่อถือ คนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ล้วนเป็นคนที่มีอำนาจมหาศาลของแต่ละฝ่ายอยู่ในมือ ย่อมเข้าใจถึงความสำคัญของอำนาจและอำนาจทางการทหารเป็นอย่างดี คนที่เป็นถึงหนานจ้าวอ๋อง จะมอบของสำคัญเช่นนั้นให้กับธิดาเทพคนหนึ่งง่ายๆ ได้อย่างไร ต่อให้มีคนเชื่อ แต่ยามนี้นางก็พ่ายแพ้แล้ว หากหนานจ้าวอ๋องมิอาจปรากฏตัวช่วยนางได้ทันเวลา เรื่องจริงก็จะกลายเป็นเรื่องลวง เพียงแต่…ยามนี้หนานจ้าวอ๋องไปอยู่ที่ใดกันแน่

แน่นอนว่า ซูม่านหลินไม่มีทางรู้ว่า ในขณะที่นางเคลื่อนองครักษ์เกือบทั้งหมดไปบุกโจมตีตำหนักขององค์หญิงอันซีนั้น มีคนคนหนึ่งลอบเข้ามาช่วยเหลือคนในวัง ก่อนกลับไปยังได้ทำให้หนานจ้าวอ๋องสลบและจับเขาไปซ่อนไว้ หากนางรู้เรื่องนี้ ยามนั้นจะต้องไม่มีทางพาคนจำนวนมากเช่นนั้นไปเป็นแน่ จนทำให้ทั่วทั้งวังยามนี้ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหนานจ้าวอ๋องไปอยู่เสียที่ใด

องค์หญิงอันซีกดสายตาลงมองซูม่านหลินที่มีสภาพเวทนาแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ นัยน์ตาฉายแววรังเกียจ นางเหนื่อยหน่ายกับสตรีนางนี้เสียจริง ฐานะที่แท้จริงของซูม่านหลิน นางเริ่มเข้าใจดีมาหลายปีแล้ว ดังนั้นคราแรกที่ซูม่านหลินหาเรื่องเล่นงานนาง นางจึงอดทนและยอมถอยให้ แต่ไม่คิดว่านับวันนางจะยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่ทำให้นางทุกข์ใจที่สุดก็คือ เสด็จพ่อถึงขั้นมอบตราคำสั่งของทหารในเมืองอ๋องให้กับซูม่านหลิน หรือว่าเสด็จพ่อไม่ทรงคิดว่า หากนางมีอำนาจในการสั่งเคลื่อนพลทหารในเมืองแล้ว ก็เป็นไปได้มากที่ซูม่านหลินจะเล่นงานนางถึงตาย หรือว่า…ในใจเสด็จพ่อก็คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้?

“ซูม่านหลิน เจ้าสั่งเคลื่อนพลองครักษ์ในวังและในเมืองโดยพลการ บุกโจมตีตำหนักองค์หญิง ตั้งใจจะสังหารรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว เรื่องที่เสด็จพ่อหายตัวไป เจ้าก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับผิด เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด” องค์หญิงอันซีสูดหายใจลึกๆ เข้าปอด ก่อนเอ่ยถามเสียงขรึม

ซูม่านหลินไม่มีอันใดจะตอบ เพียงยิ้มเย็นๆ เอ่ยว่า “ยามนี้เจ้าชนะแล้ว เจ้าอยากพูดอันใดก็ย่อมพูดได้อย่างนั้นหรือ อันซี เจ้าอย่าได้เสเสร้งแกล้งทำอีกเลย เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าจับตัวท่านอ๋องไป แล้วมาโยนความผิดให้ข้า!”

องค์หญิงอันซีไม่นึกโกรธ เพียงยิ้มนิ่งๆ เอ่ยว่า “คืนนี้ข้าไปไหนมาบ้าง เจ้ามิได้รู้โดยละเอียดหรอกหรือ มีทหารนับพันนายของเจ้าคอยปิดล้อมและสะกัดข้าไว้ ข้าไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าใกล้วังหลวง อีกอย่าง…คนที่ดึงตัวองครักษ์กว่าครึ่งของวังหลวงไป มิใช่เจ้าหรอกหรือ องครักษ์วังหลวงมีหน้าที่รับผิดชอบสำคัญในการปกป้องวังหลวงและประมุขแห่งหนานจ้าว ต่อให้อยู่ในยามศึกก็มิอาจเกณฑ์คนไปใช้ได้ตามอำเภอใจ ซูม่านหลิน เจ้ายังไม่ยอมรับผิดอีกหรือ”

“ข้า…”ซูม่านหลินรู้ดีว่าตนเถียงสู้องค์หญิงอันซีไม่ได้ ด้วยเพราะนางได้ใจเกินไปจนลืมตัว ประมาทและประเมินศัตรูต่ำเกินไป เดิมทีนางคิดว่า ต่อให้องค์หญิงอันซีมีความสามารถเทียมฟ้าเพียงใด ก็มิอาจหลบหนีการปิดล้อมจากองครักษ์หลายพันนายกับยอดฝีมืออีกหลายร้อยนายไปได้ ดังนั้นยามที่นางทำเรื่องนี้ จึงไม่เคยคิดที่จะต้องกลับมาปกปิดความผิดมาก่อน ยามนี้เมื่อพ่ายแพ้เสียแล้ว จึงไม่เหลือพื้นที่ให้กลับตัวได้อีก

“หลีอ๋อง…” จะทำอย่างไรได้ ซูม่านหลินได้แต่ฝากความหวังไว้กับคนอื่นๆ ที่เหลือ หนึ่งในนั้นคนที่มีความสัมพันธ์กับนางดีที่สุดก็คือม่อจิ่งหลี

แต่ม่อจิ่งหลีกลับมิได้มีความสงสารหยกงามดังที่ซูม่านหลินคิดไว้ เขาเพียงมองซูม่านหลินด้วยสายตาเรียบเฉย “เรื่องภายในแคว้นหนานจ้าว ข้าไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่าย”

ซูม่านหลินอึ้งไป คาดไม่ถึงว่าม่อจิ่งหลีจะไร้ความปราณีเพียงนี้ “หลีอ๋อง…เจ้า…เจ้าคนแปรพักตร์ไร้ความปราณี เจ้าอย่าลืมเสีย หากมิใช่ข้า…”

“ใครก็ได้ มาเอาตัวออกไป!” องค์หญิงอันซีเอ่ยปากขึ้น

องครักษ์ของตำหนักองค์หญิงสองนายก้าวเข้ามาทันที ปิดปากซูม่านหลินไว้พร้อมลากตัวออกไป

หนานจ้าวในยามนี้กำลังวุ่นวายอย่างหนัก ยังมิใช่ช่วงเวลาที่ดีที่จะมีปัญหากับหลีอ๋อง ส่วนเรื่องที่ว่า ระหว่างซูม่านหลินกับหลีอ๋องได้ตกลงสิ่งใดกันเอาไว้ ไว้จบเรื่องนี้แล้ว นางย่อมมีวิธีให้รู้เรื่องนี้ได้

เมื่อจัดการเรื่องซูม่านหลินเรียบร้อยแล้ว องค์หญิงอันซีก็หันกลับมาขอโทษขอโพยทุกคนอีกครั้ง ก่อนให้คนมาพาตัวพวกเขาออกจากวังไปพักผ่อน

“ติ้งอ๋อง ชายาติ้งอ๋อง ได้โปรดรอสักครู่” องค์หญิงอันซีเรียกเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาที่เดินรั้งท้ายไว้

เยี่ยหลีหันไปเลิกคิ้วมองนาง องค์หญิงอันซีอมยิ้ม “ยามนี้ตัวเสด็จพ่ออยู่ที่ใดหรือ พระชายาได้โปรดบอกที”

เยี่ยหลียิ้ม “อยู่ในตำหนักบรรทมนั่นแหละ องค์หญิงให้คนไปหาดูให้ทั่วก็พอ ใช่สิ ข้าเอาตัวคนคนหนึ่งออกไปจากวังหนานจ้าวอ๋อง ขอองค์หญิงได้โปรดอภัยด้วย”

องค์หญิงอันซีโบกมือ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องเล็กน้อย พระชายาไม่ต้องใส่ใจ”

เยี่ยหลียิ้ม “เช่นนั้นก็ขอบคุณองค์หญิงมาก ขอตัว”

เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาเดินจูงมือกันออกไป สวีชิงเฉินกลับเดินอยู่รั้งท้ายสุด เขาเดินออกไปด้านนอกได้สองสามก้าวก็หยุดลง หันกลับไปมององค์หญิงอันซี

องค์หญิงอันซีเอ่ยถามว่า “ชิงเฉินยังมีอันใดจะพูดกับข้าหรือ”

สวีชิงเฉินเหลือบมองผู่อาที่ยืนอยู่ด้านหลังองค์หญิงอันซีทีหนึ่ง

องค์หญิงอันซียกมุมปากขึ้นยิ้ม “ผู่อาเป็นคนกันเอง ชิงเฉินมีอันใดก็พูดออกมาได้เลย”

พอผ่านคืนนี้มา องค์หญิงอันซีกับสามีที่เพิ่งแต่งงานกันของตน ก็ดูจะมีความไว้เนื้อเชื้อใจและสนิทสนมกันขึ้นหลายส่วน

สวีชิงเฉินก็ไม่เกรงใจ เอ่ยถามว่า “หากหาตัวหนานจ้าวอ๋องพบแล้ว องค์หญิงคิดจะทำเช่นไร”

“คิดทำเช่นไร?” องค์หญิงอันซีดูจะไม่เข้าใจ

สวีชิงเฉินจึงพูดให้ชัดเจนขึ้นว่า “เมื่อผ่านเรื่องคืนนี้ไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรหนานจ้าวอ๋องจะต้องมีเรื่องที่กินใจกับองค์หญิงอย่างแน่นอน องค์หญิงไม่เคยคิดถึงเรื่องในอนาคตเลยหรือ เมื่อหนานจ้าวอ๋องออกมาได้ จะยื่นมือเข้ามาช่วยซูม่านหลินอีกหรือไม่ หรืออาจถึงขั้นส่งเสริมให้มีซูม่านหลินคนที่สองคนที่สาม”

สีหน้าองค์หญิงอันซีดูหม่นหมอง หลุบตาลงเอ่ยว่า “เขาเป็นเสด็จพ่อของข้า”

สวีชิงเฉินเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ข้ามิได้จะให้เจ้าทำอันใดหนานจ้าวอ๋อง”

องค์หญิงอันซีดูขัดเขินเล็กน้อย หัวเราะขื่นๆ พลางมองสวีชิงเฉิน ก่อนเอ่ยยอมรับอย่างเปิดเผยว่า “เป็นข้าเองที่คิดอยากทำอันใดสักอย่างกับเสด็จพ่อ ชิงเฉิน…หลายปีมานี้ ข้าทนมาพอแล้ว…เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่”

สวีชิงเฉินมององค์หญิงอันซีที่นั่งอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่กับพื้นอย่างเหนื่อยล้าและหมดแรง เขาก็ถอนหายใจออกมา เอ่ยเรียบๆ ว่า “หนานจ้าวอ๋องถูกทำให้ตกใจจนล้มป่วยอย่างหนัก ไม่มีแรงมาควบคุมเรื่องในราชสำนัก ในเมื่อองค์หญิงอันซีได้อภิเษกสมรสแล้ว ก็น่าจะขึ้นครองราชย์ได้แล้วกระมัง”

องค์หญิงอันซีอึ้งไป ถึงแม้นางมีความคิดที่จะลดทอนอำนาจของเสด็จพ่อลง แต่นางไม่เคยคิดที่จะขึ้นครองราชย์ในขณะที่หนานจ้าวอ๋องยังมีพระชนม์ชีพอยู่มาก่อน