ตอนที่ 274 ประกายแห่งภูมิปัญญา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 274 ประกายแห่งภูมิปัญญา

สายฝนแผ่วเบายามราตรีในคืนฤดูใบไม้ผลิ

ฟู่เสี่ยวกวนและคณะนั่งล้อมวงกันท่ามกลางเหล่าเพิงพัก มือของเขาถือจดหมาย 2 ฉบับที่ได้รับเมื่อคราไปเยือนยังหอชิงเฟิงซี่หยู่

ขณะนี้กำลังอ่านฉบับแรก คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทันพลัน นิ้วกลางสะบัดแรงบนโต๊ะและกัดริมฝีปากด้วยความหงุดหงิดใจหลายครา พลันสร้างความตึงเครียดให้หมู่คณะโดยรอบ

ศึกทางตะวันออกมิสู้ดีนัก !

องค์ชายใหญ่และเฟ่ยอันเดินทัพถึงแดนศึกเมื่อขึ้นสิบค่ำ เดือนยี่ การรับช่วงต่อศึกหาได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นไม่ เยี่ยนฮ่าวชูส่งมอบตราถอนทัพ องค์ชายใหญ่รับหน้าที่ดูแลแดนศึกต่อ เพลาเดียวกันก็แต่งตั้งให้เฟ่ยอันเป็นนายพลกองทัพทหารม้า

องค์ชายใหญ่จัดการกลบฝังหมากตัวที่ไร้ประโยชน์เสียให้สิ้นซาก กล่าวคือนับจากสองวันจากการรับช่วงศึก เจียเกาหยวนถูกบั่นหัวโดยองค์ชายใหญ่กลางกองทัพแถวหน้า

องค์ชายใหญ่ใช้ขวัญกำลังใจเพื่อสร้างความฮึกเหิมให้กับทหารสามเหล่าในการประกาศสงครามของกับแคว้นอี้ อีกทั้งยังชี้แจ้งโทษอันร้ายแรงของเจียเกาหยวน หลังจากนั้นจึงได้สั่งการทัพ

หนึ่งในนั้นคือแต่งตั้งให้เฟ่ยกั๋วและกองพลทหารม้าไปสนับสนุนที่กวนสานจี๋ ต่อมาเมื่อขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนยี่ กองกำลังได้ปราชัยแก่ศัตรู เฟ่ยกั๋วได้ตกตายในสนามรบ

อีกอย่างคือสั่งการให้กองกำลังพลทหารม้า 50,000 นายของเฟ่ยอันไปประจำการที่เนินสิบลี้ และสั่งการให้กองทัพเดินเท้าไปที่เนินสิบลี้เช่นเดียวกัน และให้สู้จนกว่าชีวาจะหาไม่

สนามรบแห่งเนินสิบลี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เมื่อกองกำลังศัตรูกว่าหนึ่งแสนสามหมื่นนายเดินทัพมาถึงเนินสิบลี้ ต่างฝ่ายต่างเผชิญหน้าทำศึกแห่งการนองเลือด

ในจดหมายมิได้เอ่ยถึงบทสรุปของศึกใหญ่ครานี้ เนื่องเพราะระยะทางอันไกลโพ้นคือสาเหตุ ณ เพลานี้ฟู่เสี่ยวกวนมิอาจร่วงรู้ถึงผลของการนองเลือดครานี้ได้เลย

องค์ชายใหญ่มิได้ส่งกองกำลังเดินเท้ามาแจ้งข่าวคราวที่ฮวาซีหรือหลินเจียผู่เลย แต่กลับใช้วิธีการนี้แทน เกรงว่าต่อให้ชนะศึกครานี้ ก็คงจะขจัดศัตรูออกไปทั้งหมดมิได้

ศัตรูถอยทัพมาตั้งหลักที่กวนซานจี๋ได้ !

มิเช่นนั้นศึกครานี้จะยืดเยื้อและยาวนานมากนัก นี่คงจะเป็นโชคลางร้ายของแคว้นหยู !

เขาวางจดหมายลงแล้วถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด มิมีหนทางแล้วอย่างแท้จริง

หลังจากนั้นจึงหยิบจดหมายฉบับที่สองขึ้นมาอ่าน

จดหมายอีกฉบับส่งมาจากหลินเจียง เขาได้ให้สายลับไปประจำการที่หลินเจียง เขาให้ความสนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากหลินเจียงมากเป็นพิเศษ เพราะเมืองนั้นคือบ้านเกิดของเขาและบิดา

ทุกเวลานี้เขารู้ดีว่าได้ทำให้หลายต่อหลายคนขุ่นเคืองในตัวเขามิน้อย แต่สำหรับการปกป้องจวนฟู่และซีซานนั้น เขาให้ความสำคัญกับมันเหนือสิ่งอื่นใด

เมื่อมองจดหมายฉบับนี้เขาก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครา แต่ไม่นานนักก็รู้สึกโล่งใจขึ้นแล้วเผยรอยยิ้มออกมา

เมืองหลินเจียงกับเมืองชนบทใกล้เคียงกลับปรากฏบุคคลปริศนาขึ้นมา สายลับแห่งเมืองหลินเจียงได้นำข่าวคราวนี้แจ้งไปยังคนส่งสาสน์แห่งซีซาน และข่าวได้ไปถึงหูของไป๋ยู่เหลียน

ไป๋ยู่เหลียนเมื่อทราบข่าวก็ได้เคลื่อนทัพหน่วยรบพิเศษไปยังเขาเฟิงหลินเพื่อเตรียมการ

วันที่ยี่สิบสอง เดือนยี่ กลุ่มคนเหล่านั้นรวมตัวขึ้นมาและบุกรุกซีซานและจวนฟู่แห่งเมืองหลินเจียง

ซึ่งพวกนั้นย่อมแพ้พ่ายอย่างมิต้องสงสัย ครานี้ฝ่ายศัตรูส่งกองกำลังบุกรุกมาถึง 500 นาย ฝีมือวรยุทธ์กระบี่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ตายเพียง 3 รายและบาดเจ็บสาหัสอีก 6 ราย

จากการสอบสวนของไป๋ยู่เหลียนได้ความมาว่าคนพวกนี้มาจากหลิ่งหนาน เป็นเหล่ากองกำลังลับของฮุ่ยชินหวางขุนนางแห่งหลิ่งหนาน

ไป๋ยู่เหลียนร้องขอให้ส่งกองกำลังหน่วยรบพิเศษ 2,000 นายบุกหลิ่งหนานโดยเร็ววัน !

ไป๋ยู่เหลียนก่อตั้งกองทัพกระบี่จอมยุทธ์เพื่อเตรียมการไว้ โดยคัดเลือกชายฉกรรจ์ 2,000 นายมาร่วมกองกำลัง และมีเฉินป๋อดำเนินการฝึกวรยุทธ์ให้

ฟู่เสี่ยวกวนไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตั้งกองกำลัง แต่เรื่องที่ส่งกองทัพไปยังหลิ่งหนานเขาคิดว่ามันไร้เหตุผลจนเกินไป ไป๋ยู่เหลียนเอาแต่ใจตนเองยิ่งนัก เยี่ยงไรเสียหน่วยรบพิเศษ 2,000 นายนี้ยังต้องยืนหยัดอยู่ที่เขาเฟิ่งหลิง

รอให้ถึงเดือนเจ็ดคราที่เขาเคลื่อนขบวนถึงเมืองหลวง กองกำลังนี้จะต้องโยกย้ายไปประจำการที่เทือกเขาผิงหลิง

ฉินเฉิงเย่จะก่อความวุ่นวายไปถึงไหนกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนยกพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ

……

หลังจากนั้นการเดินทางของฟู่เสี่ยวกวนก็ไร้ซึ่งอุปสรรคอื่นใด

ยามหยุดพักจากการเดินทางไกล เหล่าปัญญาชนที่บัดนี้ขอถวายตนเป็นลูกศิษย์ก็มักจะเข้ามาล้อมตัวเขา เขาจึงมักจะกล่าวถึงเรื่องความรู้และภูมิปัญญาให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง

และเขามิได้ประพันธ์บทกวีอีกต่อไป จะกล่าวไปลูกศิษย์ของฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็เคยฟังบทกวีมามิน้อย เมื่อย้อนนึกคิดแล้ว บทกวีเหล่านั้นช่างฟังดูยิ่งใหญ่ ฟังแล้วราวกับได้เหยียบบนพื้นสวรรค์ นับแต่ได้ฟังบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนสืบมากลับรู้สึกว่าบทกวีของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยมหัศจรรย์จากสรรพสิ่งตามธรรมชาติ

และนี่ก็คือดังคำกล่าวว่าชุมฉ่ำไร้สุ่มเสียง เหล่าลูกศิษย์ต่างเริ่มยอมรับแนวคิดแห่งภูมิปัญญา หลากหลายคนก็เกิดความสนใจอย่างเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

พวกเขามักจะมีข้อสงสัยอยู่เสมอ และฟู่เสี่ยวกวนก็คอยช่วยไขคำตอบของความสงสัย ต่อมาพวกเขายิ่งหมกมุ่นอยู่ในความคิดนี้มากยิ่งขึ้น ขาดความสนใจที่จะศึกษาตำราเรียนอีกต่อไป ระหว่างทางเดินนั้นปกคุมไปด้วยความเงียบ ในมือกลับมีดินสอและกระดาษมาแทนที่ เมื่อยามได้เรียนรู้หรือยามมีข้อข้องใจ พวกเขาก็มักจะหาเวลาว่างเข้าไปปรึกษากับฟู่เสี่ยวกวน

ซึ่งฟูเสี่ยวกวนมิได้ตอบทุกความสงสัยเป็นแน่ เขากลับให้ลูกศิษย์กลับมาไตร่ตรองใช้ความคิดหาคำตอบให้ตนเอง แล้วตัวเขาจะเป็นคนประเมินคำตอบเหล่านั้นให้

“อยากรู้จักภูมิปัญญา ก่อนอื่นพวกเจ้าจงปลดปล่อยความคิด จงจินตนาการอย่างกล้าหาญ จงค้นหาคำตอบอย่างระมัดระวัง นี่คือทัศนคติที่เจ้าควรมีต่อภูมิปัญญา ”

“คำกล่าวที่ว่าจงค้นหาคำตอบ หาใช่คำที่กล่าวอย่างเลื่อนลอยไม่ แต่จงใช้กำลังและความสามารถของเจ้าลงปฏิบัติ เพลานี้ยังไร้ซึ่งเครื่องมือการลงมือ รอกลับถึงสำนักศึกษาวังหลวง ข้าจะก่อตั้งสำนักค้นคว้าและวิจัย ถึงตอนนั้นจะมีห้องทดลองปฏิบัติ หากทางราชสำนักมิเห็นด้วยก็มิใช่ปัญหา เพราะข้ามีศูนย์การค้นคว้าและวิจัยของข้าเองที่ซานซี ฉินเฉิงเย่ก็อยู่ที่นั่น พวกเจ้าเองคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขาเป็นแน่”

ฉินเฉิงเย่เดิมทีเป็นนักเรียนในสำนักศึกษาของราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นหลานของนักปราชญ์ชื่อดังฉินปิ่งซึ่งพวกเขาย่อมรู้จักอย่างแน่นอน แต่แค่มิมีใครคาดคิดถึงว่าเขาหยุดเรียนเพื่อไปศึกษาเกี่ยวกับการค้นคว้าและวิจัยอยู่ที่ซีซาน

ข่าวนี้ย่อมเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับบรรดาลูกศิษย์ของฟู่เสี่ยวกวน เฉินซู่และลูกศิษย์อีกบางคนที่สนใจเรื่องการค้นคว้าและวิจัยอย่างจริงจังถึงกับวางแผนไว้อย่างชัดเจน รอกลับถึงเมืองหลวง หากสำนักศึกษาในราชสำนักมิอนุญาตให้ก่อตั้งสำนักการค้นคว้าและวิจัย ก็จะนำแบบอย่างที่ศึกษาได้จากฉินเฉิงเย่ไปโน้มน้าวครอบครัว

นี่เปรียบดังการจุดประกายการค้นคว้าและวิจัยของราชวงศ์หยู ต่อไปในภายภาคหน้า พวกเขาเหล่านี้จะทำคุณประโยชน์ให้ราชวงศ์หยูอย่างใหญ่หลวง

……

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสาม วันที่สิบสี่ยามพลบค่ำ ขบวนเคลื่อนทัพมาถึงเมืองฝานหนิงและหยุดอยู่หน้าประตูเมือง

ขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนเปิดม่านรถม้าขึ้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเซี้ยะซีเฟิงขี่ม้ามาพอดี

“คุณชายฟู่ขอรับ ฝ่าบาทได้รับสั่งให้ท่านกวนถ่งกวนเสนาบดีกรมพิธีการมาต้อนรับท่านก่อน ขอคุณชายฟู่ได้โปรดรอชั่วครู่”

เมืองฝานหนิงห่างจากเมืองกวนหยุนแห่งราวงศ์อู๋แค่ร้อยกว่าลี้ เรื่องการต้อนรับต้องชื่นชมว่าองค์จักรพรรดิเหวินตี้ได้ทำครบถูกต้องตามธรรมเนียมยิ่งนัก

ฟู่เสี่ยวกวนใส่ชุดต้าจง ส่วนหยูเวิ่นหวินคิดแล้วคิดอีก แต่สุดท้ายก็มิได้ใส่ชุดองค์หญิงที่ประดับประดางดงามชุดนั้น

พวกเขายังมิได้ลงจากรถ

หยูเวิ่นหวินสงสัยใคร่รู้จึงเกิดคำถามขึ้นมา “ในเมื่อเสนาบดีกรมพิธีการให้เกียรติมาต้อนรับ นั่นหมายถึงองค์จักรพรรดิเหวินตี้ให้ความสำคัญกับพิธีรีตองมากยิ่งนัก ใยเจ้ามิลงจากรถแล้วรวมพลลูกศิษย์ของเจ้าและรอต้อนรับเสียเล่า ”

ในตอนนั้นเอง สวี่หวยซู่ชื่อหลางของกรมพิธีการได้เดินมาถึงข้างรถม้าของฟู่เสี่ยวกวนแล้วถามคำถามที่คล้ายกัน

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างเรียบเฉย “ข้ารอในฐานะแขก ข้าที่มาร่วมงานกวีก็ได้รับคำชวนจากองค์จักรพรรดิเหวินตี้ หาได้มีเหตุผลที่ต้องลงจากรถเพื่อรอท่านเสนาบดีท่านนั้นไม่ อีกอย่างท่านเสนาบดีซวูก็กลับไปแล้ว รอบนรถม้านี้ก็เพียงพอ”

สวี่หวยซู่หันกลับไปมองฟู่เสี่ยวกวนเสียหลายครา นึกถึงก่อนออกเดินทางฝ่าบาทได้ย้ำหนักหนาว่าห้ามทำให้ราชวงศ์อู๋มีเหตุอันใดขุ่นหมองเป็นอันขาด เหตุผลอีกอย่างคือภายในแคว้นหยูและแคว้นอู๋เองศึกบ้านศึกเมืองคุกกรุ่นยิ่งนัก อีกทั้งยังมีแคว้นอี๋ที่คอยรุกราน เป็นเหตุให้ควรจะอ่อนน้อมกับราชวงศ์อู๋ให้มากที่สุด

แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับมิคิดเช่นนั้น