“ฮ่า ๆ ๆ เหยาปิง สุดท้ายก็เป็นอย่างที่ข้าบอก พวกข้าจะยื่นมือเข้าช่วยแต่แรกเจ้าก็ทำดื้อรั้นไม่ยินยอม ตอนนี้เพิ่งจะรู้ตัวหรือว่าต้องการความช่วยเหลือ”

บุรุษผู้หนึ่งในกลุ่มยอดฝีมือลึกลับกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส คนผู้นี้สวมชุดสีน้ำเงินอ่อน คิ้วบาง คางยาวยื่น ดวงตาสองข้างเล็กหยี ใบหน้าดูเจ้าเล่ห์ไม่น่าคบหา

“หลงจื้อ เลิกว่างท่าตั้งแง่ พูดจาไร้สาระเสียเถอะ อารามโชติช่วงและนิกายหงส์มังกรเป็นมิตรที่แน่นแฟ้น เวลานี้พวกเราต้องการความช่วยเหลือ พวกเจ้าคงจะไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่ ?”

เหยาปิงกล่าวโต้ อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงที่เขาใช้ก็ไม่แฝงแววโกรธเคืองแม้แต่น้อย

สาวกแห่งนิกายหงส์มังกรเป็นที่เลื่องชื่อลือชาในเรื่อง ‘ความกลับกลอก’ พวกเขาทำเพื่อผลประโยชน์โดยยึดเอาตนเองเป็นที่ตั้งอย่างโจ่งแจ้ง กล่าวได้เต็มปากว่าเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด ผู้ที่อยู่ในนิกายนี้ล้วนแต่พยายามหาประโยชน์โดยไม่สนใจวิธีการ ดังนั้นจึงชอบเอาเปรียบผู้อื่นอยู่เป็นนิจ อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะจ้าวอารามแห่งอารามโชติช่วงกับประมุขแห่งนิกายหงส์มังกรมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันทำให้ทั้งสองขุมกำลังกระทำคล้ายเกื้อกูลกันเสมอมา

ปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้มีความซับซ้อนละเอียดอ่อน ในเมื่อทางอารามเลือกเปิดศึกแล้ว พวกเขาจะปล่อยให้จบเช่นนี้ไม่ได้ ที่สำคัญพรสวรรค์ของหานโม่ฉืออยู่ในระดับที่น่ากลัวมาก หากให้เวลาคนผู้นี้ต่อไป เขาจะกลายเป็นหนึ่งในศัตรูที่หวาดหวั่นที่สุดและเป็นขวากหนามสำคัญของอารามโชติช่วง ดังนั้นพวกเขาจะต้องจำกัดบุรุษหนุ่มผู้นี้ให้ได้เสียตั้งแต่วันนี้

ที่สำคัญ หากพวกเขาทำสำเร็จและกำชัยในศึกนี้ได้ก็จะเป็นใบเบิกทางให้อารามของปกครองดินแดนหวงหลิงทั้งหมดได้ในอนาคต และจะไม่มีผู้ใดสามารถคุกคามอารามโชติช่วงได้อีก

“อย่าห่วงเลย ถ้าพวกเราทั้งสองออกโรงเอง คนของดินแดนอ่อนด้อยนี้ก็ไม่เท่าไหร่หรอก ตอนนี้พวกเรามียอดฝีมือขอบเขตจักรวรรดิทูตสวรรค์ถึงเจ็ดคน ข้าไม่เชื่อว่าพวกเราจะแพ้”

หลงจื้อเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

แม้ว่ามู่อวิ๋นและหานโม่ฉือจะมีฝีมือสูงส่ง แต่ก็คงไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ได้

เมื่อได้ฟังคำพูดที่ดูมั่นใจของหลงจื้อ เหยาปิงก็พยักหน้าอย่างหมดห่วงและไม่กล่าวสิ่งใดอีก ขอเพียงนิกายหงส์มังกรยอมช่วย ต่อให้มู่อวิ๋นและหานโม่ฉือยังมีไพ่ตายเหลืออยู่ก็ไม่มีทางเอาชนะพวกเขาได้แน่

“นิกายหงส์มังกรถือเป็นขุมกำลังที่ทรงอำนาจในดินแดนหนเหนือ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นขุมกำลังที่ต่ำช้าเป็นอันดับต้น ๆ ด้วย ไม่คิดเลยว่าจะกล้าโผล่หัวมาที่นี่”

หานโม่ฉือสาดวาจาเสียดแทง เรื่องของนิกายหงส์มังกรเขาเองก็เคยได้ยินมาบ้าง

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนของดินแดนนี้ที่รู้จักนิกายหงส์มังกรของเราด้วย”

หลงจื้อหัวเราะลั่นด้วยท่าทีนึกสนุกไม่ทุกข์ร้อน

“หานโม่ฉือ หากเจ้าไม่ต้องการเข้าร่วมกับอารามโชติช่วง เช่นนั้นมาเป็นพวกเดียวกับเราดีไหมเล่า ? คนทั้งแผ่นดินล้วนรับรู้ว่านิกายของเราแข็งแกร่งยิ่งกว่าอารามโชติช่วงมาก”

หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวต่อ “แม้ผู้คนจะพูดว่านิกายหงส์มังกรของพวกเราเลวทรามแต่ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือ พวกเราสาวกแห่งนิกายหงส์มังกรล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นสูงที่คนทั้งดินแดนต่างต้องยำเกรง ฉะนั้นต่อให้ใครจะว่าเราเลวทรามอย่างไร พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ”

บัดนี้ หลงจื้อเกิดความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะดึงหานโม่ฉือมาเป็นพวก ในดินแดนหนเหนือมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งมากมายและส่วนมากก็ขัดแย้งแตกแยก ไร้ความกลมเกลียว การต่อสู้กระทบกระทั่งระหว่างขุมกำลังเกิดขึ้นตลอดเวลาทั่วทั้งผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ และเป็นที่แน่นอนว่าฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าย่อมได้เปรียบ ดังนั้นการมีกำลังพลฝีมือสูงส่งจึงจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและอำนาจบารมี ในเวลานี้ ความยิ่งใหญ่ของนิกายหงส์มังกรของพวกเขายังไม่ติดหนึ่งในสาม แต่หากได้หานโม่ฉือที่มีพรสวรรค์น่าอัศจรรย์เช่นนี้เข้าร่วม บวกรวมกับการขัดเกลาอีกสักนิด หลงจื้อคิดว่านิกายหงส์มังกรจะต้องยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

อีกทั้ง หากพวกเขาสามารถดึงตัวผู้ที่มีพรสวรรค์สูงระดับนี้เข้าร่วมได้ พวกเขาจะได้รับรางวัลก้อนใหญ่จากจ้าวนิกายและสถานะของพวกเขาก็จะสูงขึ้นมาก แม้ว่าจุดประสงค์หลักในการมาที่ดินแดนหวงหลิงจะไม่สำเร็จลุล่วงแต่ก็ถือว่าได้ลาภก้อนโต

“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าพวกเจ้ามีเกียรติจริงเหตุใดต้องเข้าร่วมสงครามของขุมกำลังดินแดนที่ต่ำกว่าเช่นนี้ด้วยเล่า หรือการรังแกผู้อ่อนแอเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมเกียรติของพวกเจ้า ?”

หานโม่ฉือยิ้มอย่างเย็นชาพลางเอ่ยวาจาตอบโต้ หากนับให้นิกายหงส์มังกรเป็นขุมกำลังที่เปี่ยมเกียรติยศน่าเคารพนับถือในดินแดนหนเหนือจริง เช่นนั้นดินแดนที่ยิ่งใหญ่แห่งนั้นก็คงตลกและน่าสมเพชมาก

เท่าที่เขารู้มา เป็นที่รู้กันดีในดินแดนหนเหนือว่านิกายหงส์มังกรมีชื่อเสียงในด้านความชั่วร้าย ทั้งไล่ล่าเข่นฆ่าผู้คน หรือแม้แต่ปล้นชิงวางเพลิงก็ล้วนกระทำกันจนเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าเกียรติและศักดิ์ศรีได้เลย หากไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นขุมกำลังที่ทรงอำนาจก็คงจะถูกกวาดล้างไปตั้งนานแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ ตอนนี้ดินแดนหวนหลิงโกลาหลมากเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าหากอารามเข้ามาควบคุมดูแลและจัดระเบียบดินแดนแห่งนี้ได้ก็คงเป็นเรื่องดี”

หลงจื้อยิ้มพลางกล่าวอ้างอย่างหน้าไม่อายโดยไม่สนใจสีหน้าและวาจาเย้ยหยันของหานโม่ฉือ นี่บ่งบอกได้ว่าใบหน้าของเขาหนาเพียงใด

หานโม่ฉือและมู่อวิ๋นไม่กล่าวสิ่งใด ขณะนี้ทั้งสองกลับมายืนคู่กันพลางจ้องมองยอดฝีมือทั้งสี่แห่งนิกายหงส์มังกรและยอดฝีมือทั้งสามแห่งอารามโชติช่วงด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในระดับจักรพรรดิทูตสวรรค์ถึงเจ็ดคน ต่อให้เป็นหานโม่ฉือกับมู่อวิ๋นก็ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกแสนกดดัน หากให้สู้กันตัวต่อตัวย่อมไม่มีปัญหา ทว่าหากต้องรับมือกับทั้งเจ็ดคนพร้อมกันก็ถือว่ามีอันตรายสูงมาก และไม่ทราบเลยว่าพวกเขาจะต้านได้นานเพียงใด

“ในเมื่อหยิบยื่นไมตรีให้แล้วไม่ยอมรับ เช่นนี้ก็อย่ามาโทษว่าพวกเราโหดเหี้ยมเกินไป”

เมื่อเห็นแล้วว่าบุรุษที่เขาหมายตาจะดึงมาเป็นพวกไม่มีท่าทีคล้อยตามแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังคงแสดงความเป็นปรปักษ์อย่างโจ่งแจ้ง สีหน้าและแววตาของหลงจื้อก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาในฉับพลันก่อนจะออกคำสั่ง

“สามพี่น้องเหยารับมือกับมู่อวิ๋น ส่วนพวกเราทั้งสี่จะจัดการหานโม่ฉือเอง”

สามพี่น้องเหยาพยักหน้ารับคำ พวกเขาพุ่งเข้าโจมตีมู่อวิ๋นโดยไม่ลังเล

หลงจื้อและบุรุษอีกคนจากนิกายหงส์มังกรที่มีนามว่าหลงเฉิงตรงเข้าจู่โจมหานโม่ฉือ

ขณะที่สตรีอีกสองนางจับจ้องกลุ่มผู้นำในไป๋อวิ๋นอย่างพิจารณาราวกับกำลังหาโอกาสกระทำการบางอย่าง

ฉินอวี้โม่ที่เพิ่งจะกลับมาถึงเขตพื้นที่โรงเรียนราชสำนักยังคงไม่ทราบถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้น

ทันทีที่คุณหนูสี่ตระกูลฉินกลับออกมาได้นางก็พบเจอกับเรื่องน่าประหลาดใจเพราะเวลานี้ไม่มีผู้ใดอยู่ในโรงเรียนเลย พื้นที่รอบข้างมีแต่ความเงียบสงัดร้างไร้ผู้คน เหล่านักเรียนและอาจารย์ที่เคยเดินประปรายในจุดต่าง ๆ หายไปจนหมดสิ้น นี่ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติเป็นอย่างมาก

หลังจากไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็รีบกลับไปยังหอพัก ด้วยหวังจะได้พบใครสักคนหรือเบาะแสบางอย่างที่จะเป็นคำตอบให้กับเรื่องนี้ ซึ่งการคาดเดานั้นก็ไม่ผิดพลาดเมื่อฉินอวี้โม่พบเจอจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ

เมื่อเปิดจดหมายขึ้นมาอ่าน ใบหน้างดงามก็เปลี่ยนเป็นเข้มคล้ำด้วยความโกรธแค้นในบัดดล

จดหมายนี้เป็นจดหมายอธิบายสถานการณ์ที่เยว่ชิงเฉิงเขียนทิ้งเอาไว้ให้นาง เนื้อความข้างในบอกเล่าเรื่องราวที่อารามบุกเล่นงานสามตระกูลใหญ่ในนครไป๋อวิ๋นและสมาคมต่าง ๆ อีกทั้งยังส่งสารประกาศสงครามกับนครไป๋อวิ๋นทั้งหมด และถ้าหากนางออกมาจากดินแดนต้องห้ามแล้วก็ขอให้รีบไปช่วยทุกคนให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

อ่านจบร่างของฉินอวี้โม่ก็หายวับไปไม่รอช้า คุณหนูสี่ตระกูลฉินเคลื่อนที่รวดเร็วราวสายฟ้าฟาด พาร่างบางพุ่งทะยานไปด้านหน้า ตรงสู่ทิศทางที่นครไป๋อวิ๋นตั้งอยู่

‘นายหญิง ข้ารู้สึกถึงสภาวะพลังที่คุ้นเคยมาก เป็นสภาวะพลังของยอดฝีมือมนุษย์ เหมือนข้าเคยพบเจอ แต่ก็ไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในดินแดนนี้’

ทันใดนั้นเสียงของซิวก็ดังขึ้นจากมิติเชื่อมอสูร จู่ ๆ เทพมังกรก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังที่แข็งแกร่งยิ่งยวดกระแสหนึ่ง สภาวะพลังนั้นทำให้มันไม่สบายใจอย่างมิอาจบรรยาย เป็นสภาวะพลังที่มันคุ้นแต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยสัมผัสกับพลังเช่นนี้จากที่ใดหรือเป็นพลังจากกายของผู้ใด

ด้วยสถานะแห่งเทพอสูร ซิวนั้นคุ้นเคยกับกลิ่นอายหรือสภาวะพลังของอสูรทุกชนิดทุกระดับ อีกทั้งยังรวมถึงยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ระดับสูงด้วย

“คุ้นเคยรึ ? หากไม่ใช่คนของหวนหลิงก็จะต้องเป็นคนจากดินแดนหนเหนือ… ดูท่าว่าจะมีคนจากดินแดนหนเหนือเข้ามาเยือนที่นี่เสียแล้วสิ”

ฉินอวี้โม่คาดเดาเรื่องนี้ได้จากการที่ซิวเอ่ยว่ามันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคย ซิวเป็นเทพอสูรที่เคยอาศัยอยู่ในดินแดนหนเหนือมาก่อน ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่มันจะคุ้นชินกับพลังของผู้คนจากที่แห่งนั้น หากมันกล่าวว่าคุ้นเคยและไม่ใช่ผู้คนจากหวนหลิงแล้ว ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ก็เหลือเพียงหนึ่งเดียว

ฉินอวี้โม่เคลื่อนที่เข้าใกล้นครไป๋อวิ๋นมากขึ้นเรื่อย ๆ

ขณะที่บรรยากาศในสมรภูมิรบบริเวณลานหน้าประตูเมืองไป๋อวิ๋นในตอนนี้กำลังอยู่ในสภาวะคุกรุ่น

มู่อวิ๋นที่ถูกสามพี่น้องเหยาล้อมเอาไว้เป็นฝ่ายเสียเปรียบในทันทีที่เปิดศึกและยังคงตกเป็นรองมาจนถึงตอนนี้ ถ้าหากไม่มีผู้ใดเข้ามาสนับสนุน แม้ท่านอธิการจะมีประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชน ก็เกรงว่าคงไม่พ้นต้องพ่ายแพ้ในไม่ช้า

มู่อวิ๋นทำได้เพียงตั้งรับแล้วถอยหนีไปเรื่อย ๆ สีหน้าของอธิการโรงเรียนราชสำนักซีดเซียวมากขึ้นทุกขณะแล้ว

ทางฝั่งหานโม่ฉือที่ต้องรับมือกับหลงจื้อและหลงเฉิงนั้น สถานการณ์ดูดีกว่าเล็กน้อย

ความแข็งแกร่งของหลงจื้อและหลงเฉิงค่อนข้างใกล้เคียงกับสามพี่น้องเหยา ทว่าเมื่อต้องรับมือเพียงสองคนก็ทำให้หานโม่ฉือไม่ลำบากเท่ากับมู่อวิ๋น อย่างไรก็ตาม บุรุษน้ำแข็งก็ยังเป็นฝ่ายตกเป็นรองอยู่เช่นกัน

แต่ด้านที่ดูอันตรายที่สุดก็คือ กลุ่มสมาชิกตระกูลใหญ่ในไป๋อวิ๋นที่นำโดยฉินเฟิน

เดิมทีที่ต้องต่อสู้กับหลิงซานเพียงคนเดียวก็นับว่าตึงมือไม่น้อยแล้ว ทว่า เวลานี้ยังเพิ่มยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์มาอีกสองคน ต้องบอกว่าพวกเขามิใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือระดับนี้เลย แม้ว่าจะมีจำนวนคนที่มากกว่าแต่ก็มิอาจต้านทานพลังอันมหาศาลได้ ฝ่ายไป๋อวิ๋นพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว พวกเขาล้มลงไปทีละคน บางคนได้รับบาดเจ็บหนัก และทุกคนก็ไม่เหลือพลังเพียงพอที่จะต่อสู้แล้ว

— ปัง ! —

ฝ่ามือของหลิงซานกระแทกลำตัวโอวหยางชิงเฟิงเข้าอย่างจัง ร่างของคุณชายรองตระกูลโอวหยางกระเด็นออกเหมือนลูกธนูที่พุ่งออกมาจากสาย เขากระเด็นไปไกลหลายร้อยจั้งกว่าจะตกลงมาบนพื้น

ร่างสูงที่เคยแข็งแรง บัดนี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือด โลหิตไหลออกมาจากปากเป็นจำนวนมาก อาการของเขาดูสาหัสจนน่ากลัว

“ชิงเฟิง เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม ?”

เยว่ชิงเฉิงรุดไปยังข้างกายโอวหยางชิงเฟิงอย่างร้อนใจในทันทีก่อนที่จะรีบสำรวจรอบตัวเขา เมื่อพบว่าสหายหนุ่มผู้เป็นอดีตคู่หมายมีแต่เพียงบาดแผลภายนอกที่ไม่ถึงแก่ชีวิตก็ทำให้นางรู้สึกโล่งอก

“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าถ้าเจ้าเข้าไปเจ้าต้องตายแน่ ทำไมเจ้าถึงไม่ฟังข้า !”

เยว่ชิงเฉิงเปิดปากตำหนิโอวหยางชิงเฟิงทันที การที่นางต่อว่าเขาไม่ใช่เรื่องผิดเลยสักนิด เพราะด้วยระดับความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ หากเข้าไปประจันหน้ากับหลิงซานโดยตรงถือว่าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ที่สำคัญตัวเขายังอาจจะกลายเป็นภาระผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ

“ต่อให้ต้องตายข้าก็ต้องไป ข้าทนดูคนอื่น ๆ ถูกเล่นงานต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”

โอวหยางชิงเฟิงเถียงกลับด้วยใบหน้าซีดเซียวและน้ำเสียงอ่อนระโหย

ในตอนนี้ร่างกายของเขารวดร้าวจนแทบจะยืนไม่ไหว หากไม่ใช่เพราะเขาใช้ม่านพลังป้องกันการโจมตีเมื่อครู่เอาไว้ได้ทันการณ์ อดีตสายลมอ่อนแห่งป่าแสงจันทร์ก็คงจะเหลือทิ้งไว้แต่เพียงนามและตำนานของคุณชายผู้หนีออกจากบ้านเท่านั้น

“ถ้าอวี้โม่อยู่ที่นี่นางคงช่วยเราพลิกสถานการณ์ได้แน่”

เมื่อเห็นสถานการณ์ตกอยู่ในขั้นวิกฤติ เยว่ชิงเฉิงก็อดคร่ำครวญถึงสหายผู้เก่งกาจไม่ได้ ในยามนี้สหายตระกูลฉินเสมือนเป็นความหวังสุดท้ายในใจนาง

ไม่ว่าเมื่อไหร่ฉินอวี้โม่ก็เปรียบเสมือนแกนกลางของกลุ่มสหาย และนางยังเป็นผู้พิทักษ์ที่สร้างปาฏิหาริย์มาแล้วหลายต่อหลายครา ไม่ว่าสถานการณ์จะหนักหนาเพียงใด หากฉินอวี้โม่อยู่ด้วย เยว่ชิงเฉิงก็เชื่อว่านางต้องช่วยทุกคนได้แน่

โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าแต่ไม่เอ่ยสิ่งใด ในหัวใจของเขาเชื่อมั่นอยู่ลึก ๆ ว่าอย่างไรฉินอวี้โม่ก็ต้องมา นางจะมาทันและต้องช่วยทุกคนให้รอดพ้นไปได้ หากโชคดีมีวาสนาได้ชีวิตรอดจากวิกฤตในครั้งนี้ บุรุษตระกูลโอวหยางสาบานกับตัวเองว่าจะฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่สักวันจะได้ไปยังดินแดนหนเหนือและแก้แค้นศัตรูอย่างสาสม

— ปัง ! —

ร่างของฉินหยางกระเด็นออกไปด้วยฝ่ามือของหนึ่งในสองสตรีจากนิกายหงส์มังกร

ไม่ทราบว่าใช้ทักษะใด ทว่าฝ่ามือของสตรีผู้นี้สามารถปิดกั้นพลังมายาของคู่ต่อสู้ทำให้อีกฝ่ายไร้พลังโต้ตอบได้ ฉินหยางกระอักเลือดคำโตกลางอากาศ เขาพบว่าร่างของตนกำลังจะตกฟาดเข้ากับพื้นดินที่มีหินขนาดใหญ่เบื้องล่าง

ผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดในตระกูลฉินมีอาการบาดเจ็บอย่างสาหัส อีกทั้งพลังมายาก็เหือดแห้งไปจนหมดสิ้น เขารู้ตัวว่าตนไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะยืนขึ้นได้ หากว่าตกลงไปกระแทกพื้นทั้ง ๆ แบบนี้ หากไม่ตายก็คงจะถึงขั้นพิการเป็นแน่

เวลานี้ร่างของเขาอยู่ห่างจากพื้นประมาณสิบจั้ง อสูรมายาของเขาก็ถูกซัดกระเด็นไปในทิศตรงข้ามและไม่มีทางมาช่วยเขาได้ทัน ฉินหยางหลับตาลงเตรียมรับชะตากรรม

“ท่านอาหยาง !”

ทันใดนั้นเสียงตะโกนอย่างร้อนรนของหลานสาวคนเล็กก็ดังแว่วเข้ามาในหู ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกใครบางคนรับเอาไว้อย่างมั่นคง

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม”

เมื่อเห็นว่าเป็นฉินอวี้โม่ที่มาช่วยเอาไว้ ฉินหยางก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ทว่าทันทีที่เขาเปิดปากเพื่อออกวาจาก็กลับกลายเลือดจำนวนมากที่ทะลักออกมาจากปากของเขาแทน

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วหน้าดำคล้ำ นางรีบวางร่างผู้เป็นอาลงแล้วป้อนโอสถรักษาให้ก่อนเป็นอันดับแรก

“ท่านอาหยางแค่รักษาระดับลมหายใจให้นิ่งไว้ก็พอ อย่าเพิ่งขยับไปไหน เสี่ยวเฮยจะคอยปกป้องท่าน”

เมื่อหันไปเห็นสถานการณ์ของทางฝั่งผู้เฒ่าฉินเฟิน ฉินอวี้โม่ก็ไม่รอช้า นางรีบสั่งการเสี่ยวเฮยแล้วรุดเข้าไปช่วยทันที

.