“เจ้า!” จ้าวซิ่วเอ๋อร์เดิมทีอยากจะพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของฉีเฉิงเฟิง แต่บังเอิญชนเข้ากับใครบางคนเสียก่อน!

จ้าวซิ่วเอ๋อร์รีบลุกขึ้นยืน ก็พบว่าเป็นย่าของตนเองทำให้นางตกใจเป็นอย่างมาก “ท่านย่า! ท่านมาทำอะไรที่นี่?”

ชาวบ้านเริ่มส่งเสียงดังเกรี้ยวกราด “ที่แท้ก็เป็นท่านย่าของจ้าวซิ่วเอ๋อร์! ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางจะมาสร้างปัญหาที่นี่! พวกเราเกือบจะตกหลุมพรางของนางและทำให้ซูหวานหว่านเสียใจแล้ว!”

“ใช่แล้ว! ตระกูลจ้าวของพวกเจ้านิสัยไม่ดีกันเสียเลย! คนแก่มาก่อความวุ่นวาย ลูกหลานก็มายั่วยวน! ครอบครัวนี้ไม่มีอะไรดีเลย!”

“…”

เมื่อได้ยินสิ่งพวกชาวบ้านพูด จ้าวซิ่วเอ๋อร์พลันหน้าซีดเผือด นางคาดเดาได้ว่าแม่เฒ่าหูมาทำอะไรที่แห่งนี้ นางรู้สึกไม่พอใจที่ย่าของนางทำให้ตนต้องขายหน้า แต่แล้วแม่เฒ่าหูก็กล่าวออกมาว่า “ข้าได้สั่งสอนพวกเขาแทนเจ้าแล้ว! พวกเรากลับกันเถอะ!”

กล่าวเสร็จแม่เฒ่าหูก็สังเกตเห็นว่าจ้าวซิ่วเอ๋อร์อยู่ในชุดสีแดง เมื่อสังเกตดี ๆ ก็พบว่ามันเป็นชุดแต่งงาน นางตกใจและเตรียมตัวจะลากตัวจ้าวซิ่วเอ๋อร์ออกไป “เจ้า…เจ้าใส่ชุดนี้มาทำอะไร? รีบกลับบ้านไปกับข้าเดี๋ยวนี้เลย! อย่าทำให้ขายหน้าไปกว่านี้!”

“ท่านย่า!” จ้าวซิ่วเอ๋อร์จับมือของย่าตัวเองออก “ท่านย่า! ข้าได้ไตร่ตรองเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว ในที่สุดข้าก็เข้าใจ! คนที่ข้ารักก็คือฉีเฉิงเฟิง! หากไม่มีเขาอยู่ไปก็ไร้ความหมาย! ข้าอยากแต่งงานกับเขา!”

พูดเสร็จ นางก็วิ่งเข้าไปในบ้าน

ชาวบ้านต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวซิ๋วเอ๋อร์ แต่ก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนางวิ่งเข้าไปในห้องโถง และเอื้อมมือไปจับแขนฉีเฉิงเฟิง

“คุณชายฉี…” จ้าวซิ่วเอ๋อร์เรียกชื่อเขาออกมา

นางคิดว่าแขนที่คว้ามานั้นคือแขนของฉีเฉิงเฟิง แต่กลับกลายเป็นว่านางคว้าแขนเรียวเล็กของซูหวานหว่านมาแทน

จ้าวซิ่วเอ๋อร์ก้มลงมอง ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นไปคว้าแขนซูหวานหว่านมาตั้งแต่เมื่อไร

“แม่นางจ้าว! วันนี้เจ้าดูมีความสุขมากนะ! แสดงว่าเจ้ายังไม่เข้าใจสิ่งที่สามีของข้าพูดสินะ” ซูหวานหว่านเหลือบมองจ้าวซิ่วเอ๋อร์พร้อมกับดึงมือของนางออกและพูดออกมาอย่างเย็นชา “แม่นางจ้าว สามีของข้าแต่งงานเข้าบ้านของข้า หากเจ้าต้องการแต่งงานกับสามีของข้า เกรงว่าจะทำให้เจ้าไม่พอใจเอา ดังนั้นข้าจึงขอถาม เจ้าคิดจะทำอะไรกับสามีของข้างั้นหรือ?”

“เจ้า…” จ้าวซิ่วเอ๋อร์กัดฟันออกแรงหยิกมือของตนเอง ทันใดนั้นน้ำตาของนางก็ไหลออกมาทันที “แม่นางซู…ข้าไม่ได้ต้องการที่จะทะเลาะกับเจ้า หากจะโทษก็ต้องโทษที่ข้ารักเขามากเกินไป หากไม่มีเขา ข้าจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม! หากพูดอีก….”

แววตาของจ้าวซิ๋วเอ๋อร์แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาในทันที “ครอบครัวของข้าดีมาก! ครอบครัวของเจ้าเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้แต่ชุดแต่งงานบนตัวข้าก็เป็นด้ายเงินแท้ ข้าซื้อมันมาในราคาหลายสิบตำลึง! เจ้ามีอะไรที่คู่ควรกับเขาบ้าง?”

ทันใดนั้นชาวบ้านที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็หัวเราะออกมา ชุดแต่งงานของจ้าวซิ่วเอ๋อร์นั้นราคาเพียงแค่สิบตำลึง จะเอาอะไรไปสู้กับชุดที่รวมแล้วราคาหมื่นตำลึงได้! มองดูเสียเถอะ ซูหวานหว่านนั้นสง่าผ่าเผยเพียงใด ยิ้มหวานราวกับดอกไม้ มีตรงไหนที่เทียบจ้าวซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้บ้าง! ตระกูลจ้าวช่างไร้ยางอาย!

ชาวบ้านส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

แม่เฒ่าหูได้ยินเช่นนั้นใบหน้าก็ขึ้นสีแดงจัดด้วยความโกรธ เดินเข้าไปหยุดจ้าวซิ่วเอ๋อร์ “เจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่! หยุดพูดได้แล้ว พวกเรากลับบ้าน!”

ซูหวานหว่านมองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าสองคนนี่ยังมีหน้ามาที่บ้านของข้าอีกหรือ? ทั้งยังมาก่อความวุ่นวายในงานแต่งงานของข้า เจ้าเชื่อหรือไม่เชื่อว่าข้าสามารถร้องเรียนกับเหล่าพลลาดตระเวนให้มาจับพวกเจ้าสองคนในข้อหาสร้างความวุ่นวายได้”

“ซูหวานหว่าน! เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้! ฉีเฉิงเฟิงกับข้าเรารักกันมาก เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแยกพวกเราสองคนจากกัน!” จ้าวซิ่วเอ๋อร์ร้องไห้ราวกับคนใจแตกสลาย พร้อมความเกลียดชังในใจที่มีมากจนล้นหลาม นางรอไม่ไหวที่แล้วที่จะแต่งงานแทนที่ซูหวานหว่าน!

“เจ้าโศกเศร้าจนเสียสติ จนกระทั่งเพ้อฝันว่าได้เป็นเมียรองของเขาเลยงั้นหรือ?” ซูหวานหว่านหัวเราะออกมา นางมองไปที่ฉีเฉิงเฟิงพร้อมกับพูดว่า “เจ้านี่มีเสน่ห์เหลือเกินนะ ยังไม่รีบจัดการกับเรื่องนี้อีก!”

“ได้~” ฉีเฉิงเฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อมองไปที่ซูหวานหว่าน แต่เมื่อเขามองไปที่จ้าวซิ่วเอ๋อร์ สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “แม่นางจ้าว ข้าไม่ได้ชอบเจ้าและข้าก็ไม่เคยชอบเจ้าด้วย วันนั้นที่ข้าช่วยชีวิตเจ้า ไม่ใช่เพราะมีเหตุผลอื่น หากไม่ใช่เจ้าข้าก็ช่วยอยู่ดี”

“ท่าน….” ดวงตากลมโตของจ้าวซิ่วเอ๋อร์เอ่อล้นด้วยน้ำตาอีกครั้ง “ท่านโกหก!”

รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของฉีเฉิงเฟิง “อย่าเข้ามาใกล้ข้า และหยุดสร้างปัญหาได้แล้ว”

พูดจบก็กวักมือเรียกใครคนหนึ่งออกมา พร้อมกับชี้ไปที่จ้าวซิ่วเอ๋อร์และย่าของนาง “จับพวกนางสองคนมัดเอาไว้ และค่อยส่งไปให้กับพลลาดตระเวนในวันพรุ่งนี้!”

“ท่านใจร้ายมาก! ท่านทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ…” จ้าวซิ่วเอ๋อร์ต้องการพูดอะไรสักอย่าง แต่ปากของนางก็ถูกยัดเอาไว้ด้วยเศษผ้า ส่วนแม่เฒ่าหูหน้าแดงด้วยความโกรธจัด ทว่าก็ทำได้เพียงแค่อ้อนวอนขอความเมตตาและรีบพาจ้าวซิ่วเอ๋อร์ออกไป

ทันทีที่ทั้งสองคนออกไป ลานบ้านก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง ซูหวานหว่านและฉี เฉิงเฟิงกลับเข้าไปและทำพิธีแต่งงานโดยไร้ซึ่งอุปสรรคใด ๆ

งานเลี้ยงเฉลิมฉลองถูกจัดขึ้น ชาวบ้านก็ต่างพากันกินเลี้ยงกันอย่างสนุกสนาน

งานเลี้ยงนี้ไม่มีกฎระเบียบและพิธีรีตองใดอย่างบ้านเศรษฐี ซูหวานหว่านอยู่ในหอห้องไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ออกมาเติมเหล้าให้กับทุกคน

ซูหวานหว่านตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อนางเหลือบไปเห็นหวังเซียนซูในลานบ้านของตน นางเดินไปเติมเหล้าให้คนเฒ่าที่โต๊ะนั้น และรินให้กับหวังเซียนซู ทุกคนต่างเอ่ยชมซูหวานหว่านไม่หยุด

ซูหวานหว่านยิ้มรับอย่างไม่ปฏิเสธ และแจกจ่ายลูกกวาดให้กับทุกคน ขณะมอบขนมนางก็เหลือบไปเห็นเด็กน้อยอายุเจ็ดแปดขวบ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นลูกของหวังเซียนซู ซูหวานหว่านจึงปล่อยวางและส่งขนมไปให้เขาหนึ่งกำมือ นางยิ้มพร้อมทั้งเอ่ยว่า “มาสิหวังปา พี่สาวให้เจ้า”

หวังปาลุกขึ้นยืน ยื่นมือเล็ก ๆ ออกไปรับลูกกวาดที่มีจำนวนเยอะจนล้นมือ เมื่อทำมันตกลงบนพื้นก็หยิบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านต่างเอ่ยหยอกล้อเขาว่าตะกละตะกลาม

หวังปายิ้มออกมา รีบแกะห่อลูกกวาดแล้วโยนมันเข้าปากทันที ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ ขนมในมือร่วงตกลงบนพื้น ร่างกายอ่อนแรงล้มลงหัวกระแทกอาหาร จานที่อยู่บนโต๊ะกระเด็นกระจัดกระจาย ชาวบ้านเอ่ยตำหนิเด็กชายแต่ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นเลือดไหลออกมาจากมุมปากของหวังปา

ชาวบ้านที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันพลันลุกขึ้นยืนทันที พร้อมขยับตัวถอยห่าง

“เกิดอะไรขึ้น”

“เป็นไปได้ไหมว่าจะตายแล้ว?”

“…”

ทุกคนในงานต่างแตกตื่นตกใจ หากแต่หวังเซียนซูนิ่งมาก ซูหวานหว่านเหลือบมองและเอ่ยปลอบทุกคน ในตอนที่จะเดินเข้าไปดูก็ถูกหวังเซียนซูจับเอาไว้พร้อมเอ่ยว่า “ซูหวานหว่าน! เจ้ากล้าวางยาลูกข้างั้นรึ! ข้าได้จ่ายเงินเจ้าไปแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้ากับข้ามักจะมีปัญหากันตลอด แต่ว่าเจ้าไม่อาจทำแบบนี้กับข้าได้ โถ่ ลูกชายที่น่าสงสารของข้า!”

ซูหวานหว่านเรียกลักษณะท่าทางของหวังเซียนซูในตอนนี้ได้เพียงสองคำ ‘เผิงชือ*[1]’ นางขมวดคิ้วแน่น ปากพูด “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“เจ้าต้องชดใช้! ไม่เช่นนั้นข้าจะพาตัวเจ้าไปส่งให้กับพลลาดตระเวนข้อหาฆ่าคนตาย!” หวังเซียนซูพูดออกมาทันที

ชาวบ้านที่อยู่ในงานได้ยินเสียงทะเลาะกันของเจ้าสาว พวกเขาต่างเข้ามาดูทันที หวังเซียนซูมองทุกคนพร้อมพูดว่า “ทุกคนต่างก็รู้ว่าซูหวานหว่านเกลียดข้ามาโดยตลอด! ต้นพริกของนาง นางก็ไม่เคยแจกให้ข้าปลูก ให้เพียงเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ นางคงจะไม่พอใจที่ข้านั้นพาลูกชายของข้ามากินของที่บ้านนาง แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่านางจะวางยาพิษในลูกกวาดแล้วให้ลูกของข้ากิน”

ซูหวานหว่านส่ายหัว มองไปที่หวังเซียนซูพร้อมกับข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ นางไม่ต้องการทะเลาะกับหวังเซียนซูและพูดออกมาว่า “มีชีวิตเป็นเดิมพันเช่นนี้ ให้ข้าดูเขาหน่อยสิ”

“ไม่ได้!” หากนางเดินไปดูแน่นอนว่าความจริงจะถูกเปิดเผย หวังเซียนซูจึงห้ามเอาไว้ทันที!

[1]碰瓷 เผิงชือ แปลว่าคนที่สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อเรียกร้องเงิน