บทที่ 226 ศิษย์น้องคนเล็กของข้า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 226 ศิษย์น้องคนเล็กของข้า

บทที่ 226 ศิษย์น้องคนเล็กของข้า

ชายหนุ่มรูปงามคนนี้มีริมฝีปากสีแดงก่ำและเห็นได้ชัดว่านางเป็นผู้หญิงที่ปลอมตัวเป็นผู้ชาย แต่นางมีเสน่ห์ตามธรรมชาติของตัวเองที่ทำให้นางดูสวยงามและโดดเด่น ทุกการเคลื่อนไหวของนางดูเหมือนจะทำให้ทั้งฟ้าและดินโห่ร้องกระโดดโลดเต้นไปด้วยความสุข ทำให้นางดูเหมือนไม่มีใครเทียบได้

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เด็กหนุ่มรูปงามกล่าวออกมา ชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานรู้สึกราวกับว่าพวกนางถูกสวรรค์และโลกทอดทิ้ง โดดเดี่ยวและทำอะไรไม่ถูก ราวกับว่าพวกเขาเป็นคนบาปที่ถูกขับไล่โดยเต๋าแห่งสวรรค์ ถูกประณามจากผู้คนทั้งโลกและไม่อาจหลีกหนีได้

เพราะภายในดวงตาของพวกนาง กระแสลม ปราณวิญญาณ เมฆหมอก ดอกไม้ พืช หิน ฝุ่น… ทุกสิ่งที่อยู่ในสวรรค์และโลกราวกับกำลังโกรธเคือง ไม่ยอมรับ และต้องการที่จะฉีกพวกนางให้เป็นชิ้น ๆ!

นี่คือการบ่มเพาะประเภทใดกัน?

เพราะด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ กลับทำให้กฎของสวรรค์และโลกยอมจำนนและถูกควบคุมโดยนาง ไม่หวังสิ่งใดมากไปกว่าการทำทุกสิ่งเพื่อนาง และปรารถนาที่จะบดขยี้ทุกสรรพสิ่งที่ทำให้นางไม่มีความสุข!

หลิงไป๋ยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อชายหนุ่มรูปงามซึ่งเป็นหญิงปลอมตัวเป็นชายปรากฏตัวขึ้น เขาประสานมือคารวะให้แก่นาง

ความรู้สึกของเขาแตกต่างจากชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลาน ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มรูปงามคนนี้ปรากฏตัวขึ้น เขาก็สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณอันไร้ขอบเขตของสวรรค์และโลกถาโถมเข้าหาเขาพร้อมปฏิบัติกับเขาอย่างอ่อนโยนเสมือนลูกแกะตัวน้อย ไม่เพียงเท่านั้น พวกมันยังรักษาอาการบาดเจ็บภายในร่างกายของเขา แม้แต่พลังชีวิตที่ถูกใช้จากการสังเวยก่อนหน้านี้ ก็ฟื้นคืนมาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

เขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้มาจากความสามารถของ ‘ศิษย์พี่หญิง’ คนนี้ของเฉินซี นางสามารถควบคุมทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และโลกด้วยฝ่ามือของนาง เพียงแค่ความคิด ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นหรือดับลง เป็นไปตามใจประสงค์โดยไม่เหนือจากกฎของโลก!

ชายหนุ่มรูปงามยื่นมือที่บอบบางและขาวเนียนราวกับหยกออกมา เพื่อบีบใบหน้าเล็ก ๆ ของหลิงไป๋ “ทะนงตัวและไม่ยอมสยบให้แก่ใคร อีกทั้งยังมีความซื่อสัตย์สูงดั่งปุยเมฆ นับว่าไม่เลว ไม่เลว”

หลิงไป๋ผู้มักแสดงตนว่าเย็นชาและหล่อเหลาอยู่เสมอ กลับเผยให้เห็นร่องรอยของความอับอายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และเขาลดศีรษะลง ราวกับไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่มรูปงาม ในขณะที่เขาบ่นพึมพำอย่างไม่รู้จบ

ชายหนุ่มรูปงามยิ้มขณะที่นางลูบศีรษะเล็ก ๆ ของหลิงไป๋ แต่เมื่อนางหันกลับมา รอยยิ้มบนใบหน้าขาวใสและอ่อนเยาว์ของนางกลับสลายไป เหลือเพียงใบหน้าที่เฉยเมยดั่งน้ำนิ่ง สายตาของนางดูเหมือนกำลังประเมินชิงซิ่วอี้กับฟ่านอวิ๋นหลานอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะและกล่าวว่า “คนหนึ่งเป็นเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิด แต่กลับฟื้นความทรงจำเมื่อครั้งที่เป็นเซียนสวรรค์ได้เพียงเศษเสี้ยว ส่วนอีกคนเกิดมาพร้อมกับดอกบัวแห่งความชั่วร้าย ฝึกฝนเคล็ดวิชาอสูรกลืนกินวิญญาณเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดและฐานการบ่มเพาะก็ธรรมดาทั่วไป ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเจ้าทั้งคู่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น”

เมื่อพวกนางเห็นชายหนุ่มรูปงามเปิดเผยความลับของพวกนางทีละคน ชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานผู้มีความกลัวอยู่ในใจก็หน้าถอดสีอีกครั้งหนึ่ง และพวกนางยิ่งกลัวที่จะกระทำการผลีผลาม

ชิงซิ่วอี้สูดลมหายใจเข้าลึกและถามด้วยน้ำเสียงที่สงสัย “เจ้าเป็นใคร?”

นางสัมผัสได้ถึงมวลพลังที่ไม่อาจสั่นคลอนจากชายหนุ่มรูปงาม มันทั้งลึกล้ำและไม่อาจหยั่งถึง ราวกับว่าสิ่งที่นางกำลังเผชิญหน้านั้นไม่ใช่คน แต่เป็นเจตจำนงของเต๋าแห่งสวรรค์แทน!

ความรู้สึกเช่นนี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยสัมผัสมาก่อน และยังเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกสิ้นหวัง ตั้งแต่นางกลับชาติมาเกิดและฝึกฝนจนถึงกระทั่งตอนนี้

‘ใช่ มันคือความสิ้นหวัง’

แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์หลงเหอของนาง หรือแม้ว่านางจะค้นหาผ่านเจตจำนงของเซียนสวรรค์ที่อยู่ในใจของนาง นางก็ยังไม่เคยได้พบกับคนที่ทำให้นางรู้สึกถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้!

ศิษย์น้อง?

‘เด็กน้อยที่มีฐานการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเคหาทองคำคนนี้ จะมีศิษย์พี่ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร? เขาเป็นใครกันแน่?’

ชิงซิ่วอี้ไม่สามารถเข้าใจได้

ฟ่านอวิ๋นหลานเองก็ตื่นตระหนกถึงตัวตนของชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงข้าม เช่นเดียวกับชิงซิ่วอี้

ความลับที่ว่าชิงซิ่วอี้เป็นเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิดนั้น เป็นสิ่งที่ล่วงรู้กันทั่วราชวงศ์ซ่ง ในขณะที่ตัวนางนั้นแตกต่างออกไป นอกจากประมุขแห่งนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่านางเกิดมาพร้อมกับดอกบัวแห่งความชั่วร้าย ทว่าความลับสุดยอดนี้กลับถูกชายหนุ่มรูปงามมองออกเพียงแวบเดียว และเขายังเปิดเผยว่าเคล็ดวิชาอสูรกลืนกินวิญญาณที่นางได้บ่มเพาะนั้นเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด ดังนั้น การบ่มเพาะแบบใดที่ทำให้คนคนหนึ่งจะสามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้?

“พวกเจ้ายังจำเป็นต้องถามถึงเรื่องนี้ด้วยหรือ?” ชายหนุ่มรูปงามขมวดคิ้วและกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าทั้งคู่ควรรู้สถานการณ์ของตัวเอง เป็นเพราะเจ้าทั้งคู่คิดว่าศิษย์น้องของข้าอ่อนด้อยจนไม่อาจเทียบได้ในทุกด้าน ดังนั้นพวกเจ้าจึงเหยียบย่ำเขา และทำร้ายเขาจนเกือบจะคร่าชีวิตไป แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว!”

เมื่อนางกล่าวมาถึงตรงนี้ ดวงตาของชายหนุ่มรูปงามก็หรี่ลง และราวกับมีท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพรายอยู่ภายในรูม่านตาสีดำสนิทของนาง ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวสั่นไหวระหว่างการดำรงอยู่และการทำลายล้าง ขณะที่การกำเนิดของมหาเต๋าไหลเวียนอยู่ภายในดวงตาอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเดียวกัน ร่างกายทั้งหมดของนางดูเหมือนจะกลายเป็นแม่น้ำแห่งดวงดาวนับไม่ถ้วนพร้อมกับกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งทำให้ทุกสิ่งรอบข้างดูราวกับไร้ตัวตนและเลือนราง

เมื่อสวรรค์แสดงเจตนาฆ่า ดวงดาวและกลุ่มดาวก็เคลื่อนคล้อย เมื่อโลกปล่อยจิตสังหารออกมา สิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็เคลื่อนไหว และเมื่อนางปล่อยจิตสังหารออกมา สวรรค์และโลกก็พลิกคว่ำ ในขณะนี้ เพียงความคิดของชายหนุ่มรูปงาม เจตนาฆ่าก็เกิดขึ้นทันที และตราบใดที่นางเต็มใจ ความคิดของนางจะสามารถทำให้ชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานพินาศได้!

ขณะที่พวกนางสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าบนท้องฟ้า มันเหมือนกับว่ามีดาบคมกริบจ่ออยู่ที่คอของพวกนาง ทำให้ชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานไม่สามารถยับยั้งความหวาดกลัวที่ผุดขึ้นมาในใจของพวกนางได้ และทำให้ทั้งร่างกายของพวกนางหนาวสั่นราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง

สีหน้าท่าทางของพวกนางซีดเซียว เมื่อความเย่อหยิ่งและความถือดีในใจของพวกนางแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ท่าทางภาคภูมิใจและรัศมีอันสูงส่งของพวกนางก็พังทลายจนไม่เหลือสิ่งใด พวกนางเป็นเหมือนนกอินทรีที่ถูกฟาดออกจากมวลเมฆ เสมือนวิหคเพลิงที่ถูกถอนขนออก ทำให้พวกนางดูไร้อำนาจและน่าสมเพชยิ่งนัก

“การเหยียบย่ำพวกเจ้าทั้งสองคนนั้น มันช่างน่าเบื่อเสียจริง ๆ และมันไม่ทำให้ข้าประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์น้องของข้า ข้าก็จะไม่เหลือบมองพวกเจ้าทั้งสองเลยแม้แต่น้อย พวกเจ้ารู้ไหมว่าทำไม? เพราะพวกเจ้าไม่คู่ควร! บางทีในสายตาของคนอื่น อาจมีรัศมีนับไม่ถ้วนอยู่เหนือศีรษะของเจ้า และยังเป็นที่ชื่นชมของผู้คนนับไม่ถ้วน แต่ในสายตาของข้า พวกเจ้าเป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร และเทียบไม่ได้แม้แต่เส้นผมของศิษย์น้องของข้า”

“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงพูดออกไปมากมาย? เป็นเพราะการกระทำที่โง่เขลาของพวกเจ้าทำให้ข้ารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก ทั้งที่พวกเจ้าก็ได้รับผลประโยชน์แล้ว แต่ยังต้องการทำร้ายศิษย์น้องของข้า พวกเจ้าช่างไร้ยางอายเสียจริง ๆ ถึงแม้ว่าข้าจะได้ให้คำสัญญากับสหายเก่าว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในโลกมนุษย์ แต่เนื่องจากพวกเจ้าทั้งคู่ชักนำข้ามาที่นี่ ดังนั้นข้าจึงต้องผิดสัญญาในครั้งนี้” ชายหนุ่มรูปงามกล่าวอย่างไม่เร่งรีบด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่คำพูดของนางกลับเหมือนใบมีดที่เยียบเย็นและคมกริบ เชือดเฉือนหัวใจของหญิงสาวทั้งสองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้หัวใจของพวกนางสั่นสะท้านและหลั่งเลือดออกมา

แต่พวกนางก็ไม่สามารถโต้แย้งได้ เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มรูปงามกล่าวนั้นล้วนเป็นความจริง ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งที่ชายหนุ่มรูปงามครอบครองอยู่ก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกล่าวออกไปเช่นนี้!

หลิงไป๋รู้สึกยินดีและดีใจอย่างมากเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้จากบริเวณใกล้เคียง ก่อนหน้านี้ เมื่อหญิงสาวทั้งสองได้ไล่ตามเขาและเฉินซีเพื่อที่จะสังหาร การกระทำและคำพูดของพวกนาง ราวกับเป็นราชินีที่ควบคุมชีวิตและความตายผู้อื่น ในขณะที่เขาและเฉินซีกลับเป็นเพียงลูกแกะที่จะต้องถูกเชือด มดที่จะถูกเหยียบย่ำ ปลาและเนื้อบนเขียงที่พร้อมจะถูกหยิบเอาไป…

ความรู้สึกของการถูกมองข้าม ถูกเหยียบย่ำ และการที่ชะตากรรมของตัวเองต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ เว้นแต่ว่าคนผู้นั้นจะได้สัมผัสด้วยตัวเอง ถึงกระนั้น สถานการณ์และบทบาทได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานกลายเป็นคนที่ถูกมองข้าม ถูกเหยียบย่ำ และชะตากรรมของพวกนางก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้อื่น ดังนั้นความยินดีในใจของหลิงไป๋จึงชัดเจน

“เจ้า… เจ้าจะจัดการกับพวกข้าอย่างไร” สีหน้าของชิงซิ่วอี้ซีดอย่างน่าสยดสยองขณะที่นางกล่าวช้า ๆ

“แน่นอน ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้าทั้งคู่ แม้ว่ามันจะเป็นการดีสำหรับข้า ที่จะฆ่าพวกเจ้าทั้งคู่ซะ แต่เนื่องจากเจ้าโชคดีพอที่จะได้พบกับข้า จึงถือว่าเรามีชะตาต้องกัน” สายตาของชายหนุ่มรูปงามจดจ้องไปที่เฉินซี และความเย็นยะเยือกบนใบหน้าของนางก็ละลายไปพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากของนาง “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าต่อสู้กับศิษย์น้องคนเล็กของข้าในอีกห้าปีข้างหน้า และชะตากรรมของเจ้าจะถูกตัดสินโดยความแข็งแกร่งของเขา เจ้าว่าอย่างไรบ้าง?”

เมื่อพวกนางทราบว่าชายหนุ่มรูปงามไม่ได้ตั้งใจจะทำลายล้างพวกนางทั้งสอง ชิงซิ่วอี้กับฟ่านอวิ๋นหลานก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นพวกนางก็ตกตะลึง ‘พวกข้าจะต้องต่อสู้กับเฉินซีในอีกห้าปีนับจากนี้ โดยตัดสินชะตากรรมของพวกข้าด้วยความแข็งแกร่งของเขาอย่างนั้นหรือ?’

หญิงสาวทั้งสองต่างมองหน้ากัน และประกายแห่งความหวังในดวงตาของพวกนางก็สว่างขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเท่าที่พวกนางกังวล บางทีพวกนางอาจจะไม่สามารถเอาชนะชายหนุ่มรูปงามคนนี้ได้ตลอดไป แต่ถ้าเป็นการต่อสู้กับเฉินซี โอกาสที่จะได้รับชัยชนะนั้นย่อมมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ชายหนุ่มรูปงามยิ้มอย่างมีเลศนัยราวกับมองความคิดของพวกนางออก แต่เขาก็ไม่ได้เปิดเผยและเพียงคิดอยู่ในใจ “สหายเก่า โอ้ สหายเก่า ข้าหักห้ามใจตัวเองไปมากแล้วและก็ปล่อยพวกนางไปอีกด้วย ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของศิษย์น้องคนเล็กอีก ข้าไม่ควรรบกวนการบ่มเพาะของเขาใช่หรือไม่?”

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

หลังจากที่ชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นให้คำมั่นภายใต้เต๋าแห่งสวรรค์ว่า พวกนางจะไม่สร้างปัญหาให้กับเฉินซีจนกว่าจะถึงห้าปีข้างหน้า จากนั้น ชายหนุ่มรูปงามก็ขับไล่พวกนางทั้งสองออกไปทันที และท่าทางของนางก็เหมือนกับกำลังขับไล่แมลงวันออกไป

เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสองคนจากไปอย่างปลอดภัย หลิงไป๋ก็กล่าวอย่างไม่เต็มใจนัก “เฮ้ เหตุใดท่านถึงไม่ฆ่าพวกนาง ท่านรู้ไหมว่าก่อนหน้านี้พวกนางน่ารังเกียจแค่ไหน!”

ชายหนุ่มรูปงามส่ายศีรษะพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่เข้าใจ ถ้าข้าสอดมือเข้าไปยุ่ง ข้าก็จะกลายเป็นคนแบบพวกนางไม่ใช่หรือ? การยืมมือคนอื่นเพื่อจัดการกับปัญหานั้นไม่ใช่สิ่งที่ดี หากเจ้าต้องการแก้แค้น เจ้าต้องเอาชนะศัตรูคนนั้นด้วยสองมือของเจ้าเอง และจงใช้กำลังของเจ้าตบสั่งสอนศัตรูคนนั้นอย่างรุนแรงจนเสียงดังกึกก้อง เมื่อนั้นจึงจะเป็นที่น่าพึงพอใจ”

หลิงไป๋เม้มริมฝีปากแน่นและกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “พวกนางยังใช้ความแข็งแกร่งของตนเองเพื่อรังแกคนอื่น เหตุใดเราถึงจะทำไม่ได้”

“พอได้แล้ว เจ้าต้องจำไว้ว่าอย่าบอกเขาถึงเรื่องนี้เมื่อเขาได้ตื่นขึ้น” ชายหนุ่มรูปงามกล่าวเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพร้อมกับแสยะยิ้ม ยามนี้นางไม่ต้องการอธิบายให้หลิงไป๋ฟังอีก แม้ว่าสิ่งที่หลิงไป๋กล่าวนั้น จะเป็นสิ่งที่นางเห็นด้วยในใจก็ตาม

หลิงไป๋พยักหน้า “ไม่ต้องกังวล ข้ารู้ว่าท่านทำสิ่งนี้เพื่อให้เฉินซีแข็งแกร่งขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว การบ่มเพาะเป็นสิ่งที่ต้องทำด้วยตนเอง อีกทั้งยังต้องมีความกล้าที่จะยืนหยัดด้วยตัวคนเดียวและพิชิตทั่วหล้า เพื่อกลายเป็นผู้บ่มเพาะที่แท้จริง”

ชายหนุ่มรูปงามพยักหน้าและมองไปที่เฉินซีอย่างลึกซึ้ง ซึ่งกำลังนั่งสมาธิและยังไม่ได้สติ นางดูเหมือนจะไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ แต่ทั้งร่างของนางก็เสมือนกับแสงจากดวงดาวที่จางหายไปจากอากาศ นางมาถึงโดยไม่มีใครสังเกตเห็นและจากไปอย่างไร้ร่องรอย เช่นเดียวกับความลับของมหาเต๋าที่ลึกลับและยากจะหยั่งถึง

“ฮู่~!”

หลังจากที่ชายหนุ่มรูปงามจากไป หลิงไป๋ก็ถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก ราวกับหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในใจของเขาได้ถูกยกออกไป ทำให้ร่างกายของเขารู้สึกผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าไม่เคยนึกเลยว่า ศิษย์พี่ของเฉินซีจะน่าทึ่งขนาดนี้ ข้าเกรงว่าแม้แต่เซียนสวรรค์ก็เองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ข้าสงสัยนักว่านิกายที่อยู่เบื้องหลังนางจะน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงไหน เฮ้อ ข้าไม่กล้าคิดเกี่ยวกับมันจริง ๆ ข้าไม่กล้า…” หลิงไป๋ถอนหายใจขณะที่เขาจ้องมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง

ชายหนุ่มรูปงามจากไปแล้ว ชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานก็ได้สาบานว่าจะไม่ทำร้ายเฉินซีจนกว่าจะถึงห้าปีข้างหน้า แต่ห้วงลึกของทะเลทรายมรณะที่กว้างใหญ่นี้ เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าและอันตรายซุกซ่อนอยู่มากมาย โดยเฉพาะป่าที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องคอยระแวดระวัง เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น

“หลิงไป๋ ข้าได้สติมาสักพักแล้ว และได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้นคร่าว ๆ อีกทั้งเรี่ยวแรงของข้าเกือบจะฟื้นฟูจนสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นเราจึงไม่ต้องเกรงกลัวคนอื่น ๆ อีกต่อไป” ท่ามกลางเสียงที่สงบนี้ เฉินซีซึ่งนั่งสมาธิอยู่บนพื้นก็ลืมตาขึ้นทันที และดวงตาของเขาก็ลึกล้ำราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ทำให้คนอื่นไม่สามารถล่วงรู้สิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจได้