บทที่ 245 เทพสงครามก็อารมณ์เสียได้เหมือนกัน

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

บทที่ 245 เทพสงครามก็อารมณ์เสียได้เหมือนกัน
ดวงตาทั้งคู่ของสวีซานเหนียงตื่นตกใจ เปล่งเสียงร้องที่น่าอนาถออกมาอย่างเจ็บปวด

เสียงร้องของนางดึงดูดผู้คนโดยรอบได้ไม่น้อย

คนแรกก็คือกู้ชูหน่วนที่อยู่ห่างจากนางไม่ไกลนัก

กู้ชูหน่วนเห็นแล้วก็รู้สึกหวาดกลัวมาก

นั่นมันดอกอะไร

ดอกไม้กินคนหรือ

ดอกชาที่สวยสดหยดย้อย นึกไม่ถึงเลยว่า……นึกไม่ถึงเลยว่าจะกินคน นี่มันเป็นโลกอะไรกันแน่

ขยี้ตาชั่วครู่ จ้องมองดีๆ ดอกชาเหล่านั้นกลายร่างเป็นโครงกระดูก ราวกับปีศาจร้าย แย่งกันกัดกินสวีซานเหนียงเสียงดังกร๊อบ

แม้แต่ ลูกตาก็ถูกกินไปแล้ว เหลือไว้เพียงโครงกระดูกโครงหนึ่งเท่านั้น เป็นโครงกระดูกมนุษย์ที่สมบูรณ์

คนที่มีชีวิตคนหนึ่ง ถูกกลืนกินไปจนหมดเช่นนี้ ถ้าหากไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง นางคงไม่กล้าเชื่อเลย

คนที่สองที่ถูกดึงดูดมา กลับเป็นหยินต้ากุ่ยกับสวีเจิ้น

สวีเจิ้นตาบอดทั้งสองข้าง มองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นตรงหน้า แต่เขากลับได้ยินเสียงร้องอย่างอนาถและสิ้นหวังของสวีซานเหนียง

“เกิดอะไรขึ้น ซานเหนียงเป็นอะไรไป ข้าจะไปช่วยซานเหนียง”

หยินต้ากุ่ยทนไม่ได้ ได้แต่ยืนมองดูสวีซานเหนียงถูกกัดกินไปทีละคำเท่านั้น

“ไป รีบหนี”

“พี่ใหญ่ ท่านยังไม่บอกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับซานเหนียง ทำไมซานเหนียงจึงเงียบไปแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่”

เขาไม่อยากให้จอมมารได้ยินเสียงของพวกเขา แต่สวีเจิ้นกลับเอาแต่พูดเสียงดังไม่หยุด ทำเอาหยินต้ากุ่ยโมโหจนต้องสกัดจุดเขาเอาไว้ แบกเขาขึ้นมาจากไปทันที

แต่กลับคิดไม่ถึงว่า จะมีคนมาขวางทางเขาเอาไว้

คนคนนี้ไม่ใช่ท่านจอมมาร แต่เป็นเทพสงคราม

เทพสงครามที่สองขาพิการ สีหน้าเคร่งขรึม

หยินต้ากุ่ยสีหน้าขาวซีด ปกป้องสวีเจิ้นอย่างมีเงื่อนไข พูดเสียงขรึมว่า “เจ้าจะทำอะไร”

“ทำร้ายผู้หญิงของข้า เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรเล่า”

ไม่รอให้หยินต้ากุ่ยตอบ เย่จิ่งหานหมุนขลุ่ยหยกในมือรอบหนึ่ง เสียงไพเราะเสนาะหูของขลุ่ยค่อยๆดังขึ้นมา

เสียงขลุ่ยลึกซึ้ง มีความเศร้าสลด ล่องลอยเวียนวนอยู่ในภูเขา

เดิมทีนี่เป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะบทเพลงหนึ่ง แต่หูของหยินต้ากุ่ยกับสวีเจิ้นนั้น กลับเป็นเหมือนราวกับเสียงปีศาจที่มาจากนรกภูมิ

ตัวโน๊ตทุกตัวเหมือนกับบทเพลงปลิดชีวิต ฟังแล้วทำให้พวกเขาเลือดลมเดือดพล่าน ราวกับจะทะลุออกมานอกร่างกาย แม้แต่เส้นลมปราณทั้งหลายก็กระตุกไม่หยุด

หยินต้ากุ่ยตื่นตกใจ

นี่มันบทเพลงเสียงปีศาจ

บทเพลงเสียงปีศาจเป็นบทเพลงสังหาร คนรอบข้างฟังแล้วไม่รู้สึกอะไรสักนิด

แต่คนที่ถูกบทเพลงเสียงปีศาจบดบังเอาไว้ กลับอยากจะตาย ทุกข์ทรมานราวกับถูกเฉือนเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น

เพียงแต่การถูกเฉือนเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง ไม่ได้เริ่มเฉือนจากภายนอก แต่เป็นการเฉือนจากภายใน

พลังภายในของสวีเจิ้นค่อนข้างอ่อน ทวารทั้งเจ็ดเริ่มมีเลือดไหลออกมา ใบหน้าบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวด

หยินต้ากุ่ยสีหน้าหวาดกลัว รวบรวมพลังภายในทั้งหมด สร้างเป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่ง ตัดขาดจากเสียงขลุ่ย ขณะเดียวกันก็ตะโกนว่า “ปิดหูเอาไว้ อย่าไปฟังเสียงขลุ่ย”

สวีเจิ้นทรมานแทบทนไม่ไหว อวัยวะภายในแทบจะระเบิดออกมานอกร่าง

ดีที่หยินต้ากุ่ยตัดขาดเสียงขลุ่ยได้ทันเวลา นี่จึงทำให้เขามีโอกาสในการหายใจอีกครั้ง

แม้จะเป็นเช่นนี้ สวีเจิ้นยังคงคุกเข่าลงกับพื้น เหงื่อเย็นไหลท่วมร่าง หอบหายใจเฮือกใหญ่ๆไม่หยุด ที่มุมปากก็มีเลือดซึมออกมา

หยินต้ากุ่ยพยายามเพิ่มพลังภายในสุดชีวิต ถึงแม้ว่าเย่จิ่งหานจะได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่จิ่งหานอยู่ดี เกราะป้องกันยิ่งอยู่ก็ยิ่งเล็กลง ค่อยๆมีร่องรอยที่กำลังจะปริแตก

“ปิดหูเอาไว้ รีบหนี”หยินต้ากุ่ยร้องตะโกนอย่างเจ็บปวด

เขาจะต้านไม่ไหวแล้ว

ร่างกายของเขาถูกดึงจากภายใน แล้วก็ถูกกดทับจากภายนอก ไปๆมาๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เทียบได้กับห้าม้าแยกศพ

ความรู้สึกเช่นนี้ ทรมานยิ่งกว่าฆ่าเขาเสียอีก

น่าตายนัก เย่จิ่งหานได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ทำไมยังมีพลังถึงเพียงนี้

น่าตายที่สุด จะทำลายบทเพลงเสียงปีศาจได้อย่างไร

กู้ชูหน่วนมองดูเย่จิ่งหานที่เป่าขลุ่ยอยู่ภายใต้แสงจันทรา เขานิ่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น สวมชุดผ้าไหมหรูหรา ดูสูงส่งมีสง่า แม้จะสวมหน้ากากผีเอาไว้ แต่ที่มุมปากของเขายังคงมีรอยเลือดเป็นหลักฐาน ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ และบาดเจ็บสาหัสด้วย

แล้วดูหยินต้ากุ่ยกับสวีเจิ้นที่พยายามป้องกันสุดชีวิต ดูจากใบหน้าที่เจ็บปวดของพวกเขา รวมไปถึงหู ตา จมูก ปากที่มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ถึงนางจะโง่แค่ไหนก็รู้ว่าเสียงขลุ่ยที่ฟังดูเศร้าโศกหดหู่นั้น สำหรับพวกเขาแล้ว เกรงว่าคงไม่ใช่บทเพลงที่ดี

โดยเฉพาะหยินต้ากุ่ย

เย่จิ่งหานอาศัยแค่ดนตรีบทเพลงเดียว ก็สามารถควบคุมพวกเขาได้แล้ว ต้องมีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำมากขนาดไหนกัน

หันไปมองอีกด้าน นางเห็นสวีซานเหนียงที่ถูกดอกลำโพงกินจนเหลือแต่โครงกระดูกอยู่บนพื้น รู้สึกหวาดกลัวจริงๆ

สวีซานเหนียงคงไม่ได้ถูกฆ่าด้วยฝีมือเย่จิ่งหานกระมัง

ถ้าหากเขาเป็นคนฆ่า วิธีการก็ช่างโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว

“อ๊า……”

สวีเจิ้นเจ็บปวดจนรองโหยหวน เจ็บปวดจนเอาหัวโหม่งกับพื้นไม่หยุด

เลือดแดงสดไหลออกมาจากหน้าผากของเขา โดยที่เขาไม่รู้สึกตัว แต่กลับเอาหัวชนอย่างรุนแรงครั้งแล้วครั้งแล้ว

ราวกับว่ามีเพียงการเอาหัวชนอย่างไม่หยุดเท่านั้น จึงจะทำให้รู้สึกสบายขึ้นมาบ้าง

หยินต้ากุ่ยตะโกนขึ้นอย่างร้อนใจ” เหล่าเจิ้น อย่าชนอีกเลย ขืนยังชนอีกหัวต้องแตกแน่”

มีพลังแข็งแกร่งสายหนึ่งจากที่ที่ห่างออกไปใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของเย่จิ่งหานขรึมลง เพิ่มความเร็วของเสียงขลุ่ย หยินต้ากุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เกราะป้องกันแตกออก เขาต้านทานบทเพลงเสียงปีศาจไม่ไหว ร่างกายปลิวออกไปอย่างแรง กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เจ็บจนแทบหมดลมหายใจ

ส่วนสวีเจิ้นได้ระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดทันที

“เย่จิ่งหาน เจ้ามีจุดอ่อนแล้ว”

น้ำเสียงอบอุ่นน่าฟังเสียงหนึ่งค่อยๆดังขึ้น เสียงนั้นธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง ทำให้รู้สึกอดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในภวังค์

หลังจากที่มีเสียงส่งผ่านมา ก็ปรากฏชายชุดขาวคนหนึ่ง

ชายชุดขาวเหาะลงมาจากบนท้องฟ้า ชุดขาวปลิวสะบัด เรือนร่างงดงาม ราวเทวดาลงมาจากสวรรค์ เขาสวมหน้ากากผีเสื้อ มองไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริง รอบตัวเขารายล้อมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสง่างาม เหาะเหินอย่างสวยงาม แค่พริบตาเดียวเท่านั้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตาตื่นใจ

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้วขึ้นมา

เป็นคนที่สวมหน้ากากอีกแล้ว

โลกนี้เกิดอะไรขึ้น

แต่ละคนจึงได้นิยมสวมหน้ากากกัน

วันหลังนางก็คงต้องไปซื้อหน้ากากมาสวมบ้างแล้วกระมัง

ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้คือ ลักษณะของชายชุดขาวคนนั้น โดดเด่นหาตัวจับยากมาก ไม่ต่างจากเย่จิ่งหานเท่าไหร่นัก

“เคร้ง……”

ชายชุดขาวยกมือขวาขึ้น พิณขาวที่อยู่ด้านหลังก็ตกอยู่ในมือของเขาอย่างเบาหวิว นิ้วมือเรียวยาวดีดลงไป พลังโจมตีอันรุนแรงสายหนึ่งพุ่งไปยังเย่จิ่งหาน

เย่จิ่งหานยิ้มเย็น เสียงขลุ่ยเปลี่ยนไป ราวกับเสียงกลองสงครามที่กึกก้อง

เสียงโครมดังขึ้น

เสียงขลุ่ยกับเสียงพิณปะทะกัน ภูเขาทั้งลูกเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง

ร่างของกู้ชูหน่วนโซเซไปหลายที เกือบจะยืนได้ไม่มั่นคงนัก

เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งจริงๆ

เสียงพิณและเสียงขลุ่ยต่างก็ไม่ยอมกัน สู้กันอย่างดุเดือด

สัตว์ป่าในภูเขาต่างตกใจจนวิ่งเตลิดไปหมด

หยินต้ากุ่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส เสี่ยงจะตายอย่างอนาถ เขาเห็นเย่จิ่งหานสู้กับเวินเส้าหยี หลังจากจ้องเขม็งไปที่กู้ชูหน่วนแวบหนึ่งแล้ว ก็ฉวยโอกาสหนีไป

จอมมารเม้มปาก รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง

ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาพี่สาวพบ พวกเขาสองคนจะมาขัดจังหวะทำไมกัน

แล้วมองไปยังหยินต้ากุ่ยที่หนีไป อารมณ์เขาไม่ดีเอาซะเลย ดีดนิ้วหนึ่งที ทำให้ร่างกายของเขาระเบิดกลายเป็นหมอกในทันที ไม่เหลือแม้แต่ซากศพสักชิ้น

จอมมารวิ่งมาถึงข้างกายกู้ชูหน่วน ราวกับกระต่ายน้อยที่กำลังตื่นตกใจ ร้องไห้ปรับทุกข์ว่า “พี่สาว ทำไมท่านเพิ่งมา อาโม่แทบจะตกใจตายแล้ว ”

กู้ชูหน่วนหันไปดู

ชายคนนี้ เป็นซือโม่เฟยคนนั้นที่รู้จักกันที่เขาทิ้งวิญญาณมิใช่หรือ

ทำไมเขาก็มาอยู่ที่นี่ด้วย

บทที่ 244 จอมมารเดือดดาล

บทที่ 246 ปฏิกิริยาตอบสนองประหลาดน่าดู