บทที่ 972 สถานการณ์ที่ทำให้คนเป็นบ้าได้ทุกเมื่อ

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

“ฮู่ว…” หลิงม่อม้วนแผ่นฟิล์มแล้วเก็บใส่กระเป๋า จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เดินไปทางรั้วเหล็ก ผิวน้ำแหวกเป็นริ้วตามการเคลื่อนไหวของเขา สายตาของเขาทอดมองลึกเข้าไปในทางเดินอุโมงค์นั่น แต่นอกจากความมืดและน้ำขังบนพื้น รวมถึงผนังที่มีแต่ตะไคร่น้ำขึ้นเต็มไปหมดแล้ว ก็ไม่เห็นอะไรอย่างอื่นอยู่ตรงนั้นเลย

อย่าว่าแต่เห็นเลย แม้แต่เสียงก็ไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย ทางเดินทั้งเส้นนอกจากเสียงที่เกิดยามหลิงม่อเคลื่อนไหว ก็แทบไม่มีเสียงอื่นดังขึ้นอีก แต่เพราะความเงียบนี้ กลับยิ่งทำให้รู้สึกกดดันสุดขีด โดยเฉพาะหลังจากที่เจอปลากลายพันธุ์ดุร้ายตัวนั้น หลิงม่อก็รู้สึกเหมือนใต้น้ำนี้มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ มันกำลังซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึก และรอให้เขาเข้าไปใกล้อย่างเงียบงัน

พอคิดว่ามีดวงตาคู่หนึ่งซ่อนอยู่ใต้น้ำ หลิงม่อก็อดหนังศีรษะตึงชาไม่ได้ แต่ขณะที่หวาดกลัว หลิงม่อก็ค่อยๆ เดินไปทางรูโหว่บนรั้วเหล็กอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆ ลอดตัวผ่านเข้าไป…

“ซ่าา…”

ขณะที่หุ่นซอมบี้ลอดตัวผ่านรั้วเข้าไป ร่างจริงของหลิงม่อก็ได้เดินตามอวี่เหวินซวนมาจนถึงส่วนลึกของทางเดินอันคับแคบ

สวี่ซูหานเดินตามหลังหลิงม่ออย่างเงียบงัน พลางเหลือบมองเขาเป็นพักๆ

“ยังต้องไปอีกไกลแค่ไหนกัน…” เธออยากจะถาม แต่ก็ทำได้เพียงคิดในใจ

ถึงแม้เพิ่งผ่านมาไม่นาน แต่การต้องเดินอยู่ในพื้นที่ว่างใต้ดินที่มืดและปิดสนิทอย่างนี้ กลับทำให้รู้สึกยากที่จะอดทน และยิ่งเดินลึกเข้าไป ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ยิ่งในสถานการณ์ที่สภาพแวดล้อมค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างนี้ด้วยแล้ว…ไม่ได้มีเพียงโคลนใต้เท้าที่ลึกขึ้น ผนังสองข้างทางก็มีของเหลวหนืดเคลือบหนาขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ของเหลวหนืดพวกนั้นต่างจากที่เห็นก่อนหนี้ พวกมันคล้ายมีสีเลือดเพิ่มขึ้นมา กระทั่งเริ่มมีเศษเล็กๆ น่าสงสัยปะปนอยู่ด้วย

การต้องเดินอยู่ในทางเดินอย่างนี้ ไม่เพียงรู้สึกเหมือนอาจเหยียบโดนอะไรบางอย่างได้ทุกเมื่อ แต่ยังรู้สึกเหมือนว่าอาจมีอะไรบางอย่างผุดออกมาจากของเหลวหนืดบนกำแพงสองข้างทางได้ทุกเมื่อด้วย…

กดดันเกินไปแล้ว! แต่ที่ทำให้รู้สึกกดดันกว่า กลับไม่ใช่ทางเดินเส้นนี้ แต่เป็น…

สวี่ซูหานแอบมองอวี่เหวินซวนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าเงียบๆ จุดที่เขาอยู่ห่างจากเธอและหลิงม่อเกือบสิบเมตร นั่นแสดงว่าเขาอยู่ตรงขอบรัศมีแสงไฟฉายเสมอ ซึ่งอดทำให้รู้สึกไม่ได้ว่า หากพวกเธอเดินช้าไปเพียงก้าวเดียว อวี่เหวินซวนอาจหายกลับเข้าไปในความมืดอีกครั้ง…

“ไม่ๆๆ ไม่ใช่เรื่องนี้…” สวี่ซูหานจ้องมองแผ่นหลังของเขา แล้วรีบสะบัดหน้าไปมาแรงๆ “ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความคิดฟุ้งซ่านพวกนี้ แต่เป็นอีกเรื่องต่างหาก…” เธอเงยหน้ามองหลิงม่อ มองจากมุมของเธอ ใบหน้าด้านข้างของหลิงม่อดูวงบนิ่งมาก ดวงตายังคงลึกล้ำเหมือนอย่างเคย แม้อยู่ใกล้แค่นี้ แต่เธอก็ยังไม่สามารถเดาอะไรได้จากเสียงหัวใจเต้นของเขาได้เลย

“แต่ถ้ามีอะไรจริงๆ หลิงม่อน่าจะรู้ก่อนเราอีกหรือเปล่า? ถ้าอย่างนั้น…เราคิดมากไปเองหรอ?” สวี่ซูหานอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ก็จริงนะ เราแค่สู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ในเมื่อหลิงม่อตัดสินใจแล้ว ยังไงก็คงไม่…”

หรือจะให้บอกเขาว่า เธอรู้สึกไม่ค่อยดีอย่างนั้นหรอ? ไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่เหมือนกำลังถูกความมืดกลืนกินช้าๆ แต่ยังรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้อง…และทิศที่มา ก็คือข้างหน้านั้น…แต่ทำไมอวี่เหวินซวนถึงยังยืนยันอยากจะพาพวกเขาไปให้ได้? แล้วก็หลิงม่ออีก ทำไมเขาไม่ถามให้รู้เรื่องก่อน แต่กลับเลือกให้ความร่วมมือง่ายๆ…

“ใกล้ถึงแล้ว” อยู่ๆ เสียงของอวี่เหวินซวนก็ดังขึ้น

เขายังคงเดินต่อไปไม่หยุด เขาเอนร่างไปซ้ายทีขวาทีเพื่อพยายามเดินหน้าต่อไป “ตามมาติดๆ หน่อยล่ะ…อดทนอีกนิดก็จะเห็นแล้ว พวกนายจะต้องตะลึงมากแน่ๆ…”

“ที่ซ่อนตัวของนายเมื่อกี้อยู่ตรงไหน?” อยู่ๆ หลิงม่อที่เงียบมาตลอดทางกลับถามขึ้น

อวี่เหวินซวนชะงักเท้า จากนั้นก็ค่อยๆ หันหน้ากลับมา

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาถูกไฟส่องอยู่หรือเปล่า สวี่ซูหานมักรู้สึกว่ารอยยิ้มของอวี่เหวินซวนดูแปลกๆ…เขายิ้ม แล้วบอกเสียงเบาว่า “เดินผ่านมาแล้ว ยังไงนั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ พวกนายรีบออกไปไม่ใช่หรอ? พวกเราไปดูเร็วๆ แล้วรีบไปกันดีกว่า”

“ผ่านมาแล้วงั้นหรอ…” หลิงม่อเหมือนถามไปอย่างนั้น พอได้ยินก็พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”

“หึหึหึ…” อวี่เหวินซวนมองหน้าเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะพร้อมหมุนตัวกลับไป แล้วเดินหน้าต่อ

“ถามเรื่องนั้นจะไปมีประโยชน์อะไรเล่า ถ้าจะถามก็น่าจะถามว่าตกลงเขาอยากให้เราไปดูอะไรดีกว่า…ฉันรู้สึกไม่ดีกับข้างหน้านั้นเลยจริงๆ…” สวี่ซูหานลอบคิดในใจอีกครั้ง

แต่ในเสี้ยววินาทีที่อวี่เหวินซวนหมุนตัวกลับไป เสียงของหลิงม่อกลับดังขึ้นเบาๆ ที่ข้างหูของสวี่ซูหาน “ระวังตัวด้วย”

“ระวังตัว?” สวี่ซูหานชะงัก รีบเงยหน้ามองเขา แต่สิ่งที่เธอเห็น กลับเป็นเงาร่างของหลิงม่อที่เดินไปข้างหน้าต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น…อย่าว่าแต่สีหน้าเลย แม้แต่ลมหายใจของเขาก็ยังคงสงบนิ่งขนาดนั้น…

“ระวังตัวจากอะไรล่ะ?” สวี่ซูหานคิดอย่างตกตะลึงปนงุนงง

ในเสี้ยววินาทีนั้น หลิงม่อพูดได้เพียงสั้นๆ เท่านั้น…แต่เขาต้องการจะเตือนอะไรกันแน่? หรือว่า เขากำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ?

“ไม่…ไม่สิ! ฉันเข้าใจผิด…ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาพูดอะไร แต่อยู่ที่เขาพูดแบบนั้นทำไมต่างหาก!” สวี่ซูหานม่านตาหดเล็กลงชั่วขณะ เธอเริ่มตระหนักได้แล้ว “ตามหลักแล้ว หลิงม่อเชื่อใจอวี่เหวินซวนมาก…ดังนั้นเขาไม่มีทางระแวงอวี่เหวินซวนแน่นอน! เสี้ยววินาทีเมื่อกี้ ตอนที่อวี่เหวินซวนหมุนตัวกลับไป…ทั้งเสื้อผ้าบนตัวเขา และการเคลื่อนไหว ล้วนสามารถทำให้เกิดเสียงเบาๆ ขึ้นมาได้ หลิงม่อจึงฉวยโอกาสตอนที่เสียงพวกนั้นดังพูดเตือนเธอ…มีเพียงต้องทำอย่างนั้น ถึงจะสามารถมั่นใจได้ว่าอวี่เหวินซวนจะไม่ได้ยินอะไร! ถึงแม้จะมีเสียงอะไร แต่สุดท้ายก็ถูกเสียงเคลื่อนไหวของตัวเองกลบอยู่ดี…”

“แต่สาเหตุที่ทำให้หลิงม่อระวังตัวถึงขั้นนี้ คืออะไรกันแน่?…ไม่ หากมองข้ามจุดนี้ไป สิ่งที่หลิงม่อต้องการบอกฉันจริงๆ ก็คือให้ฉันระวังอวี่เหวินซวนสินะ? แต่ว่า…” สวี่ซูหานมองอวี่เหวินซวนอีกครั้ง ถึงแม้เจ้าเฟิ่งจื่อคนนี้จะเป็นพวกชอบรนหาที่ตาย แต่ไม่ว่าจะมองยังไง เขากลับไม่ได้ดูผิดปกติเลย” ก่อนหน้านี้หลิงม่อไม่ได้มีท่าทีสงสัยอะไรเลย แต่เมื่อกี้เขากลับ…หรือว่าบทสนทนาเมื่อกี้ของพวกเขา จะทำให้หลิงม่อมั่นใจอะไรบางอย่าง…

เดิมที บรรยากาศที่ทำให้เธอรู้สึกกดดันมากอยู่แล้ว กลับยิ่งกดดันหนักกว่าเก่าหลังจากที่หลิงม่อส่งสัญญาณเตือนเธออย่างนั้น…ทางเดินอันเหยียดยาว และเงาร่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้าสุดนั่น…

“ใกล้ถึงแล้วใช่ไหม?” หลิงม่อโพล่งถามขึ้นมาอีกครั้ง

อวี่เหวินซวนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร กลับเป็นสวี่ซูหานที่ใจเต้น “ตึกตัก” ทันที ถึงเธอจะยังไม่เข้าใจนัก แต่พอได้ยินหลิงม่อถามขึ้น ร่างกายของเธอก็เกร็งขึ้นชั่วขณะอย่างไม่รู้ตัว ดีที่เธอสวมหน้ากากไว้ จึงไม่ต้องปั้นหน้า หรือแสร้งทำเป็นมองอวี่เหวินซวนด้วยสายตาสงบนิ่งมากนัก…

“ใกล้แล้วๆ…” อวี่เหวินซวนบอกโดยไม่หันมามอง

แต่หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว อยู่ๆ เขากลับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงชะลอฝีเท้าช้าลง และหยุดเดินในที่สุด

ข้างหลังเขา หลิงม่อกับสวี่ซูหานยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ไม่มีทีท่าจะเดินต่อ…

“เป็นอะไรไป?” ตอนนี้อวี่เหวินซวนยืนอยู่นอกรัศมีแสงไฟฉายแล้ว เขาหันหน้ากลับมา แล้วถามเสียงเบา

ถึงแม้มองไม่เห็นสีหน้าเขา แต่กลับสัมผัสได้ถึงความร้อนรนจากท่าทางของเขา “อย่าเพิ่งหยุดเดินสิ เดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งรอยเมตร พวกเราก็จะถึงแล้ว ทำไมถึงต้องหยุดเดินตอนนี้ด้วยล่ะ มันเสียเวลานะ…”

“เสียเวลาจริงๆ นั่นแหละ…ถ้าไม่ใช่เพราะอยากให้นายนำทางล่ะก็นะ” หลิงม่อเปิดปากพูด ทำเอาสวี่ซูหานหัวใจเต้นโครมคราม

ให้เขานำทาง? หมายความว่ายังไง?

อีกอย่างน้ำเสียงนี้ของเขา…นี่ เดี๋ยวสิ ไอ้น้ำเสียงเฉยเมยเวลาพูดถีบหัวส่งคนอื่นอย่างนี้มันอะไรกัน! หรือว่าเธอเข้าใจผิดทั้งหมด? ที่เขาบอกว่า “ระวังตัวด้วย” ความจริงมันไม่ได้มีความหมายแฝงลึกซึ้งอะไรเลย เป็นแค่คำขู่อย่างหนึ่งงั้นหรอ!

“ฉันตัดสินใจจะอาละวาดแล้ว เธอระวังตัวไว้ให้ดี…” เขาหมายความอย่างนี้งั้นหรอ!

“ไม่หรอกๆ…ถึงอากาศที่นี่จะแย่ไปหน่อย สภาพแวดล้อมก็ไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นทำให้เขาสติแตกหรอก…” สวี่ซูหานยืนปากอ้าตาค้างอยู่ข้างหลังหลิงม่อ “แล้วตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย!”

——————————————————–