นางเบิกตามองทัศนียภาพที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของหน้าผา
ตรงนั้นต้นไม้สะบัดไหวคล้ายว่ามันมีชีวิต งดงามและสงบ สุขุมและหนักแน่น ทว่าเต็มไปด้วยความว้าวุ่น
เดิมทีนางคิดว่าอารมณ์ที่ซัดโหมภายในใจได้สงบตามลงไปแล้ว ไม่มีเศษเสี้ยวของร่องรอยว่ามันจะตีโถมขึ้นมาใหม่
ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกนานเท่าไร ขณะที่ฉู่สวินหยางกำลังเหม่อลอย หูพลันได้ยินน้ำเสียงที่เคยคุ้นดังขึ้น
“สวินหยาง!”
เป็นเสียงของฉู่ฉีเฟิง ครึ่งหนึ่งคือความเจ็บปวดที่เอาชีวิตรอดมาได้ อีกครึ่งคือความยินดีที่ได้ของรักกลับคืนมา
ฉู่สวินหยางได้ยินเสียงเขาพร้อมกับภาพสีดำที่วูบผ่าน เขากอดนางไว้แน่น ใช้กำลังทั้งหมดที่มีโอบนางไว้ในอ้อมแขน
ฉู่สวินหยางไม่ส่งเสียง ไม่ดิ้นรน ทั้งยังไม่เงยหน้ามองเขา เอาแต่ซุกหน้าอยู่กับอกกว้าง
ดวงตาของนางชื้นเปียก นางข่มเปลือกตาลง ปล่อยน้ำตาหนึ่งหยดให้รินไหล
“ท่านพี่!” พักหนึ่ง นางถึงเอ่ยปากด้วยเสียงแหบพร่า
ฉู่ฉีเฟิงใช้เชือกโรยตัวลงมาจากหน้าผา ยังมีเจี่ยงลิ่วกับอิ้งจื่อที่โรยตัวตามลงมาอยู่ด้านข้างด้วย
สีหน้าของฉู่สวินหยางเคร่งเครียด ดวงตาแข็งกร้าว ไร้ความหวาดกลัวอย่างคนที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้าย ทั้งไม่มีความโล่งใจอย่างคนที่ผ่านความเป็นตายมาก่อน
ไม่รู้ทำไม พอเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิมของนาง อิ้งจื่อพลันรู้สึกแปลกหน้าและหวั่นเกรง ในใจอดจะสะท้านเพราะความหนาวเหน็บไม่ได้
ฉู่สวินหยางจ้องนางกลับ ไม่รอให้นางถามก็เอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้านายเจ้าตกลงไปจากแถวๆ นี้ อีกเดี๋ยวเจ้าก็ไปพาคนไปค้นหาเขาเถอะ!”
น้ำเสียงของนางนิ่งเฉย ทว่าในความมั่นคงคล้ายมีไอเย็นแฝงอยู่อย่างลึกซึ้ง
นัยน์ตาของอิ้งจื่อพลันดำมืด หัวใจโหวงเหวง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด…
ความจริงตั้งแต่ฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินตกลงมาทุกคนก็เตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่เตรียมใจก็ส่วนเตรียมใจ ทว่าความจริงที่ต้องรับรู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ฉู่ฉีเฟิงได้ยินเสียงนาง อ้อมแขนพลันแข็งเกร็ง ร่างกายตื่นตัวเต็มที่
คิ้วของเขาขมวดมุ่น หลุบตามองฉู่สวินหยางที่อยู่ในอ้อมแขน สีหน้าซับซ้อนมีอารมณ์เจ็บปวดซ่อนอยู่อย่างระมัดระวัง “สวินหยาง เจ้าไม่เป็นไรนะ?”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางเม้มปากตอบรับ ไม่สนใจอิ้งจื่อที่ยังตกตะลึงไม่หาย เพียงสูดลมหายใจลึกๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร พวกเราขึ้นด้านบนเถอะ!”
พูดจบก็ผลักแขนฉู่ฉีเฟิงออก ก่อนจะไต่เชือกขึ้นไปด้วยตัวเอง
ฉู่ฉีเฟิงมองท่าทางสงบนิ่งของนาง แต่ไม่รู้สึกสบายใจเลยสักนิด มีแต่กังวลมากขึ้นกว่าเก่า
เขาก้มหน้ามองลงไป อ้าปากคล้ายจะพูดบางอย่าง แต่พอเห็นความเยือกเย็นและปิดกั้นในเบื้องลึกของดวงตานาง วาจานับร้อยพันก็ได้แต่จุกอยู่ในลำคอ เขาสูดหายใจลึก ก่อนจะเริ่มปีนขึ้นด้านบนบ้าง
ฉู่สวินหยางปีนตามเขาอยู่ด้านล่าง ผ่านไปพักหนึ่ง เมื่อต้องผ่านจุดที่มีมีดสั้นปักอยู่บนผาหิน การเคลื่อนไหวของนางจึงเริ่มช้าลง นางยกมือขึ้นไปดึงมีดเล่มนั้น เก็บมันไว้กับสายผูกเอวที่เคยมัดข้อมือนาง จากนั้นก็ปีนหน้าผาต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หน้าผานี้แม้จะไม่มีที่ให้เท้าเหยียบ แต่พอมีเชือกช่วยทุ่นแรง สำหรับนางกับฉู่ฉีเฟิงนั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากเย็นอะไร
ฉู่ฉีเฟิงปีนถึงยอดผาก่อนนางก้าวหนึ่ง แล้วหันกลับมาส่งมือให้นาง
ฉู่สวินหยางจับมือเขาก่อนจะฉุดตัวเองให้ตามขึ้นไป
เวลานี้การต่อสู้ดุเดือดที่ด้านบนได้จบลงแล้ว ศพหลายสิบร่างนอนกองกันให้เกลื่อน กลิ่นคาวเลือดอบอวล มองแล้วทั้งน่าเวทนาและน่าสะอิดสะเอียน
“สงครามข้างหน้าก็เพิ่งจบ ฉู่ฉีเหยียนกับองค์รัชทายาทหนานฮวาเพิ่งจะแยกกันไปจัดการเรื่องที่เหลือ” ฉู่ฉีเฟิงอธิบายเสียงต่ำ สายตาคมกริบกวาดไปทางนักฆ่าสามคนที่ยังรอดชีวิตและถูกพวกเขาจับมัดเอาไว้
ในเมื่อพวกมันอาจหาญถึงขนาดลงมือกับน้องสาวสุดที่รักของเขา ความจริงแล้วพวกมันสมควรต้องตาย!
เมื่อเห็นเจี่ยงลิ่วปีนขึ้นมาถึงแล้ว ฉู่ฉีเฟิงก็พยายามข่มความโกรธแค้นในใจ เอ่ยว่า “เอาตัวพวกมันกลับไป สั่งลงไปด้วยว่า ข้ากับท่านหญิงจะรีบกลับเมืองหลวง ข้าต้องการสอบสวนพวกมันเบื้องหน้าพระพักตร์!”
ประโยคหลังไม่กี่คำ ทุกพยางค์เน้นชัด คล้ายว่าเค้นลอดฟันออกมา
มีคนเป็นตัวประกันอยู่ในมือเช่นนี้ เขาไม่กลัวว่าคนผู้นั้นจะไม่ตาย!
“ไม่ต้องแล้ว!” เจี่ยงลิ่วกำลังจะรับคำ ไม่คิดว่าอยู่ดีๆ ฉู่สวินหยางจะขัดขึ้นเสียก่อน
นางก้าวออกมา ยืนอย่างมั่นคงอยู่ตรงหน้าชายชุดดำทั้งสามที่ถูกเชือกมัดเอาไว้
แม้นางจะหายตัวไปเพียงชั่วยาม แต่พอกลับมาชายชุดดำต่างรู้สึกว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ดวงหน้ายังเหมือนเก่า แต่นัยน์ตากลับมีเงาเย็นเยียบเหมือนธารน้ำแข็งหมื่นปี ต่อให้ถูกมองนิ่งๆ ก็ทำให้คนรู้สึกหนาวเหน็บจากขั้วหัวใจ สั่นสะท้านไปทั้งร่าง
พวกมันพากันกลืนน้ำลายแห้งๆ คอก็หดต่ำงุดๆ
ฉู่สวินหยางไม่ได้ปรายตามองพวกมันเสียด้วยซ้ำ เพียงเดินผ่านด้านหน้าไปด้วยท่าทางไม่แยแส เวลาเดียวกันก็สั่งเสียงน่ากลัวว่า “ฆ่าทิ้งให้หมด!”
เพียงไม่กี่คำนั้น หางเสียงตัดจบรวบรัด หมดจดและน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
เจี่ยงลิ่วกลั้นหายใจกึก ส่งสายตาไปถามฉู่ฉีเฟิงทันที
ฉู่ฉีเฟิงไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าให้เขาแล้วเดินตามฉู่สวินหยางไป
ชายชุดดำก็พากันงงงวย ไม่ทันให้พวกมันได้เตรียมใจ เจี่ยงลิ่วก็ชักดาบออกจากฝัก คมดาบตวัดผ่าน เลือดสีแดงสาดพุ่ง ดวงตาของพวกมันเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ก่อนที่ร่างจะล้มคว่ำลงพื้น
“เราคุมจวนในเมืองไว้ได้แล้ว เรื่องนี้จับได้ทั้งคนร้ายและหลักฐาน สวินหยางเจ้า…” ฉู่ฉีเฟิงสาวเท้าตามฉู่สวินหยางไป แม้เขาจะปล่อยให้นางฆ่าคนเพื่อระบายอารมณ์โดยไม่ทักท้วง แต่ในใจก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนาง
แต่อย่างไร…
คนพวกนั้นก็แค่เขี้ยวเล็บปลายแถว
แม้เขาไม่คิดจะปล่อยพวกมันไป แต่หากอาศัยพวกมันค้นหาเบาะแส ก็อาจสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังได้
“มันสมควรตาย แต่ตายคนเดียวจะไปพออะไร?” ฉู่สวินหยางกระตุกมุมปาก ดวงหน้าไม่เปลี่ยนสี นัยน์ตายังคงเย็นเยียบจับใจดังเก่า
นางสาวเท้ามุ่งไปทางด้านนอกไม่หยุด ทางหนึ่งก็เอ่ยเสียงเย็นว่า “ท่านพี่รีบเขียนจดหมายส่งให้ฮ่องเต้ฉบับหนึ่ง บอกว่าท่านอารุ่ยถูกชาวหนานฮวาลอบทำร้ายจนบาดเจ็บ ต้องควบคุมเมืองหลวงให้สงบเสียก่อน แล้วหลังจากนั้นข้าจะไปจัดการเขาด้วยตัวเอง!”
ฉู่ฉีเฟิงเม้มปาก มองนางด้วยสายตาซับซ้อนและกังวล ก่อนจะเอ่ยปากด้วยความไม่แน่ใจว่า “สวินหยาง เรื่องครั้งนี้เจ้าก็คงมองออกแล้ว ความจริง…”
“ท่านพี่!” ฉู่สวินหยางพลันชักเท้าหยุดกึก ไม่รอให้เขาพูดจบก็เปิดปากตัดบททันที
นางหันกลับมามองหน้าฉู่ฉีเฟิง มุมปากยกเป็นรอยยิ้มขมขื่น เอ่ยว่า “ข้ารู้! แต่ข้าก็ต้องการให้พวกเขาได้รู้เหมือนกัน ว่าราคาที่ต้องจ่ายหากคิดจะใช้ข้าเป็นหมาก ก็คือการถูกล้มกระดาน พังพินาศกันให้หมด!”
——————————-