บทที่ 420 เคล็ดวิชาบุปผายักษ์

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

เย่เทียนเฉินทำได้แค่อาศัยการต่อสู้ระยะประชิด หวังว่าจะทำให้เถียนปอกวงถูกกดข่มได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังออกหมัดทั้งสองไม่หยุด พลางคิดหาวิธีเข้าใกล้กำแพงที่ถล่มลงมาเพื่อหาวิธีหนีออกไป ตงฟางเมิ่งไปแล้ว ผู้หญิงคนนี้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในสุสานโบราณมากกว่าตน เธอต้องไม่มีอะไรอันตรายอะไรแน่นอน ตอนนี้ต้องดูแล้วว่าเขาจะหาจุดอ่อนของเถียนปอกวงได้หรือไม่ ถ้าตนเองหนีไปได้ด้วยก็จะน่ายินดีกว่าอะไรทั้งสิ้น ส่วนหลี่ชิวสุ่ย ผู้หญิงที่น่ารังเกียจคนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเถียนปอกวงจะจัดการเธออย่างไรแล้ว

ไหนเลยจะรู้ว่าเถียนปอกวงคนนี้จะไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น แม้เย่เทียนเฉินจะระเบิดพลังการต่อสู้ออกมาอย่างฉับพลัน ทำให้อีกฝ่ายแปลกใจจนต้องถอยและสกัดกั้นการโจมตีไม่หยุด แต่ก็ไม่ให้โอกาสเย่เทียนเฉินได้ปลีกตัวหนีไป จะอย่างไรความสามารถในการบ่มเพาะของคนทั้งสองก็แตกต่างกันมาก เย่เทียนเฉินทำได้ถึงขั้นนี้ก็ทำให้เถียนปอกวงแปลกใจมากแล้ว

“ไอ้หนู เพื่อจะช่วยผู้หญิงคนนั้นแกถึงกับลำบากลำบนสิ้นเปลืองความคิดขนาดนี้ ฉันดูแล้วความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงคนนั้นกับแกก็ปกติ ถือว่าเป็นผู้ชายที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์คนหนึ่ง ฉันเถียนปอกวง ชั่วชีวิตนี้นับถือคนอื่นน้อยครั้ง แกนับเป็นคนแรก!” เถียนปอกวงสู้กับเย่เทียนเฉินไปพลางเอ่ยปากไปพลาง

“ชิ วรยุทธของฉันยอดเยี่ยมไม่มีใครเปรียบ หน้าตาหล่อเหลาล้ำเลิศ แม้แต่เส้นผมก็หล่อกว่าแกนับ 100 เท่า ต้องให้แกมานับถือหรือไง? อีกอย่าง คนที่พูดแบบนี้มีเยอะแยะ แกพูดอะไรที่มันแปลกใหม่หน่อยได้หรือเปล่า?”

เย่เทียนเฉินมองไปยังเถียนปอกวงแล้วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ พลังสายฟ้าในหมัดทั้งสองลุกโชน โจมตีออกไปไม่หยุด เขาไม่กล้าลำพองใจ เพลงดาบว่องไวและเคล็ดวิชาเทพท่องของเถียนปอกวงถูกใช้จนชำนาญแล้ว ยากจะรับมือจริงๆ

โดยที่ไม่รู้ตัว เถียนปอกวงและเย่เทียนเฉินให้ความรู้สึกประหนึ่งวีรบุรุษเสียดายวีรบุรุษ แต่ไม่ได้จะกล่าวว่าทั้งสองมีท่าทีลามกไร้ยางอายเหมือนกัน หากพูดถึงความลามกหื่นกระหาย ใต้หล้านี้ย่อมไม่มีชายใดที่ไม่ลามก นอกจากของบางอย่างจะใช้การไม่ได้หรือเป็นพวกรักร่วมเพศ ก็แค่ระดับความลามกแตกต่างกัน ระดับการควบคุมแตกต่างกัน ขีดจำกัดแตกต่างกัน ทำให้มีความอดทนแบบนั้นได้!

สิ่งที่เรียกว่าสุภาพบุรุษมากรัก ทำอะไรมักมีเหตุผล นี่เป็นการกระทำของผู้ชายมากมายนับไม่ถ้วน แต่เถียนปอกวงกลับไม่สนใจเหตุผล ต้องการลงมือกระทำเท่านั้น นั่นคือไม่สนใจสิ่งใดจนทำให้ได้รับฉายาโจรชั่วออกมา ถูกไล่ฆ่าไปทั่วทุกสารทิศ เพียงแต่เพลงดาบว่องไวและเคล็ดวิชาเทพท่องโดดเดี่ยวใต้หล้าของเขาทำให้เขามีชีวิตอย่างมีความสุขมาจนถึงตอนนี้ ได้ทุกสิ่งตามใจต้องการ นิสัยโผงผางเปิดเผย เทียบกับผู้ชายที่วันวันเอาแต่ชักว่าวแต่เบื้องหน้ายังแสร้งทำเป็นสุภาพบุรุษแล้ว พวกหลังน่ากลัวกว่ามาก

สุภาพบุรุษจอมปลอมน่ากลัวกว่าคนถ่อยที่แท้จริงมาก หวังว่าผู้ชายและผู้หญิงทุกท่านจะจดจำคำพูดนี้ไว้!

ระหว่างเย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงมีความรู้สึกเสียดายในฝีมืออีกฝ่ายเนื่องจากทั้งสองล้วนเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่จอมปลอม ไม่เสแสร้ง ความจริงในความคิดของเย่เทียนเฉิน เถียนปอกวงไม่ใช่โจรชั่วน่ารังเกียจอะไร แน่นอนว่าการที่คนคนนี้ไล่ปลุกปล้ำผู้หญิงไปทั่วดูจะเกินไปบ้างจริงๆ และควรต้องได้รับโทษ แต่เขาไม่ใช่คนที่ชอบฆ่าคนไปทั่ว กลับเป็นคนที่รักษาคำพูด เปิดเผยตรงไปตรงมายิ่งนัก เมื่อเทียบกับสุภาพบุรุษจอมปลอมที่แฝงอันตรายอยู่ในโลกของผู้มีพลังพิเศษและพรรควรยุทธโบราณหรือหลี่ชิวสุ่ยที่ฆ่าคนไม่กระพริบตาแล้วยังดีกว่ามาก

“ดี งั้นพี่ใหญ่อย่างฉันจะสู้เป็นเพื่อนแกสักครั้ง เอาตามคำพูดที่ฉันได้พูดไปแล้ว ขอเพียงแกชนะฉันได้กระบวนท่าเดียว โจมตีถูกฉันครั้งเดียว รับประกันเลยว่าจะไม่ทำให้แกกับผู้หญิงของแกลำบากใจอีก!” เถียนปอกวงพูดพลางหัวเราะ

เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไร ทำเพียงโจมตีเต็มกำลัง เพลงหมัดอัสนีสวรรค์ปรากฏขึ้นทั่วทั้งห้องหิน แต่เคล็ดวิชาเทพท่องของเถียนปอกวงก็ร้ายกาจมากจริงๆ เย่เทียนเฉินพบว่าขอเพียงเถียนปอกวงออกแรงที่เท้าทั้งสอง ความเร็วของเขาก็จะรวดเร็วประดุจสายฟ้า หากไม่ใช่ว่าในห้องนี้มีพื้นที่จำกัด คนคนนี้คงทะยานไปไกลหมื่นลี้ในเวลาเพียงชั่วพริบตาแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าใครเป็นผู้สร้างเคล็ดวิชาเทพท่องนี้ขึ้นมา ถึงกับร้ายกาจขนาดนี้เชียว

“ฉันจะอัดแก แล้วยังจะอัดแกจนหน้าเละเลยด้วย!” เย่เทียนเฉินแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

การโจมตีของหมัดทั้งสองยังคงไม่หยุด เย่เทียนเฉินสูญเสียพลังไปมากเพื่อช่วยตงฟางเมิ่งออกมาจากน้ำมือของเถียนปอกวง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาคิดจะใช้เวลาอยู่ที่นี่มากขนาดนี้ ในใจของเขายังคงคิดจะกลับเมืองหลวง ไหนเลยจะคิดเสียเวลาอยู่ที่นี่ ที่สำคัญก็คือเถียนปอกวงมีฝีมือแข็งแกร่งมากจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่คนที่สติหลุดง่ายๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้เขายอมปล่อยตงฟางเมิ่งไปได้

“ไม่ได้ ถ้าฉันอยากหาโอกาสหนีไปก็ต้องใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่รุนแรงออกมา เคล็ดวิชาเทพท่องของเถียนปอกวงร้ายกาจจริงๆ แค่ไม่ระวังเล็กน้อยดาบผ่าฟืนก็ตวัดมาถึงตัวแล้ว รับมือยากจริงๆ!” เย่เทียนเฉินคิดในใจ

ฉัวะ!

ฉัวะ!

เย่เทียนเฉินมือซ้ายกำหมัด มือขวากำหมัด ซัดไปทางเถียนปอกวงด้วยหมัดที่คละเคล้าไปด้วยสายลม พลังสายฟ้าในหมัดฉีกขาดอากาศ น่าหวาดกลัวอย่างมาก เถียนปอกวงก็ไม่กล้ารับตรงๆ ระเบิดเคล็ดวิชาเทพท่องหายตัวไปในพริบตา ไม่รู้ว่าไปที่ไหน เย่เทียนเฉินก็ไม่สนใจ สิ่งที่เขาต้องการก็คือโอกาสนี้ หมัดทั้งสองผสานกันผลักไปยังส่วนบนของห้องหินแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า

“โล่ทองคำ!”

เสียงสั่นสะเทือนอันรุนแรงดังขึ้น ประกายสีทองส่องสว่างทั่วทั้งห้องหิน ก้อนอิฐสีทองก้อนหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนโล่ร่วงลงมาจากฟ้า นี่เป็นเคล็ดวิชาที่เย่เทียนเฉินเรียนรู้ในทันทีที่ได้สัมผัสกับพลังพิเศษสายทองคำ โล่ทองคำนี้แตกต่างจากเคล็ดวิชาพลังพิเศษอื่นๆ นั่นก็คือมันมีพลังโจมตีที่สามารถทลายฟ้าทลายดิน ทั้งยังสามารถใช้เป็นโล่ป้องกันได้ด้วย ใช้ได้ทั้งตั้งรับและโจมตี

ตู้ม!

เถียนปอกวงปรากฏตัวขึ้น ในตอนที่เขาเพิ่งจะปรากฎตัวออกมาก็สัมผัสได้ถึงประกายสีทองเหนือศีรษะ เมื่อเงยหน้าขึ้นพลันต้องตื่นตะลึงจนหน้าถอดสี คิดไม่ถึงว่าโล่ทองคำอันใหญ่ขนาดนี้จะพุ่งลงมา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสัมผัสได้ถึงแรงระเบิดอันบ้าคลั่งอีกด้วย ต่อให้เป็นยอดฝีมือในระดับนักรบจอมราชันขั้นกลางอย่างเขาก็ไม่กล้าเข้าไปปะทะตรงๆ หากปะทะตรงๆ ต่อให้ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส และถึงแม้ฝีมือเย่เทียนเฉินจะสู้เขาไม่ได้ แต่กระบี่ในมือของไอ้หนูนี่แปลกประหลาดมาก มีอานุภาพร้ายแรง รวมกับที่เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษ มีเคล็ดวิชาสังหารที่มีอำนาจรุนแรงและแปลกประหลาดมากมาย เถียนปอกวงมีประสบการณ์การต่อสู้กับผู้มีพลังพิเศษน้อยมาก ดังนั้นจึงตื่นตะลึงหาใดเปรียบ ถึงกับขมวดคิ้วไปชั่วครู่

“สหาย ขอเพียงแกคุกเข่ายอมรับฉันเป็นพ่อบุญธรรม ฉันจะละเว้นความกดดันประดุจเขาไท่ซานนี้ให้แก โล่ทองคำนี้แกรับไม่ไหวหรอก และหนีไม่ได้ด้วย ห้องนี้ใหญ่แค่นี้เอง!”

มือทั้งสองของเย่เทียนเฉินกำลังควบคุมโล่ทองคำ พยายามให้มันกดทับลงมาไม่หยุด แต่ก็ยังช้ามาก ซึ่งอยู่ในการควบคุมของเขา

“ไอ้หนู แกทำให้ฉันต้องเปลี่ยนมุมมองจริงๆ มีศักยภาพไร้ขีดจำกัด แต่แกดูถูกฉันเถียนปอกวงเกินไปแล้ว ในฐานะที่เป็นโจรชั่วคนหนึ่ง หากมีความสามารถแค่นี้คงตายไปนานแล้ว วันนี้จะให้แกได้เห็นสักหน่อยว่าฉันร้ายกาจขนาดไหน!” เถียนปอกวงมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดออกมาอย่างมั่นใจ

เย่เทียนเฉินรู้สึกอับจนคำพูดโดยสิ้นเชิง เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองแปลกแล้ว คิดไม่ถึงว่าเถียนปอกวงจะแปลกกว่าเขาเสียอีก เรียกตัวเองว่าเป็นโจรชั่ว ทั้งยังไม่คิดว่านี่เป็นฉายาอัปยศออะไร กลับมีท่าทางภาคภูมิใจด้วยซ้ำ ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกอับจนคำพูดกับคนคนนี้จริงๆ!

“เคล็ดวิชาบุปผายักษ์มหาโจร!”

เถียนปอกวงแผดเสียงร้องคล้ายกับสิงโตติดสัตว์อย่างไรอย่างนั้น มือทั้งสองยกเสมอกัน ขับเคลื่อนพลังภายในบริเวณฝ่ามือทั้งสองในพริบตาจนปรากฏเป็นดอกไม้สีแดงดอกใหญ่ ใหญ่เท่ากับโล่ทองคำที่เย่เทียนเฉินกำลังบังคับให้เคลื่อนลงมา โล่ทองคำเคลื่อนจากบนลงล่าง ส่วนดอกไม้สีแดงที่เกิดจากจินตนภาพเคลื่อนจากล่างสู่บน เย่เทียนเฉินที่ได้เห็นยังต้องตกตะลึงและรู้สึกเอือมระอาอยู่บ้าง คนอย่างเขาที่มีนิสัยราวกับเทพแห่งความตายและอันธพาลยังรู้สึกว่ารับเถียนปอกวงไม่ได้ ถึงกับตั้งชื่อวิชาว่า “เคล็ดวิชาบุปผายักษ์มหาโจร” อยากตะโกนด่าไปถึงมารดามันจริงๆ คนคนนี้ต้องเอาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับคำว่าโจรตลอดเวลา ดูแล้วชั่วชีวิตนี้คงไม่คิดจะหลุดพ้นจากชื่อเสียงชั่วช้านี้แล้ว

ตู้ม!

ทั่วทั้งห้องหินสั่นสะท้าน เย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงยืนไม่มั่นคง โล่ทองคำปะทะกับเคล็ดวิชาบุปผายักษ์มหาโจร เคล็ดวิชาทั้งสองเป็นเคล็ดวิชาสังหารที่แข็งแกร่งทั้งคู่ แต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินตื่นตะลึงก็คือ เถียนปอกวงยังคงไม่เผยช่องว่างแม้แต่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเผชิญหน้ากับโล่ทองคำของเขาซึ่งหน้าแล้วยังไม่ตกเป็นรอง ในใจของเถียนปอกวงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ความสามารถในการบ่มเพาะของตนสูงกว่าเย่เทียนเฉิน แต่ไอ้หนูนี่ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษมาต่อต้านเคล็ดวิชาในระดับตนได้ รู้สึกเหนือคาดจริงๆ

ความจริงแล้วสิ่งที่เถียนปอกวงไม่รู้ก็คือ ในดาวสิ้นโลก เย่เทียนเฉินเคยเป็นผู้แข็งแกร่งระดับพระเจ้ามาก่อน นี่เป็นเคล็ดวิชาที่เขาเรียนรู้ในตอนที่มีพลังอยู่ในขอบเขตระดับสูงหรือไม่ก็ตอนที่กำลังจะทะลวงขอบเขต ถึงแม้การบ่มเพาะของเขาในตอนนี้จะเทียบเมื่อก่อนไม่ได้ แต่ในด้านเคล็ดวิชาที่ได้เรียนรู้ในระดับนั้นกลับแสดงความแข็งแกร่งให้เห็นอย่างชัด รวมกับที่นั่นเป็นเคล็ดวิชาที่เย่เทียนเฉินสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองจึงเป็นเอกลักษณ์ ไม่ได้ลอกเลียนแบบคนอื่น ย่อมมีพลังอำนาจรุนแรง

หลังจากโล่ทองคำและบุปผายักษ์มหาโจรปะทะกัน ทั่วทั้งห้องหินก็เต็มไปด้วยฝุ่น ไม่มีช่องว่างให้มองเห็นอะไรชัดเจน เย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงล้มอยู่ด้านข้าง ถ้าพูดถึงอาการบาดเจ็บ เย่เทียนเฉินบาดเจ็บสาหัสกว่าเล็กน้อย ส่วนเถียนปอกวงก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน บริเวณไหล่ซ้ายมีเลือดไหลออกมาเนื่องจากถูกโล่ทองคำทำให้บาดเจ็บ

เย่เทียนเฉินนอนอยู่บนพื้นในท่าหันหลังให้กำแพงหิน ในใจลอบรู้สึกตื่นตะลึง นับว่าเขาลงมือเต็มที่แล้ว ในตอนที่ใช้โล่ทองคำไปดวลกับอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้ เขาใช้ความสามารถที่ก้าวข้ามพลังต่อสู้ของตนไปแล้ว เรียกได้ว่าแม้พลังบ่มเพาะจะไม่ต่ำต้อยกว่าเถียนปอกวงแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้คนคนนี้บาดเจ็บหนักได้ โจรชั่วเถียนปอกวงคนนี้เก่งกาจจริงๆ ร้ายกาจมาก

“ไอ้หนู แกถึงกับทำให้ฉันบาดเจ็บได้ ไม่เลวเลย ดูถูกไม่ได้จริงๆ…” เถียนปอกวงหัวเราะก่อนจะกล่าวขึ้น

“ทำให้แกบาดเจ็บได้แล้วยังไง ตอนนี้ฉันเหนื่อยแล้ว จะไปดื่มเหล้าสักหน่อย แกจะดื่มด้วยหรือเปล่า?” จู่ๆ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกอยากดื่มเหล้าขึ้นมา สิ่งสำคัญเป็นเพราะตอนที่อยู่ในช่องว่างของกระบี่เซวียนหยวน เหล้าของปรมาจารย์กระบี่ไม่เลวเลยจริงๆ ทำให้เขารู้สึกคิดถึง ต่อสู้ใช้พลังมาถึงระดับนี้ทำให้รู้สึกกระหายจนอยากกินอยู่บ้าง

“แน่นอน อย่าคิดว่าฉันเถียนปอกวงเป็นแค่โจรชั่วอย่างเดียว ฉันเป็นเซียนสุราด้วย!” เถียนปอกวงพูดชื่นชมตัวเอง

เย่เทียนเฉินนำเหล้าออกมาสองไห เป็นเหล้าที่เขานำออกมาจากช่องว่างในกระบี่เซวียนหยวน โยนให้เถียนปอกวงไหหนึ่ง ทั้งสองดึงฝาไหออก ดื่มลงไปคำใหญ่ มีความสุขไม่น้อย วีรบุรุษสำแดงเดช กระทำการตามใจตน สุราอาหารลงท้อง ประคองสาวงามในอ้อมกอด มีความสุข! มีความสุข!

……………….