บทที่ 35 คนที่เชื่อย่อมเชื่อ โดย Ink Stone_Romance
“เจ้าพูดอะไร? ป้องกันฝีดาษได้?”
นายหญิงใหญ่หนิงวางลูกประคำในมือลงเอ่ยถาม
“ใช่เจ้าค่ะ ในเมืองลือกัน พูดว่าจริงแท้แน่นอน” หญิงรับใช้รีบร้อนเอ่ย
นายหญิงใหญ่หนิงยิ้มเฉยชา
“จริงแท้แน่นอนอะไรกัน” นางเอ่ย “ช่วงก่อนหน้านี้ก็บอกว่านางรักษาฝีดาษของไหวอ๋องหายได้ ก็ลือว่าจริงแท้แน่นอนเหมือนกัน ความจริงเป็นอะไร คนอื่นไม่รู้ พวกเรายังไม่รู้หรือ?”
แม้ไหวอ๋องเป็นสิ่งต้องห้ามที่ผู้คนหลบเลี่ยงไม่พูดถึง แต่จดหมายจากครอบครัวหนิงเหยียนบอกเล่าว่าอาการป่วยของไหวอ๋องไม่เบา หมอหลวงเหล่านี้อับจนหนทาง ถึงขั้นปัดบอกว่าเป็นฝีดาษไม่รักษา
ปัดบอกสองคำนี้ก็บ่งบอกแล้วว่าที่ไหวอ๋อองเป็นหาใช่ฝีดาษ
ทุกคนก็แค่มองออกแต่ไม่พูดเท่านั้น
ดังนั้นต่อมาคุณหนูจวินผู้นั้นไปรักษาโรคของไหวอ๋อง รักษาหายสร้างเรื่องฮือฮา ตระกูลหนิงจึงไม่รู้สึกว่านางรักษาฝีดาษหายได้จริงๆ
โรงหมอที่สืบทอดมาร้อยปี มีสูตรลับที่รักษาโรคร้ายรักษายากสักหลายอันก็ไม่แปลกอะไร เพียงแต่ว่าฝีดาษรึ….
“ใครลือ? เป็นคนตระกูลฟางอีกแล้วรึ?” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยพร้อมกับหัวเราะหยันอยู่บ้าง “ตระกูลฟางหนึ่งปีนี้แอบอ้างชื่อใหญ่โตยังน้อยหรือ? ขาดก็แต่บอกว่าตระกูลพวกเขาเป็นทายาทเทพเซียนแล้ว”
หญิงรับใช้อับอาย
“แต่คนบางพวกเชื่อไปแล้ว ยังมีผู้ดีชนบทจำนวนหนึ่งจับกลุ่มไปเมืองหลวงเชิญคุณหนูจวินกลับมา ปลูกฝีให้เด็กๆ หยางเฉิง” นางเอ่ย
นายหญิงใหญ่หนิงหัวเราะอีกครั้ง ยกถ้วยชา
“ค่าเดินทางเข้าเมืองหลวงเป็นตระกูลฟางออกล่ะสิ?” นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย
“ข้าก็ว่าแล้วเชียว ฝีดาษนี่จะป้องกันได้อย่างไร? โรค ตลอดมามีเพียงรักษา ไม่เคยได้ยินป้องกันมาก่อน” หญิงรับใช้หัวเราะตามเอ่ย “ก็ไม่รู้จริงหรือหลอก ในเมืองเล่าลือกันจนผู้คนจิตใจสับสน”
“พวกเขาอยากเล่าก็เล่าไป อวดอ้างหลอกลวงประชาชนให้เดินทางไปเมืองหลวง ถึงเวลาต่อให้มีราชโองการ ราชสำนักก็ไม่มีทางละเว้น” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ย จิบชาอีกคำหนึ่ง ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย ในดวงตาของนางไม่ปิดบังความเกลียดชัง “ตระกูลหยาบช้าเช่นนี้ ควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง”
เวลาเดียวกันในจวนเรือนตระกูลฟางแห่งหยางเฉิน นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางที่ไม่ออกจากเรือนด้านในมานานแล้วก้าวเดินเร็วไว สาวใช้หญิงรับใช้ด้านหลังก้มหน้าติดตาม บรรยากาศเคร่งเครียดอย่างมาก
ฟางเฉิงอวี่กลับไม่ได้อยู่ในเรือน นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็ไม่ได้ให้พวกสาวใช้ไปเรียก ตนเองตรงมาถึงลานฝึกซ้อม
ฟางเฉิงอวี่กำลังฝึกฝนยิงธนูภายใต้การชี้แนะของอาจารย์หลายคนอยู่ มองเห็นท่านย่ากับท่านแม่ก็รีบเช็ดเหงื่อเข้ามารับ
“เรื่องที่เจินเจินนางป้องกันฝีดาษได้ เป็นเจ้าให้คนประกาศออกไปข้างนอกหรือ?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถามตรงๆ
ฟางเฉิงอวี่ร้องอ้อทีหนึ่งพยักหน้า
“ใช่ขอรับ ในเมืองหลวงส่งจดหมายมาบอกแล้ว พี่สาวนางหาวิธีพบแล้ว” เขายิ้มเอ่ย “นี่สำหรับชาวประชาแล้วเป็นเรื่องน่ายินดีใหญ่หลวง”
“จดหมายที่มาจากในเมืองหลวงกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร?” นายหญิงใหญ่ฟางขมวดคิ้วเอ่ย “พวกเราถามแล้ว ข่าวในเมืองหลวงบอกว่าฝีดาษรักษาไม่หาย ตอนนี้เริ่มพูดว่ารักษาไม่หายป้องกันได้ ก่อนอื่นเป็นบรรดาท่านหมอกลุ่มหนึ่งใช้ตนเองลองยา หลังจากนั้นใช้นักโทษประหารลองใช้อีก ที่แท้เป็นอย่างไร ยังไม่มีข้อสรุปเลยนะ ทำไมเจ้าประกาศโจ่งแจ้งแล้วเล่า?”
“นี่ยังต้องพูดอีกหรือ?” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ย
“นางพูดอะไรก็เป็นอย่างนั้นสินะ?” นายหญิงใหญ่ฟางอดกลั้นความโกรธไม่อยู่เอ่ยขึ้น “เจ้ายังมีสมองอยู่หรือไม่? เจ้าคิดสักนิดหนึ่งได้หรือไม่? เรื่องนี้ทำเช่นนี้ได้หรือ?”
“ท่านแม่” ฟางเฉิงอวี่คล้องแขนนางยิ้มเอ่ย “ข้าคิดแล้วสิ ข้าตั้งใจคิดแล้ว”
“เจ้าคิดอะไรแล้ว?” นายหญิงใหญ่ฟางไม่สบอารมณ์สลัดแขนเขาออก
ฟางเฉิงอวี่วันนี้ฝึกฝนยิงธนู แขนกลายเป็นมีแรงแล้ว นายหญิงใหญ่ฟางถึงกับสลัดไม่หลุด
“ข้าคิดแล้วว่าพี่สาวนางเป็นคนที่มีสิ่งใดถึงพูดสิ่งนั้นน่ะสิ” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ย “ในเมื่อนางพูดแล้วย่อมทำได้แล้วเช่นกัน นั่นก็คือต้องไม่มีปัญหาแน่”
อย่างไรพูดว่านางเป็นอย่างไรๆ กับเขาก็ไม่มีประโยชน์ นายหญิงใหญ่ฟางโกรธถลึงตา
“เจ้าจะ… เจ้าจะ…” นางยื่นมือทิ่มหน้าผากฟางเฉิงอวี่ โกรธจนไม่รู้ควรพูดอะไรดี “เจ้าปลุกระดมคนหยางเฉิงไปเมืองหลวง หากไปถึงที่นั่นอะไรก็ไม่มีจะเก็บกวาดอย่างไร!”
ฟางเฉิงอวี่เอนศีรษะไปตามแรง
“ไม่มีทาง ไม่มีทาง” เขายิ้ม “จิ่วหลิงไม่มีทางทำให้ทุกคนผิดหวัง”
นายหญิงใหญ่ฟางยังจะพูดอะไรอีก นายหญิงผู้เฒ่าฟางยกมือห้ามนางไว้ มองฟางเฉิงอวี่ แล้วมองไปยังทิศทางที่เมืองหลวงอยู่
“พวกเจ้านี่นะ” ในที่สุดนางก็เอ่ยออกมา “เล่นกับชีวิตกันเสียจริง”
“เพราะไม่อยากตายไหมเล่า” ฟางเฉิงอวี่ตั้งใจเอ่ย “อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปจึงได้แต่กล้าเล่น”
ไม่อยากตายก็ต้องกล้าเล่น
ไม่กล้าเล่นก็มีเพียงตาย
นายหญิงผู้เฒ่าฟางเงียบงันไปครู่หนึ่ง ตบหัวไหล่ของเขา
“ไปก็ไปเถอะ แต่อย่าเกินไปนัก คนที่ไปอย่ามากขนาดนั้น คืบหน้ารุกได้ ถอยป้องกันได้” นางเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่ขานรับคำ
“ที่จริง ท่านย่า ข้าเพียงบอกให้ทุกคนเล่าเรื่องที่จิ่วหลิงทำที่เมืองหลวงสักหน่อยเท่านั้น ส่วนอย่างอื่นเป็นอิทธิพลของนางเองแล้ว” เขาเอ่ย
นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“คำพูดนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร?” นางเอ่ย
“ความหมายของข้าก็คือคนมากมายที่ได้ยินข่าวนี้เดินทางไปเมืองหลวง ข้าหาได้รู้เรื่องไม่” ฟางเฉิงอวี่จิ้มนิ้วเข้าหากัน ท่าทางประหนึ่งเด็กน้อยวิตกเอ่ยบอก “อย่างไรจิ่วหลิงก็ร้ายกาจปานนั้น”
…
เสียงฆ้องบนถนนใหญ่ของหรู่หนานตีดัง นี่ไม่ใช่ข้ามปีข้ามเทศกาล ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้คนบนถนนตกใจสะดุ้ง
อะไรกัน? อะไรกัน? หรือชาวจินบุกมารึ?
ผู้คนสีหน้าซีดขาวแห่ออกมา มองดูคนที่ตีฆ้อง
หูกุ้ย?
“หูกุ้ย เจ้าทำอะไรน่ะ?” ทุกคนตะโกนอย่างโมโหอยู่บ้าง
“ข่าวใหญ่ ข่าวใหญ่” หูกุ้ยเก็บฆ้องมองคนที่มารวมตัวกันตะโกนเสียงดัง “เด็กๆ ที่หรู่หนานของเรามีบุญแล้ว”
เด็กๆ?
ผู้คนยิ่งสมองตกอยู่ในม่านหมอก
“พวกเจ้ารู้จักฝีดาษไหม?” หูกุ้ยตะโกนถาม
ฝีดาษ?
สีหน้าผู้คนซีดขาวทันที ทุกคนถอยหลังพรึบพร้อมเพรียง
หรือว่าในเมืองมีฝีดาษระบาด? นั่นน่ากลัวเกินไปแล้ว คนที่ในบ้านมีเด็กล้วนรีบเร่งหลบออกไป
“ฝีดาษ!” หูกุ้ยสีหน้าตื่นเต้น ชูฆ้องขึ้นสูง “โรงหมอจิ่วหลิงแห่งหรู่หนานของพวกเรา คุณหนูจวินของพวกเรา ค้นพบวิธีที่ทำให้คนไม่เป็นฝีดาษแล้ว”
ผู้คนที่ถอยหลังไปก้าวหนึ่งตะลึง จากนั้นก็ส่งเสียงอื้ออึง
“จริงหรือ?”
คนทั้งหมดส่งเสียงประสานกัน
“จริง คุณหนูจวินเคยหลอกพวกเราเมื่อไร” หูกุ้ยตะโกนบอก “คนหยางเฉิงฝั่งนั้นเดินทางไปเมืองหลวงแล้ว บอกจะเชิญคุณหนูจวินกลับหยางเฉิง”
พวกชาวบ้านได้ยินถึงตรงนี้ส่งเสียงอื้ออึงอีกครั้ง
“อาศัยอะไรจะให้ไปหยางเฉิง”
“คุณหนูจวินเป็นคนหรู่หนานของพวกเรา!”
“เชิญคุณหนูจวินกลับมา!”
“ไปเมืองหลวง!”
“ไปเมืองหลวง!”
ไม่มีใครสงสัยอีกต่อไปกระทั่งไม่ถามรายละเอียด ทุกคนเชื่อมั่นไม่สงสัย มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
เดือนสองต้นวสันต์ บนถนนใหญ่สายลมวสันตฤดูหนาวเล็กน้อย ราวกับพริบตาเดียวคนม้ามากมายเพิ่มขึ้นมาก
มีบุรุษมีสตรีมีขี่ม้ามีนั่งรถ จากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกัน บนถนนใหญ่ค่อยๆ คนเดินขวักไขว่
ฝูงชนขวักไขว่ต่างเพศต่างอายุต่างฐานะเหล่านี้ทิศทางที่ไปเป็นทิศทางเดียวกัน เมืองหลวง
……………………………………….