เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1098 ความสำเร็จท่ามกลางอันตราย

แปลโดย iPAT

 

“เค้ง…เค้ง…”

 

บุปผาวายุโจมตีแผ่นหลังของฟางหยวน

 

การป้องกันของฟางหยวนฉีกขาดราวกับกระดาษที่บอบบาง

 

เลือดพุ่งออกมาจากบาดแผลราวกับสายฝน

 

‘โชคร้ายนัก!’ หัวใจของฟางหยวนจมดิ่งลง

 

มีภูตมนุษย์มากมายอยู่รอบตัวเขาแต่บุปผาวายุกลับเลือกที่จะโจมตีร่างจริงของเขา

 

เมื่อเวลาผ่านไปพลังอำนาจของวิญญาณอมตะโชคอึสุนัขก็เริ่มลดลง โอกาสที่เขาจะถูกค้นพบโดยเจตจำนงสวรรค์เพิ่มสูงขึ้น

 

สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือพลังอำนาจของวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดกำลังลดลงเรื่อยๆ

 

วิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดช่วยปกปิดกลิ่นอายของเขา เมื่อการป้องกันนี้หายไป สถานการณ์ของเขาจะเลวร้ายยิ่งกว่าการสูญเสียความช่วยเหลือจากวิญญาณอมตะโชคอึสุนัข

 

หนึ่งวินาทียาวนานราวกับหนึ่งปีขณะที่ฟางหยวนพยายามต่อต้านภัยพิบัติอย่างสิ้นหวัง

 

เขาอดทนต่อการโจมตีนับไม่ถ้วนจากจันทราหิมะและบุปผาวายุ

 

การป้องกันจากวิญญาณขีดจำกัดความมืดและวิญญาณโชคอึสุนัขอ่อนแอลงเรื่อยๆแต่ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยที่ใช้วิญญาณทัศนคติและวิญญาณเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นแกนกลางยังไว้ใจได้ นอกจากนี้เขายังสามารถใช้ภูตมนุษย์จำนวนมากเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

 

แต่เจตจำนงสวรรค์ก็ไม่โง่

 

หลังจากเรียนรู้กลยุทธ์ของฟางหยวน มันสามารถค้นพบร่างจริงของเขาได้รวดเร็วขึ้นทุกครั้ง

 

อาการบาดเจ็บของฟางหยวนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้วิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้า

 

แต่ด้วยวิธีนี้ ค่าใช้จ่ายของเขาจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

ฟางหยวนพยายามดิ้นรนอย่างยิ่งยวดเพื่อเอาชีวิตรอดในสถานการณ์อันตราย

 

จันทราหิมะยังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นทำให้ฟางหวนแทบมองไม่เห็นความหวัง

 

แต่เขาไม่ยอมแพ้และยังกัดฟันอดทนต่อไป

 

สายลมกรรโชกแรงราวกับกำลังเย้ยหยันที่ประเมินฟางหยวนสูงเกินไป

 

จันทราหิมะที่แขวนอยู่บนท้องฟ้าราวกับกำลังมองลงมาที่ฟางหยวนและเห็นมดไร้ค่าตัวหนึ่ง

 

เลือดและเหงื่อที่อาบย้อมร่างกายของเขาเริ่มแข็งตัวเพราะแสงจันทร์อันเย็นเยียบ

 

ฟางหยวนตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช ตอนนี้เขาดูไม่ต่างจากขอทานหรือคนบ้า

 

ใบหน้าของเขาเย็นชา เขาไม่ได้หัวเราะหรือกรีดร้อง

 

เขาดูเหมือนประติมากรรมน้ำแข็งที่เย็นชา แม้สวรรค์จะต้องการฝังศพเขา แต่เขาก็ไม่กล่าวสิ่งใดและอดทนอยู่กับสถานการณ์ที่สิ้นหวังอย่างเงียบๆ

 

เมื่อเวลาผ่านไปสายลมเริ่มอ่อนกำลังลง พลังอำนาจของภัยพิบัติบุปผาวายุค่อยๆหายไป นี่คือขีดจำกัดของมัน!

 

แม้สวรรค์จะต้องการขยายขอบเขตของภัยพิบัติแต่ทุกภัยพิบัติล้วนมีขีดจำกัดของตัวมันเอง

 

ฟางหยวนยังไม่ตายแต่บุปผาวายุกลับหยุดเพิ่มจำนวนขึ้น

 

ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบางและพุ่งเข้าโจมตีจันทราหิมะ!

 

แม้ภัยพิบัติบุปผาวายุจะหยุดลงแต่จันทราหิมะยังไม่หยุดเพิ่มจำนวนขึ้น

 

มีบุปผาวายุตกค้างอยู่จำนวนหนึ่งและยังมีจัทราหิมะจำนวนมาก

 

นี่เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก

 

ฟางหยวนรู้สึกอ่อนล้าจนแทบไม่มีแรงกัดฟ้น

 

ท่าไม้ตายอมตะ หมื่นตัวตน!

 

ท่าไม้ตายอมตะ กำปั้นยักษ์หมื่นตัวตน!

 

ท่าไม้ตายอมตะ คลื่นดาบสามชั้น!

 

ท่าไม้ตายอมตะ ใบหน้าที่คุ้นเคย!

 

ฟางหยวนไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก ท่าไม้ตายบางท่าล้มเหลวทำให้เขากระอักเลือดออกมาจากปาก

 

ภัยพิบัติพิภพมีขีดจำกัด ฟางหยวนก็เช่นกัน

 

ไม่มีเหตุผลที่จะวิ่งหนีในเวลานี้ ภัยพิบัติบุปผาวายุจบลงแล้วแต่ยังมีจันทราหิมะ

 

ภัยพิบัติยังไม่จบสิ้น ปราณสวรรค์พิภพยังไม่เสถียร มันเป็นไปไม่ได้ที่ฟางหยวนจะเก็บมิติช่องว่างกลับเข้าไปในร่างกาย

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจตจำนสวรรค์วางแผนการมาเป็นอย่างดี ภัยพิบัติพิภพครั้งก่อนความหมายที่แท้จริงของเทพปีศาจคลั่งเป็นส่วนหนึ่งของภัยพิบัติ ครั้งนี้แม้เจตจำนงสวรรค์จะไม่สามารถหยุดยั้งความหมายที่แท้จริงของเทพปีศาจคลั่ง แต่มันยังเปลี่ยนความหมายที่แท้จริงของเทพปีศาจคลั่งเป็นจันทราหิมะเพื่อเพิ่มความยากให้กับฟางหยวน

 

ในสถานการณ์ปัจจุบันมันขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใดจะอดทนได้นานกว่า

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมาฟางหยวนล้มลงบนภูเขาตงฮัน

 

พลังงานอมตะของเขาหมดลงแล้ว

 

เขาไม่สามารถรักษาท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยเอาไว้ได้อีก

 

ฟางหยวนใช้พลังและความพยายามทั้งหมดทำลายจันทราหิมะจำนวนมากแต่ยังเหลือจันทราหิมะดวงสุดท้าย!

 

ฟางหยวนต่อต้านแสงจันทร์โดยใช้ภูเขาตงฮันเป็นโล่ป้องกัน

 

ชั้นน้ำค้างแข็งปกคลุมบาดแผลของเขาและค่อยๆกลืนกินร่างกายของเขาทีละน้อย

 

สายลมสุดท้ายพัดมาและต้องการปลิดชีพของฟางหยวน

 

แต่ฟางหยวนยังเผยรอยยิ้มบาง

 

‘ในที่สุดข้าก็รอด!’

 

ในช่วงเวลาสำคัญปลามังกรเดียวดายตัวหนึ่งกลับปรากฏตัวขึ้น มันสะบัดหางทำลายจันทราหิมะดวงสุดท้ายโดยไม่คาดคิด!

 

วิญญาณอมตะทาสสัตว์อสูร!

 

วินาทีต่อมาปราณสวรรค์พิภพก็สงบลง ฟางหยวนรีบเดินทางออกจากภาคเหนือ

 

เมื่อเขาจากไป สองร่างปรากฏขึ้นจากใต้ชั้นน้ำแข็ง

 

“ที่นี่!” หนึ่งในสองตรวจสอบสถานที่และยืนยันสภาพแวดล้อม

 

อีกร่างดมกลิ่นและยืนยันเช่นกัน “ความรู้สึกของพวกเราไม่ผิด บางคนเผชิญหน้ากับภัยพิบัติของเขาที่นี่ ยังมีปราณสวรรค์พิภพบางส่วนตกค้างอยู่และยังไม่สลายไป”

 

ร่างทั้งสองดูคลุมเครือไม่ชัดเจน พวกเขาจงใจปกปิดตัวตน

 

อย่างไรก็ตามพิจารณาจากความสามารถในการตรวจสอบ แน่นอนว่าพวกเขาต้องเป็นผู้อมตะ

 

‘เห้อ…แดนน้ำแข็งถูกสร้างขึ้นโดยเทพปีศาจคลั่ง มันมีปราณสวรรค์พิภพน้อยกว่าที่อื่น หากผู้อมตะหลายคนเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่นี่ ปราณสวรรค์พิภพจะถูกใช้งาน บางส่วนของแดนน้ำแข็งจะพังทลาย สถานที่แห่งนี้จะไม่เสถียรอีกต่อไป’ หนึ่งในสองผู้อมตะลึกลับถอนหายใจและกล่าวด้วยความกังวล

 

‘แดนน้ำแข็งเป็นสวรรค์แห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ของพวกเราเผ่ามนุษย์หิมะ พวกเราอาศัยอยู่ใต้แดนน้ำแข็งและไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก หากมนุษย์ทำลายสถานที่แห่งนี้ พวกเราจะไม่เหลือที่อยู่อาศัย!’ ผู้อมตะลึกลับที่ดูเยาว์วัยกว่ากล่าวด้วยความโกรธ

 

มันกลายเป็นว่าผู้อมตะทั้งสองเป็นมนุษย์กลายพันธุ์เผ่ามนุษย์หิมะ

 

ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะวัยเยาว์กล่าวต่อ “ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งตัดสินใจช้าเกินไป ในความคิดเห็นของข้า เราควรกำจัดชูตู๋ เขาไม่เพียงต้องการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่แดนน้ำแข็งแต่ยังนำคนอื่นมาที่นี่เพื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ ด้วยวิธีนี้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราจะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว”

 

ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะชราถอนหายใจ “เห้อ…ข้าเข้าใจผู้อาวุโสสุงสุดลำดับที่หนึ่ง เขาเกรงว่าการต่อสู้กับชูตู๋จะเป็นการเปิดเผยที่ตั้งของพวกเราออกไปทั่วโลก ตอนนี้มนุษย์เป็นเจ้าเหนือหัวของโลกใบนี้ สถานะของพวกเราไม่มั่นคง หากเราถูกเปิดเผย ผู้อมตะทั้งหมดของภาคเหนือจะมาที่นี่”

 

“แล้วเราจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปงั้นหรือ? ด้วยกำลังของเรา หากต่อสู้ในแดนน้ำแข็ง มันไม่ใช่เรื่องยากที่พวกเราจะสังหารผู้อมตะเผ่ามนุษย์บางคน แน่นอนว่าข้ายอมรับว่าชูตู่แข็งแกร่งมาก เราอาจหลีกเลี่ยงเขา แต่ผู้อมตะคนอื่นๆไม่ใช่เรื่องยากที่พวกเราจะกำจัด เมื่อพวกเขาตาย ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเราคือฆาตกร! หึ เผ่ามนุษย์มีความขัดแย้งภายใน ฝ่ายธรรมะและฝ่ายปีศาจไม่เคยหยุดต่อสู้กัน” ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะวัยเยาว์กล่าว

 

“เห้อ…เจ้ากล่าวได้มีเหตุผลเช่นกัน รายงานเรื่องนี้และรอดูว่าผู้อาวุโสสูงสุดคนอื่นๆจะกล่าวเช่นไร”

 

หลังกล่าวจบคำ ร่างของผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะทั้งสองก็อันตรธานหายไป

 

แม้ร่างกายของฟางหยวนจะปกคลุมไปด้วยบาดแผลแต่เขายังไม่หยุดเคลื่อนไหวและต้องการกลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาอย่างรวดเร็วที่สุด

 

‘เจตจำนงสวรรค์ต้องการกำจัดข้า โอกาสที่ดีที่สุดคือช่วงเวลาแห่งภัยพิบัติ แต่มันยังสามารถวางแผนและส่งมนุษย์หรือสัตว์อสูรมาสังหารข้า!’

 

ฟางหยวนจดจำเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

 

นี่เป็นข้อมูลสำคัญที่เขาได้รับมาจากนิกายเงาโดยผมที่หก

 

ในการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน เขาเป็นส่วนหนึ่งของภัยพิบัติมนุษย์ที่เจตจำนงสวรรค์ใช้จัดการเทพปีศาจจิตวิญญาณ

 

เพราะเขาเคยสัมผัสมันมากับตนเอง ฟางหยวนจึงตื่นตัวกับภัยพิบัติมนุษย์เป็นอย่างมาก

 

เทพปีศาจจิตวิญญาณวางแผนมานานนับแสนปีแต่สุดท้ายเขายังพ่ายแพ้ต่อเจตจำนงสวรรค์

 

หากเปรียบเทียบ ฟางหยวนไม่ถือเป็นสิ่งใด

 

ดังนั้นฟางหยวนจึงไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่รุนแรงของตนและรีบหลบหนีอย่างรวดเร็ว

 

ไม่มีอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นระหว่างทาง ฟางหยวนกลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาได้สำเร็จ

 

เมื่อกลับถึงแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ฟางหยวนจึงสามารถถอนหายใจเพราะตระหนักว่าตนเองปลอดภัยแล้ว

 

จากนั้นเขาซ่อนตัวอยู่ในเมืองเมฆาและรักษาอาการบาดเจ็บก่อนจะส่งคืนวิญญาณอมตะทั้งหมดที่ยืมมา

 

ไม่กี่วันต่อมาอาการบาดเจ็บทั้งหมดของฟางหยวนก็หายเป็นปกติ

 

เขาเริ่มฟื้นฟูภูเขาตงฮันที่อยู่ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ

 

ภูเขาลูกนี้ช่วยเขาได้มากในภัยพิบัติที่ผ่านมา

 

หลังจากถูกโจมตีโดยบุปผาวายุ ตอนนี้มันกลายเป็นเพียงเนินเขาเล็กๆ

 

วิญญาณอมตะพื้นที่ก่อนหน้า!

 

ด้วยการใช้วิญญาณอมตะดวงนี้ ภูเขาตงฮันจึงกลับมามีขนาดเท่าเดิม

 

มีเพียงภูเขาตงฮันที่อยู่ในสภาพนี้จึงจะสามารถผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

ฟางหยวนไม่กล้าประมาท เขารีบนำภูเขาตงฮันออกมาและส่งต่อให้กับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาทันที

 

อย่างไรก็ตามแม้เขาจะสามารถผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยวได้เป็นจำนวนมาก แต่สวรรค์สีเหลืองยังปิดอยู่ ในคลังสมบัติของนิกายหลางหยาเต็มไปด้วยวิญญาณความเด็ดเดี่ยวที่ไม่สามารถขาย นี่ทำให้ฟางหยวนค่อนข้างกังวล

 

‘อีกสองเดือนภัยพิบัติพิภพครั้งที่สามจะมาถึง มันจะรุนแรงกว่าครั้งนี้ หากข้าไม่มีความก้าวหน้าใดๆ ข้าอาจตายในภัยพิบัติครั้งต่อไป’

 

‘เพื่อให้ได้รับมาซึ่งความแข็งแกร่ง ข้าต้องการทรัพยากรในการบ่มเพาะทุกประเภท สวรรค์สีเหลือง เมื่อใดเจ้าจะเปิด?’