ตอนที่ 179 ความจริง (2)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ชิวเยี่ยไป๋ก้มมองเขา ดวงตาฉายแววรังเกียจวูบหนึ่ง ตวาดเสียงเย็นชา “ปล่อยมือ!”

 

 

เหล่าเจอกูรีบปล่อยมือ ก้มลงโขกศีรษะแทบเท้าชิวเยี่ยไป๋ กล่าวเสียงสั่นเครือว่า “คุณชายสี่โปรดถาม เหล่าเจอกูจะบอกให้หมด!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นวิธีของตนได้ผล มองสบตากับโจวอวี่ โจวอวี่จึงไปพยุงเหล่าเจอกูนั่งลงบนเก้าอี้

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ก็กลับไปนั่งลง กล่าวเนือยๆ ว่า “บอกมา ซูจิ่นเป็นใคร คดีไหวหนานเป็นฝีมือพวกเจ้าใช่หรือไม่ เหตุใดถึงไปปล้นเรือ เพื่อชิงเงินจริงหรือ”

 

 

เหล่าเจอกูยังคิดจะโอ้เอ้ แต่ทุกคำถามของอีกฝ่ายล้วนจี้ประเด็นสำคัญ จึงรู้ว่าชิวเยี่ยไป๋เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เขาฝืนยิ้มอย่างขมขื่น และตัดสินใจเลิกคิดจะขัดขืน

 

 

เขาเงยหน้าจ้องมองชิวเยี่ยไป๋ “คุณชายสี่เย่ ท่านเป็นใครกันแน่ หัวหน้าหลิน…ไม่…ถ้าหัวหน้าหลินรู้ความนัยแต่แรก คงไม่ไว้ชีวิตพวกข้าจนถึงป่านนี้กระมัง”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองหน้าอวบอูมของเขา เห็นตาตี่เล็กฉายแววเจิดจ้า จึงรั้งมุมปากกล่าวว่า “เดิมทีข้าคิดว่า เจ้าเป็นคนขี้ขลาด นี่ข้าดูเจ้าผิดไปแล้ว”

 

 

นางหยุดลงแล้วพูดต่อ “เจ้าพูดถูก ที่ข้าสอบสวนเจ้านี้มิใช่ในฐานะของชาวยุทธจักร แต่ข้านั่งอยู่ตรงนี้ในฐานะของขุนนาง ข้าเป็นขุนนางระดับสี่ เชียนจ่งกองคั่นเฟิงแห่งหน่วยซือหลี่เจียน!”

 

 

เหล่าเจอกูมองดูคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา จะอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงว่าคนที่นั่งเป็นแขกผู้ทรงเกียรติบนโต๊ะของหัวหน้าหลิน จะเป็นถึงขุนนางของราชสำนัก!

 

 

การสมคบเป็นขี้ข้าของทางการเป็นข้อห้ามของยุทธจักร

 

 

ทว่า…

 

 

เขาพลันก้มลงใช้มืออ้วนใหญ่ทั้งสองข้างกุมศีรษะ สั่นเทิ้มทั้งตัวพึมพำว่า “ข้ารู้อยู่แล้ว รู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง…ฮ่าๆ ซูจิ่น…ไอ้ซูจิ่นเป็นต้นตอของเภทภัยชัดๆ!”

 

 

จากนั้นเขายกมือลูบหน้า กล่าวช้าๆ อย่างซึมเซาว่า “ข้าน้อยขอคารวะต่อใต้เท้า ในเมื่อใต้เท้ารู้อยู่แล้วว่าซูจิ่นไม่ธรรมดา ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอเริ่มจากตัวเขา ซูจิ่นมิใช่ข้าน้อยเก็บกลับมาแต่เป็นเขาเข้ามาหาพวกเรา วันนั้นพวกเราไปรับสินค้า…ซึ่งก็คือการปล้นเรือที่ทางการเช่นพวกท่านพูดกัน พอลงมือก็ถูกเขาพาคนล้อมไว้ ตอนแรกพวกเราคิดว่าเป็นคนของทางการจึงตกใจจนเข่าอ่อน ต่อมาจึงได้รู้ว่าซูจิ่นเพียงใช้พวกเราเป็นเครื่องมือเท่านั้น”

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมพวกเจ้าจึงไม่นำเรียนหัวหน้าหลิน” ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้วถาม

 

 

เขาหยุดลงแล้วถอนหายใจคราหนึ่ง “ตอนแรกพวกเรามิใช่ไม่คิดจะขัดขืน แม้เขาจะไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะเชือดไก่ แต่รอบตัวเขามีแต่คนวิทยายุทธ์สูงล้ำ ฆ่าโก่วต้านรองหัวหน้าของข้า แล้วสัญญาว่าจะให้แก้วแหวนเงินทองแก่พวกเรา ตลอดชีวิตของพวกเราไม่เคยเห็นเงินทองมากมายขนาดนี้ จึงจำต้องประนีประนอม”

 

 

แต่หลังซูจิ่นเข้าค่ายฉงฉีแล้วกลับมิได้เรียงร้องให้เหล่าเจอกูทำอะไร กลับช่วยขยายอิทธิพล รับสมัครพรรคพวก แถมยังช่วยเหล่าเจอกู ‘รับ’ สินค้าอย่างราบรื่นมิใช่น้อย

 

 

ด้วยเหตุนี้เองเหล่าเจอกูจึงค่อยๆ หลงใหลไปกับความรุ่งเรืองของค่ายตนเอง มีกินมีใช้มีหญิงงามให้ส้องเสพ ซ้ำร้ายยังเห็นว่าซูจิ่นเป็นคนมีฝีมือจนถึงกับนับพี่นับน้องกับเขา

 

 

“เจ้าไม่เคยสงสัยเลยหรือว่าเขามีเป้าประสงค์อย่างไร ข้าว่าน่าจะไม่นะ” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม

 

 

เหล่าเจอกูยิ้มแห้งๆ ขยี้ใบหน้าตนเอง “ไม่ ข้าใช่ว่าจะไม่สงสัย โลกใบนี้ไม่เคยมีเรื่องขนมเปี๊ยะหล่นจากฟ้าอยู่แล้ว แต่ข้าขัดขวางความเชื่อถือของพี่น้องที่มีต่อเขามิได้ ทุกคนกลัวความยากจน พวกท่านไม่เคยต้องวิตกกังวลต่อการมีกินไม่มีวันเข้าใจ ไม่มีวันเข้าใจเรื่องประเภทฆ่าคนเพราะข้าวชามเดียว…”

 

 

ตอนเขาพูดใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์เคียดแค้นและชิงชังอย่างควบคุมมิได้ แต่พอสบตาวาววับเย็นชาราวคมดาบของชิวเยี่ยไป๋ อารมณ์นั้นพลันสลายไป

 

 

“ต่อมา วันนั้นซูจิ่นบอกว่าเขาเห็นการค้ารายใหญ่ เรือตระกูลหลี่จะขึ้นเมืองหลวงพร้อมเงินบัญชี พวกเราจะได้กำไรงามแน่!”

 

 

เหล่าเจอกูถอนใจ “ใต้เท้าพูดไม่ผิด ความจริงข้าคิดอยู่แล้วว่าเขาคงเตรียมจะใช้ชื่อค่ายของเราไปทำอะไรบางอย่างที่เสี่ยงอันตราย ดังนั้นข้าจึงสนใจทุกเป้าหมายที่เขาจะลงมือ ถ้ารู้แต่แรกว่าเป้าหมายของเขาคือเรือบรรทุกเครื่องบรรณาการตระกูลเหมย ข้าจะไม่ยอมให้มันทำแน่”

 

 

“อ้อ อาศัยเจ้านะหรือ” ชิวเยี่ยไป๋เชิดปากอย่างถากถาง

 

 

เหล่าเจอกูหัวร่อแหะๆ น้ำเสียงมีแววทระนงเล็กน้อย “แม้คนในค่ายส่วนมากจะเชื่อฟังซูจิ่น แต่พวกคนเก่าคนแก่ส่วนมากเคยได้รับบุญคุณจากข้า ต่อให้ต้องเห็นแก่น้ำใจก็ยังเชื่อฟังข้า ยิ่งกว่านั้นคนในทุกลุ่มน้ำล้วนรู้ดีว่าเรือตระกูลเหมยแตะต้องมิได้ หัวหน้าใหญ่มู่หรงสั่งไว้แต่แรกแล้ว ใครจะกล้าฝ่าฝืนคำสั่งลับของหัวหน้าใหญ่”

 

 

พูดจบดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นได้ และแล้วก็เหมือนลูกโป่งหมดลม “ข้าคอยป้องกันซูจิ่น ซูจิ่นก็ระวังข้าเช่นกัน ดังนั้นพอเขาบอกว่าเป็นเรือของตระกูลหลี่ และข้าส่งคนสนิทไปสืบดูก็พบว่าเป็นเรือตระกูลหลี่จริง แต่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ จึงกลายเป็นเรือตระกูลเหมย นั่นเป็นเรื่องที่หลังจากฆ่าคนบนเรือปล้นเสร็จแล้วกลับมาจึงได้รู้ ภายหลังจึงรู้ว่าที่แท้วันนั้นเรือตระกูลเหมยก็จะนำเงินบัญชีไปที่เมืองหลวงเช่นกัน!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “โอ้ บังเอิญขนาดนี้เลยหรือ”

 

 

เหล่าเจอกูส่ายหน้าฝืนยิ้มอย่างขมขื่น “ก็ไม่รู้ว่าบังเอิญจริงหรือไม่ แต่หลังเราลากเรือกลับไป จึงพบความลับครั้งใหญ่…ความลับที่อาจพัวพันถึงชีวิต ดังนั้นข้าน้อยจึงคิดว่าการปล้นครั้งนั้นมิใช่เรื่องบังเอิญ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รู้ว่าถึงประเด็นสำคัญแล้วจึงถามทันทีว่า “พวกเจ้าพบอะไร”

 

 

เหล่าเจอกูลังเลอยู่นานแล้วมองชิวเยี่ยไป๋อีกครั้ง คราวนี้เขาพยายามยืดตัวที่อ้วนฉุให้ตรงแล้วโขกศีรษะต่อชิวเยี่ยไป๋สามครั้งอย่างเป็นทางการ “ขอใต้เท้าหลังทราบความจริงแล้ว โปรดช่วยชีวิตครอบครัวข้าน้อยด้วย ส่วนชีวิตของข้า ถ้าใต้เท้าต้องการให้ข้าไปเป็นพยานหรือไปตายข้ายินดี!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นแววตาของเขาเศร้าสลด คนขี้ขลาดและกลับกลอกคนนี้ ในยามนี้อุตส่าห์นึกถึงภรรยาและบุตร ทำเอานางอดเวทนามิได้ นางจึงพยักหน้ากล่าวเสียงหนักว่า “ได้ ข้ารับปากเจ้า”

 

 

เหล่าเจอกูยิ้มทั้งน้ำตา กล่าวทันทีว่า “ขอบพระคุณใต้เท้า ข้าน้อยพบว่าในเรือของตระกูลเหมยมีเกลือ!”

 

 

เกลือ!

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วตาโตนึกร้องเฮอะในใจ

 

 

นางคิดว่าอาจเห็นแก้วแหวนเงินทองของมีค่า หรือไม่ก็เป็นศาสตราวุธ จะอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าเป็น…เกลือ

 

 

เถาหงจิ่งหมอผู้เรืองนามสมัยราชวงศ์เหลียงเคยกล่าวไว้ว่า ‘รสทั้งห้า ขาดสิ่งนี้มิได้’

 

 

หมายถึงเกลือแกงแต่โบราณจวบปัจจุบัน เกลือกับเหล็กเป็นสิ่งที่ราชสำนักต้องควบคุมให้ได้ ‘เกลือ’ นั่นไม่ว่าจะยากดีมีจน ขอให้เป็นคนย่อมต้องใช้เกลือ ส่วน ‘เหล็ก’ หมายถึงอาวุธ การจัดทำอาวุธย่อมจะขาดเหล็กมิได้!