เมื่อเห็นท่าทีของยวี๋น่า ซูฉิงเองก็รู้สึกไม่สบายใจ
เธอรู้ดีถึงความรู้สึกของยวี๋น่าในตอนนี้ แต่ไม่ว่ายังไง ชีวิตมนุษย์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าใครจะอยู่ใต้ซากปรักหักพังก็ต้องได้รับการช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด
ซูฉิงเม้มริมฝีปากก่อนจะก้าวไปข้างหน้า และตบไหล่ยวี๋น่าเบาๆ ก่อนจะพูดปลอบใจ “เราต้องเจอเขาแน่นอน”
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เมื่อเห็นว่าทีมกู้ภัยและบอดี้การ์ดเริ่มเคลื่อนย้ายอิฐและกระเบื้องออกไปด้านนอก ซูฉิงก็เริ่มช่วยพวกเขาจนตัวเองคลุกฝุ่น
ไม่นานสิ่งกีดขวางด้านนอกก็ถูกขจัดออก จนเผยให้เห็นโบว์ผูกผมและผมแกละของเด็กน้อย
“เป็นเด็กผู้หญิง เร็วเข้า รีบช่วยเธอเร็วเข้า!” ซูฉิงที่เห็ยจึงพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
ตอนนี้นอกจากจะตามหาอู๋เทียนเหอแล้ว ยังต้องช่วยคนให้ได้มากที่สุด แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขนาดนี้ต้องมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากแน่
ทุกคนต่างยุ่งกับการช่วยเหลือ และความเร็วในการขุดก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อขจัดอุปสรรคได้มากขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องของเด็กหญิงตัวน้อยก็ชัดเจนขึ้น
“ฮึก ฮืออ…แม่…แม่จ๋า…”
เสียงร้องที่ทำอะไรไม่ถูกของเด็กหญิงตัวเล็กดังมา ยวี๋น่าก็ยั้งความคิดน่าเศร้าและช่วยเหลือด้วยกัน
“แม่? เป็นสองแม่ลูก ข้างล่างยังมีคน!” สีหน้าของซูฉิงนิ่งก่อนจะสั่งให้ทุกคนเข้าไปช่วยเหลือกันอย่างมีระบบระเบียบ
สิบนาทีต่อมา ทุกคนที่ช่วยกันในที่สุดก็สามารถถอดคานขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านล่างออกได้
ซูฉิงมองลงไปก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งก้มศีรษะลง
เสื้อคลุมสีฟ้าครามที่คลุมไว้มีแต่ฝุ่นและสกปรกไปหมด
ไม่เพียงแค่นั้น ตามเสื้อยังมีรูเล็กๆ ด้านหลังก็มีรอยสีแดงเข้มขนาดใหญ่ ดูแล้วน่าจะถูกกระแทกตอนแผ่นดินยุบตัว และถูกฝังอยู่ในซากปรักหักพัง ทั้งยังมีบาดแผลอีกมาก รอยขีดข่วนและรอยฟกช้ำ…จนทำคนใจหาย
ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนนั้น มีเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่อายุหกถึงเจ็ดขวบเท่านั้น
สภาพของเด็กน้อยดูดีกว่า มีเพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อย ใบหน้าหน้าสกปรก เพราะมีแต่คราบฝุ่นสิ่งสกปรก ช่างน่าสงสารมาก
เมื่อเห็นฉากนี้ ซูฉิงก็รู้สึกประทับใจ
แม่ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ใช้ร่างกายตัวเองปกป้องลูกของเธอ
“แม่ แม่จ๋า…แม่ตื่นสิคะ…” เด็กหญิงตัวเล็กๆ ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นพวกซูฉิง ไม่นานก็ร้องไห้ออกมา ก่อนจะวางมือของเธอบนแขนของหญิงสาวแล้วออกแรงดัน
“มีคนมาแล้วแม่ แม่รีบตื่นเร็วเข้า…”
ชซูฉิงก้าวไปข้างหน้าและปลอบเด็กสาว “หนูน้อย ไม่ต้องร้องนะ”
ทีมกู้ภัยส่งบุคลากรไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนท่าทางของหญิงสาวและยกขึ้นจากซากปรักหักพังอย่างระมัดระวังไปวางบนเปล
ยวี๋น่าขมวดคิ้วและมองผู้หญิงคนนั้นอย่างกังวล
เด็กหญิงตัวเล็กๆ ถูกนำตัวไปยังพื้นที่โล่งที่ค่อนข้างปลอดภัยโดยแพทย์ของทีมกู้ภัย ก่อนจะทำแผลให้อย่างระวัง
เสียงของเด็กหญิงตัวเล็กๆ แหบไปหมด แต่เธอยังคงมองไปยังทางที่ผู้หญิงคนนั้นอยู่
เมื่อรู้ว่าซูฉิงและยวี๋น่าเป็นคนที่มาช่วยพวกเขา ก็ยิ่งร้องไห้และมองไปที่ซูฉิงแล้วพูดว่า “พี่สาว ขอร้องนะคะ ขอร้อง…ช่วยแม่ของหนูด้วยนะคะ…”
ยวี๋น่าคอยดูแลผู้หญิงคนนั้น แต่สู้ให้ตื่นขึ้นมาจะดีกว่า
ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นซีดและอยู่ในภาวะไม่ได้สติ แม้ว่าแพทย์ของทีมกู้ภัยจะพยายามปฐมพยาบาลแค่ไหน แต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย
“พี่จะไปดูอาการของแม่หนูให้นะ ไม่ต้องห่วง พี่จะพยายามช่วยให้สุดความสามารถนะ!” ซูฉิงเม้มปาก ตอนที่พวกเธอช่วยออกมา เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นปกป้องลูกสาวของเธอ เธอนึกภาพตอนเกิดแผ่นดินไหวและทั้งคานทั้งหินตกลงมากระแทกหลังจะเป็นยังไง
เกรงว่า…จะรอดยาก
หลังจากพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปลอบใจหนูน้อย ชูฉิงก็ชี้นิ้วให้หมอดูแลเธอและเดินไปอีกด้านเพื่อไปทางเปลหาม
ยวี๋น่าขมวดคิ้ว และลุกขึ้นอย่างช้าๆ ซูฉิงเดินเข้ามาตรวจสอบผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง เลือดบนแขนและขาของเธอแห้งกรัง ไม่รู้ว่าถูกฝังอยู่ใต้ดินนานแค่ไหนแล้ว
“เธอเป็นยังไงบ้าง? พันแผลไว้หมดแล้วใช่ไหม?”
ยวี๋น่าถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันศีรษะไปยังซูฉิง ก่อนจะเหลือบมองไปที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกล ก่อนจะส่ายหัวไม่พูดอะไร
สุดท้ายก็เป็นหมอที่พูดก่อนว่า “แผ่นดินไหวส่งผลกระทบหนักมาก เธอกับเด็กน้อยถูกฝังอยู่ในซากปรักหักพังมานานมาก ไม่ง่ายเลยที่จะอยู่รอดจนถึงตอนนี้ เราเองก็พยายามอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว ของที่เรานำมาครั้งนี้มีจำกัด และไม่มีเครื่องมือผ่าตัด แต่ถ้าจะย้ายไปในเมื่อก็น่าจะไม่ทัน…”
หมอไม่พูดอะไรหลังจากนั้น
ซูฉิงและยวี๋น่าเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาหมายถึงอะไร และทั้งคู่ก็ถอนหายใจในใจ
ในขณะนั้นเอง ริมฝีปากของผู้หญิงก็ขยับเล็กน้อย ก่อนจะลองยกมือขึ้น
แต่อาจเป็นเพราะความอ่อนล้า เธอจึงยกขึ้นได้เพียงเล็กน้อยก่อนจะร่วงลง เพียงเหยียดนิ้วและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “คุณ…”
ซูฉิงและยวี๋น่าสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงก็รีบย่อตัวลงจับมือผู้หญิงคนนั้น ไม่สนใจสิ่งสกปรกในเล็บของเธอ และพูดอย่างรวดเร็วว่า “คุณคะ เรามาช่วยค่ะ หากคุณมีอะไรอยากพูดก็พูดออกมาได้เลยนะคะ”
ผู้หญิงคนนั้นพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลืมตา ทว่าจ้องไปที่ทั้งสองคนเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็มองไปทางเด็กหญิงตัวเล็กๆ และนิ้วโป้งของเธอค่อยๆ แตะนิ้วของซูฉิง
“ขอบ…ขอบคุณ เธอ…เธอ…”
เสียงของผู้หญิงคนนั้นอ่อนแรงและเบามาก จนซูฉิงแทบไม่ได้ยินเลยจึงก้มลงไปใกล้มากขึ้น
แม้ว่าสิ่งที่เธอพูดจะไม่ต่อเนื่อง แต่ซูฉิงเข้าใจสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ว่าเธอต้องการอะไร
“ต้องการพบลูกสาวใช่ไหมคะ? ได้ค่ะ”
ยวี๋น่าเข้าใจอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันศีรษะแล้วลุกขึ้น วิ่งเหยาะๆ ไปทางเด็กน้อยและหมอที่ดูแลเธอ “หนูน้อย รีบไปกับพี่เร็ว เเม่หนูตื่นแล้วนะ”
เด็กน้อยที่ได้ยินก็มีความสุขมากก่อนจะจับมือยวี๋น่าและเดินเร็วกว่าตอนแรกมาก
เมื่อเธอมาถึง ก็เห็นผู้หญิงที่นอนรวยรินอยู่บนเปล จนเธอไม่สามารถควบคุมน้ำตาได้จนมันไหลออกมาอย่างกะทันหัน
“แม่จ๋า…แม่เป็นอะไรคะ…”
ในขณะนั้นเองผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มและยกมือขึ้น ใช้นิ้วลูบใบหน้าของเด็กน้อย และช่วยเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนจะพูดด้วยเสียงเบาและอ่อนโยน “นีนี แม่…แม่อาจจะอยู่ดูหนูเติบโตไม่ได้แล้ว ต่อไป ต่อไปหนูต้องดูแลตัวเองดีๆ ต้องเชื่อฟังคุณอากับคุณน้า…แม่รักลูกนะ แม่จะคอยดูหนูจากบนฟ้านะลูก…”
ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองไปทางซูฉิง ก่อนจะขยับริมฝีปากของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่พูดอะไร แต่ซูฉิงรู้สึกได้ว่าเข้าใจความรู้สึกของเธอ
[ดูแลลูกสาวฉันทีนะคะ ขอบคุณคุณมาก]