ไม่ว่าในเมืองหนานจ้าวอ๋องจะมีพายุเลือดสาดกระเซ็น และมีการต่อสู้กันเพียงไร แต่เยี่ยหลีและม่อซิวเหยากลับกำลังผ่อนคลายและเป็นอิสระอย่างหาได้ยากนักในช่วงหลายปีมานี้ ทั้งสองมิได้พาองครักษ์ติดตามมาด้วย ทิ้งให้พวกฉินเฟิง จั๋วจิ้ง และเฟิ่งจือเหยารั้งอยู่ที่หนานจ้าว คอยช่วยเหลือสวีชิงเฉิน
พวกเขาใช้ม้าป่าที่ม่อซิวเหยาเพิ่งจับได้เพียงตัวเดียวขี่ออกไปพร้อมกับสัมภาระอีกเล็กน้อย ออกจากเมืองหนานจ้าวอ๋องมุ่งหน้าไปทางซีเป่ย เพื่อไม่ให้ถูกรบกวนระหว่างทาง ม่อซิวเหยายังได้ย้อมสีผมของตนที่เคยทิ้งให้ขาวมาตลอดหลายปี เป็นสีดำอีกด้วย ทั้งยังเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เป็นอย่างคนในยุทธภพธรรมดา ทั้งสองจึงดูเสมือนหนึ่งคู่สามีภรรยาที่หลุดออกมาจากเทพนิยาย มาเดินดินอยู่ในยุทธภพกระนั้น
ในขณะที่ทุกคนพากันคิดว่าติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องควบม้าเร็วกลับซีเป่ยไปแล้วนั้น ม่อซิวเหยากลับพาเยี่ยหลีเดินทางผ่านชายแดนหนานจ้าวและซีเป่ย เข้าไปยังพรมแดนของซีหลิง
เดิมทีเมื่อหลายร้อยปีก่อน ซีหลิงเคยเป็นส่วนหนึ่งของต้าฉู่ ดังนั้นถึงแม้จะผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว แต่เรื่องภาษา วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมต่างๆ ของชาวบ้านยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายนัก เพียงแค่ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเปลี่ยนการแต่งกายเล็กน้อย ปะปนผ่านชายแดนซีหลิงเข้าไป ตลอดทางก็ไม่มีผู้ใดสงสัยแม้แต่น้อย
ทั้งสองเป็นบุคคลสำคัญที่เกี่ยวพันกับทุกสิ่งทุกอย่างในซีเป่ย ยามปกติไม่ว่าจะไปที่ใด ต่างมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ไฉนเลยจะเคยมีช่วงเวลาที่อิสระเช่นนี้ ครานี้ ทั้งสองมิได้นำองครักษ์มาด้วยเลยแม้แต่คนเดียว พาหนะเดินทางที่ใช้ท่องเที่ยวไปตามแม่น้ำและภูเขาก็แสนจะเรียบง่าย ถึงแม้จะมิได้ตั้งใจไปตามหาภูเขาหรือแม่น้ำใหญ่ หรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งทวยเทพที่มีชื่อเสียง แต่ก็ยังรู้สึกมีอิสระและยินดีปรีดิ์เปรมเป็นอย่างยิ่ง
ม่อซิวเหยาเมื่อได้เห็นหัวคิ้วของเยี่ยหลีคลายออกเช่นนั้นทุกวัน รอยยิ้มบางแต่ดูผ่อนคลายบนใบหน้า ก็ทำให้ในใจรู้สึกผิดขึ้นเป็นที่สุด
หลายปีมานี้ ความกดดันที่เยี่ยหลีต้องเจอ มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใดในซีเป่ย บางครั้งอาจมากกว่าอีกด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเขา หากนางมิได้แต่งงานกับเขา ด้วยความสามารถของอาหลี คิดอยากจะใช้ชีวิตเช่นไรก็แสนจะง่ายดาย แต่ทั้งหมดนี้ด้วยเพราะนางถูกผูกไว้กับกิจการงานในซีเป่ยที่ไม่มีวันจัดการให้หมดไปได้ ทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีจำนวนมหาศาลประหนึ่งเป็นคนทั้งใต้หล้า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการมอบให้อาหลีอย่างแน่นอน เขาอยากให้อาหลีกลายเป็นสตรีที่สูงส่งและโชคดีที่สุดในโลกนี้ สามารถทำในสิ่งที่นางต้องการ และไปในที่ที่นางอยากไปได้ตลอดเวลา
“กำลังคิดอันใดอยู่หรือ” พวกเขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งภายในโรงเตี๊ยม ก่อนเยี่ยหลีที่หันมาเห็นม่อซิวเหยากำลังนั่งมองตนเองอย่างใจลอยจะเอ่ยปากถามขึ้น
ม่อซิวเหยากะพริบตา มองเยี่ยหลีพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “อาหลี เจ้าชอบชีวิตในยามนี้หรือไม่”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า “ก็ไม่เลว”
แต่เมื่อเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของม่อวิวเหยา เยี่ยหลีก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มีเวลาออกมาท่องเที่ยวไปตามแม่น้ำภูเขาบ้าง ย่อมไม่เลว แต่หากท่านอยากให้ข้าออกท่องเที่ยวไปทั่วทิศทั่วแคว้น ชื่นชมธรรมชาติอันสวยงามอย่างเช่นพี่ใหญ่นั้น ข้าก็คงรับไม่ไหว”
เยี่ยหลีมิได้พูดโกหก นางมิใช่อัจฉริยะบุคคลที่โดดเด่นเช่นสวีชิงเฉิน ที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแม่น้ำและภูเขา การมาท่องเที่ยวตามลำน้ำและภูเขาสำหรับนางแล้ว ถือเป็นการผ่อนคลายจิตใจ แต่มิใช่การใช้ชีวิต หากเป็นการใช้ชีวิต ให้ใกล้เคียงกับคนธรรมดาทั่วไปสักหน่อยจะดีกว่า ว่าตามจริงแล้ว เยี่ยหลีคิดว่าตนเองเป็นคนที่ค่อนข้างหัวโบราณอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ต่อให้ท่องเที่ยวไปทั่วสี่มหาสมุทร เยี่ยหลีก็คิดว่า อย่างน้อยนั่นก็ควรเป็นเรื่องที่ทำในตอนที่มีอายุสี่สิบห้าสิบปีไปแล้ว โดยทั่วไป การเป็นทหารหน่วยพิเศษก็เป็นอาชีพที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ให้ขึ้นไปอยู่จุดที่สูง ดังนั้นยามอายุยังน้อย ก็ควรทำในเรื่องที่คนอายุยังน้อยทำ มิเช่นนั้นพอแก่ตัวลง จะควรทำอันใดเล่า สองคนนั่งเหม่อลอยสบตากันอย่างนั้นหรือ
“ข้ายังคิดว่าอาหลีชอบใช้ชีวิตสบายๆ เสียอีก หลายปีมานี้ที่ต้องยุ่งวุ่นวายมาตลอด มิใช่ชีวิตที่อาหลีต้องการกระมัง” ม่อซิวเหยาถามนาง
เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้ว ข้ายังเข้าใจว่าท่านเข้าใจความหมายของข้าแล้วเสียอีก ข้าไม่ใคร่ชอบการแก่งแย่งชิงอำนาจกันนักก็จริง การได้ใช้ชีวิตที่เรียบสงบย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด แต่ทางสายนี้…นอกเสียจากข้าจะใช้ชีวิตอยู่ในป่าในเขา มิเช่นนั้นอย่างไรก็คงไม่สามารถเป็นดังใจเช่นนั้นได้ มิใช่หรือ อีกอย่าง ข้าก็มิใช่ตัวคนเดียว ต่อให้ไม่ใช่ท่าน อย่างไรข้าก็คงมีสามีและบุตร หากสามีของข้ามิใช่ติ้งอ๋อง และบุตรชายของข้ามิใช่ติ้งอ๋องซื่อจื่อ เช่นนั้นบุตรข้าจะปลอดภัยไร้กังวลได้เช่นทุกวันนี้หรือ เขาอาจมีฐานะที่ต่ำกว่าผู้อื่นจนต้องคอยสังเกตสีหน้าผู้อื่น เขาอาจถูกผู้อื่นรังแกและข้าก็มิอาจปกป้องเขาได้ อีกอย่าง หากเทียบกับต้องถอยออกไปอยู่เรือนหลัง สวมเสื้อผ้าดีๆ กินอาหารรสเลิศแล้วกลับไม่ได้รับอิสระแล้ว ข้ากลับชอบการได้เดินไปไหนไหนอย่างอิสระเปิดเผยอยู่ด้านนอกเสียมากกว่า หากมีการร้องขอ ก็ย่อมมีสิ่งที่ต้องเสียงสละ หากเทียบกับความอิสระและทำอันใดได้ตามใจเช่นในยามนี้แล้ว จะยุ่งวุ่นวายไปสักหน่อยก็มิใช่ว่าจะรับไม่ได้มิใช่หรือ”
ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ว่าอาหลีจะคิดอย่างไร ข้าก็ยังหวังว่าอาหลีจะไม่มีเรื่องใดมารบกวนจิตใจ ขอเพียงเป็นสิ่งที่อาหลีต้องการ ของที่ดีที่สุดในใต้หล้า จะนำมาไว้ต่อหน้าอาหลี เพียงแต่…ข้าทำไม่สำเร็จ”
เยี่ยหลีจับใบหน้าของม่อซิวเหยาไว้ด้วยสองมืออย่างจนใจ มองสายตาคู่หล่อเหลางดงามที่เจือแววรู้สึกผิดและเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็อดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ “ความหมายของท่านคือ คิดจะสร้างกรงทองอันหนึ่งขึ้นมา แล้วจับข้าขังอยู่ในนั้นอย่างนั้นหรือ แล้วก็ให้ข้ากินแต่ตับมังกรซุปหงส์ สวมชุดผ้าไหมเงินผ้าไหมทอง แม้แต่น้ำดื่มก็ยังต้องเป็นน้ำค้างอมตะที่ไหลลงมาจากยอดเขาหยกอย่างนั้นหรือ ซิวเหยา นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ สิ่งที่ข้าต้องการคือ ไม่ว่าท่านอยากไปที่ใด ไม่ว่าท่านอยากเดินขึ้นที่ที่สูงชันเพียงไร ข้ากับท่านก็สามารถจับมือเดินเคียงคู่กันไปได้ ท่านเข้าใจหรือไม่”
“ยังมีอีกหรือไม่” ม่อซิวเหยาตาใสมองเยี่ยหลี ประหนึ่งกำลังเฝ้ารอให้นางเอ่ยขอร้องสิ่งอื่นที่มากกว่านี้ สิ่งที่อาหลีร้องขอ อาจยากเกินไปสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับม่อซิวเหยา กลับเป็นเพียงเรื่องธรรมดาๆ เขาอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับอาหลี ทุกอย่างที่อาหลีต้องการ ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ยามนี้เขายังไม่มี แต่ต่อไปเขาจะต้องหาหรือจะแย่งชิงเอามาให้นางให้จงได้
เยี่ยหลีเอียงคอมองเขา ครู่หนึ่งถึงได้ระบายยิ้มออกมา เอ่ยว่า “อีกเรื่องก็คือ…หากระหว่างเส้นทางชีวิตนี้มีสตรีคนที่สองโผล่มา ก็อย่ามาโทษข้าหากข้าจะถีบท่านตกลงไปก็แล้วกัน”
“ในโลกนี้ไม่มีทางมีอาหลีคนที่สองตลอดไป” ม่อซิวเหยาเอ่ยทอดถอนใจเบาๆ อาหลีมีเพียงคนเดียว ดังนั้นในเส้นทางชีวิตของพวกขา ก็ไม่มีทางที่จะมีสตรีคนที่สองปรากฏตัวขึ้นอีก
เมื่อปลอบโยนใครบางคนที่งอแงจนเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีก็คีบผักที่ม่อซิวเหยาชอบกินไปเพิ่มไว้ให้ในชามของเขา และทำท่าบอกให้เขากินเสีย ห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยม มิใช่สถานที่ที่ดีที่จะมาพูดคุยเรื่องความในใจกันเลยจริงๆ โชคดีที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้มิได้มีกิจการที่ดีอันใดนัก ยามนี้ภายในห้องโถงจึงมีแขกอยู่เพียงไม่กี่คน ทั้งสองนั่งกันอยู่ในมุมจึงมิได้มีผู้ใดสังเกตเห็นสิ่งที่ทั้งสองปฏิบัติต่อกัน
ทั้งสองกินอาหารไปพลาง ปรึกษาหารือเรื่องการเดินทางต่อจากนี้ไปพลาง
ที่ด้านหน้าประตูโรงเตี๊ยมมีคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ทุกคนล้วนมีอาวุธอยู่ในมือ แค่ดูจากการแต่งตัวก็รู้แล้วว่ามิใช่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป หลงจู๊รีบเข้าไปต้อนรับอย่างสุภาพ แล้วภายในห้องโถงใหญ่ก็เสียงดังอื้ออึงขึ้นมาทันที
เยี่ยหลีย่นคิ้ว เอ่ยเสียงเบาว่า “เหตุใดที่นี่ถึงได้มีคนในยุทธภพมาอยู่รวมตัวกันมากเช่นนี้ได้”
ที่นี่เป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักในแคว้นซีหลิง ตามปกติก็น้อยนักที่จะได้พบเห็นคนที่อยู่ในยุทธภพ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมากันเป็นกลุ่มใหญ่เช่นนี้
ม่อซิวเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง มองประเมินคนเหล่านั้นอยู่พักใหญ่ ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “จะว่าไป…ดูเหมือนปีนี้จะเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ของยุทธภพที่จัดขึ้นเก้าปีครั้ง”
“การชุมนุมครั้งใหญ่ของยุทธภพ? การเลือกหัวหน้าเครือยุทธภพอย่างนั้นหรือ” เมื่อพูดถึงการชุมนุมครั้งใหญ่ของยุทธภพ สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวเยี่ยหลีก็คือการแย่งชิงตำแหน่งในเครือยุทธภพ
ม่อซิวเหยายิ้ม เอ่ยเสียงเบาว่า “แต่ไหนแต่ไรมา อาหลีไม่ใคร่ได้ใส่ใจเรื่องในยุทธภพ ไปได้ยินมาจากที่ใดหรือ เครือยุทธภพอะไรนั่น…หากแต่ละฝักแต่ละฝ่ายในยุทธภาพ ต่างส่งคนของตนเองมาเป็นหัว ผู้ใดจะยอมฟังผู้ใดกัน”
ต่อให้เป็นคนที่มีวรยุทธเก่งกาจเป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้า ก็มิใช่ว่าทุกคนจะยอมรับเขา หากยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้านั่นเป็นคนที่ไปมาอิสระเพียงคนเดียวแล้ว อย่าว่าแต่จะเป็นผู้นำยอดฝีมือจำนวนมากเลย เกรงว่าแม้แต่กลุ่มคนเล็กๆ ก็คงยังออกคำสั่งไม่ได้ ที่ว่าหัวหน้ายุทธภพอันใดนั้น ก็เป็นเพียงสิ่งที่แต่งเติมขึ้นในนิยายเท่านั้น
“ข้านึกออกแล้ว ดูเหมือนท่านอ๋องจะเคยเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพเมื่อสิบแปดปีก่อน ดังนั้น ที่เรียกกันว่าชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพก็คือการที่คนในยุทธภพมารวมตัวกันเพื่อแย่งชิงอันดับอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยหลีนึกออกอย่างรวดเร็ว ที่ม่อซิวเหยาได้เป็นหนึ่งในสี่ยอดฝีมือแห่งใต้หล้า ก็ในการชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพเมื่อสิบแปดปีก่อนนี้เอง ยามนั้นม่อซิวเหยาเพิ่งอายุได้สิบสี่ปี ยามนี้ม่อซิวเหยาก็อายุเลยสามสิบมาได้เล็กน้อยเท่านั้น ก็ผ่านการชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพมาแล้วถึงสามครั้ง แน่นอนว่า ครั้งที่สองม่อซิวเหยาด้วยเพราะมีเหตุ จึงทำให้มิได้เข้าร่วมการชุมนุม
“การชุมนุมครั้งนี้จัดขึ้นที่ซีหลิงหรือ ซิวเหยาจะไปหรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถามยิ้มๆ “คราก่อนเจ้าไม่ได้เข้าร่วม ครานี้ไม่แน่ว่าอาจจะชิงเอาตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้ามาได้ก็ได้นะ”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “หากอาหลีสนใจ พวกเราลองไปดูก็ได้นะ เพียงแต่ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งอะไรนั่น ก็ช่างมันเถิด”
การได้ชื่อว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งนั่นหมายความว่า ต่อแต่นี้เป็นต้นไป จะมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่มุ่งหน้ามาขอท้าประลอง อยากเอาชนะเจ้ากันไม่หยุด ม่อซิวเหยาไม่คิดว่าตนเองจะมีเวลามารับมือกับยอดฝีมือแห่งยุทธภพที่แห่กันมาไม่หยุดเหล่านั้น หากมีเวลามากเช่นนั้น สู้เอาเวลามาอยู่กับอาหลี คอยหาเรื่องรังแกเจ้าม่อตัวน้อยเสียยังดีกว่า
เยี่ยหลีอมยิ้ม “จะว่าไปท่านอ๋องกับเจ้าสำนักหลิงยังติดการประลองยุทธกันอยู่ครั้งหนึ่งเลยนี่ ท่านลองเดาดูว่าครานี้พวกเราจะบังเอิญได้พบเจ้าสำนักหลิงหรือไม่”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว เหตุการณ์ที่อาหลีพูดดูมีโอกาสสจะเกิดขึ้นจริงๆ ยามนี้สุขภาพเขาแข็งแรงดีแล้ว ทั้งยังว่างมิได้มีธุระอันใด หากบังเอิญพบกับหลิงเถี่ยหานเข้า เขาก็อย่าคิดว่าจะหลบเลี่ยงไปได้อีกเลย ถึงแม้เขาเองก็คิดอยากประมือกับยอดฝีมืออย่างหลิงเถี่ยหาน เพียงแต่…
หลิงเถี่ยหานไม่แน่ว่าจะมีเวลามาสนใจข้า” ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
เยี่ยหลีไม่เข้าใจ หรือว่าในโลกนี้จะยังมีคู่ปรับที่ดีกว่าม่อซิวเหยาอีกงั้นหรือ
ม่อซิวเหยายิ้ม “คู่ปรับที่ดีกว่าไม่แน่ว่าจะมี เพียงแต่…ในยามที่คู่ปรับเป็นคู่แค้นด้วยแล้ว อาหลีคิดว่าหลิงเถี่ยหานจะเลือกผู้ใด”
“คู่แค้น?” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ในหัวนึกทบทวนถึงยอดฝีมือในยุทธภพที่ตนจำได้อยู่จำนวนหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจว่า “หลิงเถี่ยหานมีความแค้นกับเหลยเจิ้นถิง?”
ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “อาหลีไม่ทันสังเกตหรือ หลิงเถี่ยหานกับเหลยเจิ้นถิงเป็นยอดฝีมือแห่งซีหลิงด้วยกันทั้งคู่ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันก็น่าจะดีกว่าเล็กน้อย แต่หลายปีมานี้ หลิงเถี่ยหานยอมที่จะไปขอประลองฝีมือกับยอดฝีมือที่ต้าฉู่ แต่ไม่เคยประมือกับเหลยเจิ้นถิงมาก่อน”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “มิใช่ด้วยเพราะเหลยเจิ้นถิงมีฐานะที่พิเศษหรือ”
“ไม่ใช่ นั่นก็ด้วยเพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาลงมือ ไม่ใครก็ใครคงจะต้องตายไปข้างหนึ่ง ก่อนที่เขาจะมั่นใจว่าสามารถเอาชีวิตเหลยเจิ้นถิงได้ หลิงเถี่ยหานไม่มีทางลงมือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ