[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 398 : โอสถไร้ใจ!
“อาจารย์คะ.. นี่.. คืออะไร?”
เฉิงเม่ยเฟิงจ้องมองยาเม็ดสีใสราวกับคริสตัลที่อยู่ในฝ่ามือ แต่จู่ๆก็เกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ จึงได้แต่เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย
แม่ชีมี่ยื่อตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “นี่เป็นโอสถเฉพาะที่ปรุงขึ้นสำหรับศิษย์สำนักจิ้งซินเท่านั้น และโอสถนี่จะช่วยให้กำลังภายในของเจ้าก้าวหน้าไปยี่สิบปีล่วงหน้า แม้เจ้าจะมีพรสวรรค์พื้นฐานที่ยอดเยี่ยม แต่เจ้าเพิ่งจะเริ่มมาฝึกเอาตอนอายุยี่สิบเอ็ด นับว่ายังช้าไปมาก! อาจารย์จึงต้องให้เจ้ากินโอสถเม็ดนี้..”
แต่เมื่อเห็นสายตาลังเลของเฉิงเม่ยเฟิง แม่ชีมียื่อจึงอธิบายต่อว่า “เจ้าอย่าได้กังวลไป โอสถเม็ดนี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆกับเจ้าอย่างแน่นอน..”
ในเมื่อรับหญิงสาวที่มีความรักมาเป็นศิษย์ แม่ชีมี่ยื่อจึงต้องใช้วิธีนี้ แม้นางจะเฝ้าถามเฉิงเม่ยเฟิง แต่ดูเหมือนเฉิงเม่ยเฟิงก็ไม่ต้องการจะลืมคนรัก อีกทั้งยังสามารถยอมตายแทนชายที่รักได้ เช่นนี้แล้ว.. เธอจะยินยอมตัดใจและลืมคนรักได้อย่างไรเล่า?
จริงอยู่ที่โอสถในมือของเฉิงเม่ยเฟิงนั้น สามารถทำให้กำลังภายในของเธอรุดหน้าได้รวดเร็วถึงยี่สิบปี นั่นเป็นความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียว.. แต่ที่ถูกน่าจะเป็นความจริงเพียงแค่เสี้ยวเดียวมากกว่า!
เพราะความจริงแล้ว โอสถเม็ดนี้ก็คือ ‘โอสถไร้ใจ’ ของสำนักจิ้งซินที่ปรุงขึ้นมาโดยเฉพาะ หากหญิงสาวผู้ใดได้กินโอสถนี้เข้าไป ไม่เพียงแค่จะทำให้ลืมความรักและชายคนรักจนหมดสิ้น แต่นับจากนี้ไป โลกของหญิงสาวผู้นั้นจะไร้ซึ่งบุรุษไปจนตราบชั่วชีวิต เพราะจะกลายเป็นหญิงสาวที่ไม่มีอารมณ์ความรักให้กับชายใดอีก!
หากเฉิงเม่ยเฟิงรู้ เธอคงจะยอมตายมากกว่าที่จะยอมกินโอสถเม็ดนี้แน่ แต่ปัญหาก็คือเธอไม่รู้..!
“อาจารย์คะ.. คือฉันอยากฝึกวรยุทธด้วยตัวเองมากกว่าที่จะอาศัยโอสถที่ทำให้ก้าวหน้าเม็ดนี้..”
สัญชาติญาณของเฉิงเม่ยเฟิงบ่งบอกอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เธอจึงเกิดความรู้สึกต่อต้านและไม่อยากกินโอสถเม็ดนี้เข้าไป
หากหลิงหยุนหายตัวไปและไม่กลับมาอีกตลอดกาล เธอก็ยินยอมที่จะอยู่สำนักจิ้งซินไปจนชั่วชีวิตเช่นกัน แต่หากหลิงหยุนกลับมา ยังไงเธอก็ต้องกลับไปอยู่กับหลิงหยุนให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และไม่มีกฏเกณฑ์และข้อบังคับใดๆ ที่จะสามารถหยุดยั้งเธอได้!
ยิ่งไปกว่านั้น หลิงหยุนเก่งกาจเพียงใด เฉิงเม่ยเฟิงก็ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว หากเธอต้องการฝึกวรยุทธ เธอก็ต้องการที่จะฝึกกับหลิงหยุนมากกว่าที่จะฝึกกับผู้อื่น!
เฉิงเมี่ยนเห็นว่าพี่สาวของเธอ มักได้รับแต่สิ่งดีๆมากกว่าเธอ ด้วยความอิจฉาริษยา จึงได้โพล่งออกไปว่า
“อาจารย์คะ ฉันก็อยากเป็นลูกศิษย์และไปอยู่ที่สำนักจิ้งซินด้วยเหมือนกัน ฉันเป็นน้องสาวของเธอ ถ้าเธอไม่อยากกินยาเม็ดนั้น ให้ฉันกินแทนก็ได้ค่ะ!”
ดูเหมือนเฉิงเมี่ยนจะสะกดคำว่าตายไม่เป็นจริงๆ!
แม่ชีมี่ยื่อตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ห้วน “พรสวรรค์ของเจ้ายังไม่เพียงพอ หากเจ้ากินโอสถนี่ลงไป ลมปราณในร่างกายของเจ้าจะแตกซ่าน และถึงตอนนั้นต่อให้เป็นเซียนก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”
เฉิงเมี่ยนได้ฟังก็ถึงกับหวาดกลัวจนต้องดึงมือที่ยื่นออกไปกลับคืน..
“เม่ยเฟิง.. ต่อหน้าครอบครัวของเจ้า อาจารย์คงไม่กล้าทำร้ายเจ้าหรอกนะ เจ้าจะกินหรือไม่กิน?”
แม่ชีมี่ยื่อเห็นเฉิงเม่ยเฟิงที่ดูเหมือนจะไม่ยอมกิน ก็ได้แต่กระวนกระวายใจ และรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ภายใน
เฉิงเม่ยเฟิงคิดในใจว่า ที่ผ่านมาเธอผ่านความทุกข์มามากมาย อันตรายถึงชีวิตก็เคยผ่านมาแล้ว กับเพียงแค่กินยาเม็ดช่วยให้การฝึกฝนก้าวหน้าแค่เม็ดเดียว จะเป็นอะไรไป?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น.. เธอกัดฟันแน่น แล้วจึงยอมกลืนโอสถไร้ใจลงไปทันที!
ในที่สุดแม่ชีมี่ยื่อก็ทำสำเร็จ เธอพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่มีความสุข “เจ้าเป็นศิษย์ที่ว่านอนสอนง่าย เอาล่ะ.. ดื่มน้ำตามเข้าไปจะได้กลืนลงคอได้ง่ายๆ”
เฉิงเม่ยเฟิงดื่มน้ำและกลืนโอสถเม็ดนั้นลงไปในท้อง จากนั้นโอสถไร้ใจก็ได้กลายเป็นไอสีขาวกระจายอยู่ทั่วท้องของเฉิงเม่ยเฟิง แต่แทนที่จะไหลเข้าสู่จุดตันเถียน ไอสีขาวกลับพุ่งเข้าสู่จิตใจของเธอแทน!
“โอ๊ะ!”
จู่ๆ ใบหน้าของเฉิงเม่ยเฟิงก็ซีดราวกับศพ เธอรู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งศรีษะ คล้ายกับมีเข็มนับพันกำลังทิ่มแทงอยู่!
เฉิงเม่ยเฟิงเจ็บปวดมากจนต้องเอามือสองข้างกุมศรีษะไว้แน่น ร่างกายของเธอของเธอขดงอเข้าหากันจนกลมคล้ายลูกบอล ก่อนจะลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นพรมเปอเชีย เพราะความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ยากจะทนได้!
สมาชิกตระกูลเฉิงได้แต่ยืนมองเฉิงเม่ยเฟิงดิ้นรนไปมาเพราะความเจ็บปวดนั่น จนในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหว!
“ซือไท่.. ใหนท่านบอกว่ายานี่จะช่วยให้การฝึกฝนก้าวหน้า แต่ตอนนี้ลูกสาวของผม.. ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้?!”
เมื่อเห็นลูกสาวดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด เฉิงเทียนก็รู้สึกกระวนกระวายใจจนต้องร้องถามแม่ชีมี่ยื่อออกมา
“ไม่ผ่านช่วงเวลาแห่งพายุและลมฝน ไฉนเล่าจะได้พบสายรุ้งที่สวยงาม? หากไม่เจาะเปลือกที่แข็งแกร่งออก เหตุใดจึงจะกลายเป็นผีเสื้อแสนสวยได้!? ทักษะล่วงหน้ายี่สิบปี พวกเจ้าคิดว่าอยากจะได้ก็ได้ง่ายๆอย่างนั้นรึ?”
แม่ชีมี่ยื่อมองเฉิงเม่ยเฟิงที่กลิ้งไปมาอยู่บนพื้นด้วยสายตาที่ปราศจากความรู้สึกใดๆ พร้อมกับดุเฉิงเทียน
นางไม่ได้รู้สึกประทับใจในตัวเฉิงเทียนเลยแม้แต่น้อย แต่นางก็รู้ดีว่า หากไม่ใช่เพราะเฉิงเทียนบังคับลูกสาวแต่งงานเพื่อความรุ่งเรืองทางธุรกิจของตัวเอง นางก็คงจะไม่มีโอกาสได้รับลูกศิษย์ที่เพียบพร้อมอย่างเฉิงเม่ยเฟิง
หลังจากที่ยืนมองลูกสาวดิ้นทุรนทุรายเพราะความเจ็บปวด จ้าวฝัวหมี่ก็ไม่อาจทนดูได้อีก เธอวิ่งเข้าไปคุกเข่าข้างลูกสาว และอยากจะดึงตัวเธอเข้ามากอด แต่ก็ไม่กล้า.. จึงได้แต่เงยหน้าขึ้นถามด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
“ซือไท่.. ลูกสาวของฉันจะต้องเจ็บปวดแบบนี้อีกนานไม๊?”
น้ำตาแห่งความทุกข์ระทมได้ไหลอาบแก้มคนเป็นแม่อย่างจ้าวฝัวหมี่ และหากไม่มีคนนอกอยู่ในที่นี้ด้วย เธอคงต้องทะเลาะกับเฉิงเทียนใหญ่โตอย่างแน่นอน!
แม่ชีมี่ยื่อยังคงมีสีหน้าที่นิ่งเรียบและไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เมื่อไหร่ที่นางสลบไป ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง? นี่เป็นวิธีการฝึกอย่างหนึ่งของสำนักจิ้งซิน ข้าเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว!”
แม่ชีมี่ยื่อเองก็เคยกินโอสถไร้ใจมาแล้วเช่นกัน แต่ตอนนั้นนางเพิ่งจะโตเป็นสาว และยังไม่มีความรู้สึกระหว่างชายหญิง จึงไม่เจ็บปวดเท่ากับเฉิงเม่ยเฟิงในยามนี้
สำหรับการชำระใจนั้น ยิ่งในใจมีอารมณ์ ความรัก ความรู้สึกมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งลืมยากมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อลืมยากขึ้น ก็ยิ่งต้องเจ็บปวดเพราะฤทธิ์ของยาสลายใจมากขึ้นเช่นกัน
ยิ่งเฉิงเม่ยเฟิงรักและผูกพันกับหลิงหยุนมากเพียงใด และลึกซึ้งเพียงใด เธอก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น แต่นั่นก็มี ‘ประโยชน์’ เพราะจะยิ่งทำให้โอสถไร้ใจออกฤทธิ์รุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย และยิ่งโอสถไร้ใจออกฤทธิ์รุนแรงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้กำลังภายในของเธอก้าวหน้าเร็วมากขึ้นตามไปด้วย!
ผ่านไปสองชั่วโมง..
เฉิงเม่ยเฟิงต้องทนเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสอยู่นานถึงสองชั่วโมง นอกเหนือจากเหงื่อที่ท่วมตัวจนเสื้อผ้าเปียกไปหมดแล้ว ในที่สุดเธอก็สลบไป เหลือเพียงลมหายใจที่แผ่วเบา และร่างทั้งร่างก็แน่นิ่งไป..
ช่วงเวลาสองชั่วโมงนั้น สมาชิกทั้งสามคนของตระกูลเฉิงต่างก็ใจเต้นแรง และเมื่อได้เห็นผลลัพธ์จากการกินโอสถที่น่าสยดสยองนั่นแล้ว เฉิงเมี่ยนก็ได้แต่หวาดกลัวจนขนหัวลุก
ไม่มีอะไรในโลกที่ได้มาฟรีๆ!
เมื่อเห็นว่าโอสถไร้ใจสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ แม่ชีมี่ยื่อก็คาดเดาได้ว่า หลังจากนี้หนึ่งเดือน อย่างน้อยเฉิงเม่ยเฟิงก็ต้องเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้ หรือไม่ก็อาจจะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนเลยก็เป็นได้
แม่ชีมี่ยื่อสูดลมหายใจเข้าลึก และในที่สุดก็คลายฝ่ามือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของตนเองออก..
มีคำพูดหนึ่งที่นางเองก็ไม่ได้บอกกับทุกคน นั่นก็คือ.. หากเฉิงเม่ยเฟิงไม่สามารถผ่านความเจ็บปวดที่แสนสาหัสนี้ได้ เธอก็ต้องตาย!
แม่ชีมี่ยื่อใช้ชีวิตของเฉิงเม่ยเฟิงเป็นเดิมพัน!
แต่นางหารู้ไม่ว่า.. ที่เฉิงเม่ยเฟิงสามารถผ่านพ้นความเจ็บปวดที่ยากจะทนมาได้นั้น เป็นเพราะพลังอมตะที่หลิงหยุนเคยถ่ายเทเข้าไปในร่างกายให้ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางเลยที่เฉิงเม่ยเฟิงจะก้าวข้ามความเจ็บปวดไปได้!
นั่นเพราะเฉิงเม่ยเฟิงรักและผูกพันในตัวหลิงหยุนอย่างลึกซึ้ง หากจะให้ลืมหลิงหยุน แน่นอนว่ามีทางเดียวคือต้องแลกกับชีวิตของเธอเท่านั้น
“พวกเจ้าออกไปนอกห้องได้แล้ว และบอกกับทุกคนที่อยู่ข้างนอกว่า ใครก็ตามที่กล้าเข้ามาในห้องนี้ ข้าจะฆ่ามันทิ้งซะ!”
แม่ชีมี่ยื่อสั่งให้พ่อแม่ลูกทั้งสามคนออกไปข้างนอก!
หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว แม่ชีมี่ยื่อก็มองเฉิงเม่ยเฟิงที่นอนสลบไสลอยู่บนพรมพร้อมกับพูดว่า
“เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมา เจ้าจะลืมเด็กผู้ชายคนนั้นจนหมดสิ้น อย่าตำหนิอาจารย์เลย เพราะนี่จะเป็นผลดีต่อเจ้า!”
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง แม่ชีมี่ยื่อก็อุ้มร่างของเฉงเม่ยเฟิงขึ้นมาจากพื้น และพาเธอขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นสอง
แม่ชีมี่ยื่ออาศัยประโยชน์จากการเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-2 ของตนเอง ถ่ายเทพลังชี่ที่ได้บ่มเพาะมานานหลายสิบปีลงไปในร่างของเฉิงเม่ยเฟิง เพื่อให้พลังชี่นี้เคลื่อนเข้าสู่จุดตันเถียน และเส้นลมปราณต่างๆ
แต่แม่ชีมี่ยื่อก็ต้องประหลาดใจอย่างมาก เมื่อพบว่าหลังจากที่ได้ถ่ายเทพลังชี่ให้กับเฉิงเม่ยเฟิงแล้ว เธอก็สามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้ในทันที!
แม่ชีมี่ยื่อทั้งตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน นางรู้ได้ทันทีว่า.. เฉิงเม่ยเฟิงจะเป็นศิษย์ที่เก่งกาจอย่างที่สุด!
สำหรับแม่ชีมี่ซินนั้น ดูเหมือนว่าคงจะพบกับชะตากรรมที่เลวร้ายไปแล้ว นางจึงไม่สนใจอีก..
ในที่สุด เฉิงเม่ยเฟิงก็เข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-7 และแม่ชีมี่ยื่อก็หยุดถ่ายเทพลังชี่ และนั่งรอเฉิงเม่ยเฟิงที่กำลังจะฟื้นขึ้นมา
เพียงไม่นาน เฉิงเม่ยเฟิงก็รู้สึกตัว เธอค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายสดใส แววตาของเธอนั้นใสราวกับบ่อน้ำ เป็นแววตาที่ไร้ซึ่งตัณหา ไร้ซึ่งความคิด ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
เฉิงเม่ยเฟิงได้ลืมหลิงหยุนไปจนหมดสิ้นแล้วจริงๆ ภายในใจของเธอไม่เหลือร่องรอยความประทับใจในตัวหลิงหยุนอีกเลย และชื่อ ‘หลิงหยุน’ ในเวลานี้ก็ไม่มีความหมายใดๆกับเธอแม้แต่น้อย
“อาจารย์..” เฉิงเม่ยเฟิงมองแม่ชีมี่ยื่อ และริมฝีปากบางก็เอ่ยเรียกด้วยความเคารพ
“เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ? ไป.. ไปบอกลาครอบครัวของเจ้าได้แล้ว อาจารย์จะพาเจ้ากลับไปที่สำนักจิ้งซิน”
แม่ชีมี่ยื่อไม่ต้องการล่าช้าเพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาตามมา เธอจึงรีบสั่งเฉิงเม่ยเฟิงให้ไปเก็บกระเป๋าและตามนางลงไปชั้นล่าง
เฉิงเม่ยเฟิงเอ่ยลาพ่อแม่และน้องสาวของตนเองด้วยท่าทีห่างเหิน แล้วเดินตามแม่ชีมี่ยื่อออกไปอย่างว่าง่าย
“พี่ใหญ่.. พี่ไม่รอให้หลิงหยุนกลับมาก่อนเหรอ?!”
เฉิงเมี่ยนไม่เคยเห็นท่าทางที่สงบและเย็นชาจากพี่สาวของเธอเช่นนี้มาก่อน จึงได้แต่เอ่ยปากถามออกไป
แววตาของเฉิงเม่ยเฟิงเต็มไปด้วยความสงสัย พร้อมกับถามขึ้นว่า “ใครคือหลิงหยุน?”
“เอ่อ..?! เขาก็เป็น..”
เฉิงเมี่ยนกำลังจะหลุดปากออกไป แต่จู่ๆก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบยกมือขึ้นตบปากตัวเอง..
แม่ชีมี่ยื่อมองคนในตระกูลเฉิงด้วยแววตาเป็นประกายพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตอนนี้เม่ยเฟิงเป็นศิษย์สำนักจิ้งซินแล้ว หลังจากนี้สามปี ข้าจะให้นางกลับมาเยี่ยมเยียนพวกเจ้า”
หลังจากให้สัญญาแล้ว แม่ชีมี่ยื่อก็โอบร่างของเฉิงเม่ยเฟิงไว้ใต้แขน และพากระโดดหายไปต่อหน้าผู้คนอย่างรวดเร็ว!
“ลูกแม่!” “พี่ใหญ่!” จ้าวฝัวหมี่และเฉิงเมี่ยนต่างก็ร้องตะโกนออกไปพร้อมกัน!
“ซันเทียนเปียว.. จากนี้ไปตระกูลเฉิงอยู่ในความคุ้มครองของสำนักจิงซิน หากท่านกล้าทำอะไรพวกเขา อย่าได้ตำหนิข้าและสำนักจิ้งซินก็แล้วกัน!”
หลังจากที่ร่างหายลับไปแล้ว แต่เสียงของแม่ชีมี่ยื่อกลับดังขึ้นที่บ้านตระกูลเฉิง และทุกคนต่างก็ได้ยินกันเต็มสองหู
ซันเทียนเปียวได้แต่หรี่ตาเข้าหากัน!