ตอนที่ 716

Elixir Supplier

716 เหตุผลตามความพอใจ

 

ความรู้สึกมันคล้ายกับการได้นั่งอยู่กลางแดดอุ่นๆในหน้าหนาว หรือการได้อาบน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น เมี่ยวซานติงและน้องชายของเขาต่างก็รู้สึกสบายตัวอย่างมาก

 

มันได้ผล! หวังเย้าคิด

 

เขาสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเมี่ยวซานติงและน้องชายของเขาได้ ดังนั้น หวังเย้าจึงเพิ่มความเร็วในการส่งพลังฉีของตัวเองเข้าไป พลังฉีของเขาเป็นเหมือนกับระฆังที่กลายเป็นเกราะป้องกันให้กับพวกเขา มันวิ่งวนไปทั่วร่างกายเพื่อทำการขับไล่พลังหยินที่เข้มข้นนั้นให้ออกไป

 

ถ้าหากมีคนอื่นกำลังมองดูพวกเขาอยู่ละก็ พวกเขาก็จะเห็นภาพของหวังเย้าที่กำลังยืน พร้อมกับยื่นมือออกไปยังคนไข้สองคนที่นั่งอยู่หลับตาอยู่ที่เก้าอี้ ฝ่ามือของหวังเย้าห่างจากตัวพวกเขาไปเกือบหนึ่งนิ้ว และคนทั้งสองก็ดูเหมือนจะพึงพอใจกับการรักษาในเวลานี้มาก

 

“ใกล้แล้วนะครับ” หวังเย้าพูด

 

เขารู้สึกได้ว่า พลังหยินที่เข้มข้นในร่างกายของพวกเขาแทบจะหายไปหมดแล้ว ดังนั้น เขาจึงหยุดมือ

 

“รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ผมรู้สึกดีขึ้นมากเลย” เมี่ยวซานติงพูด “ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรแล้ว! ขอบคุณ ขอบคุณมากๆครับ!”

 

พลังหยินเข้มข้นภายในร่างกายของเขาได้จางหายไปแล้ว มันเป็นเหมือนกับดาบคมกริบที่แขวนอยู่เหนือศีรษะของเขา และสามารถหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ แต่ตอนนี้ มันได้หายไปแล้ว ถึงเขาจะยังไม่หายสนิทซะทีเดียวและยังรู้สึกหนาวอยู่เล็กน้อย แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เขารู้ว่า หากได้พักผ่อนดีดี เขาก็จะหายดีไปได้เวลาเพียงไม่นาน ตอนนี้ เขาถือว่าปลอดภัยแล้ว

 

เดิมที เขาแค่อยากจะลองเสี่ยงโชคกับหวังเย้าดูแค่นั้น แต่เขาไม่คิดเลยว่า หวังเย้าจะสามารถรักษาเขาได้จริงๆ สายตาที่เขาใช้มองหวังเย้าในเวลานี้จึงต่างไปจากเดิมมาก

 

แม้แต่พระรูปนั้นที่เขาอู่ไถก็ยังไม่สามารถรักษาเขาและน้องชายของเขาได้ภายในเวลา 15 นาที พระรูปนั้นต้องใช้การท่องบทสวดในการรักษาพวกเขา ดังนั้น มันจึงใช้ระยะเวลาในการรักษาที่ยาวนานกว่ามาก หวังเย้าทำแค่เอามือยื่นมาทางพวกเขาเท่านั้น ซึ่งมันดูง่ายดายและน่าเหลือเชื่อมาก

 

“แล้วหมอหวัง คิดค่ารักษาเท่าไหร่เหรอครับ?” เมี่ยวซานติงถามในขณะที่เขาหยิบกระเป๋าเงินออกมา

 

“คุณไม่ต้องจ่ายค่ารักษาหรอกครับ” หวังเย้าพูด

 

“ไม่ได้หรอกครับ ยังไงผมก็ต้องจ่าย” เมี่ยวซานติงพูด

 

“อย่าสนใจเรื่องนั้นเลย แล้ววันนี้ ผมก็อารมณ์ดีมากด้วย” หวังเย้าพูด

 

“หา?” เมี่ยวซานติงมึนงง เป็นเหตุผลที่เอาแต่ใจจริงๆ!

 

สาเหตุที่หวังเย้าไม่คิดเงินค่ารักษาจากพวกเขาก็เพราะ เขาอารมณ์ดีมากๆ ทั้งสองได้แสดงให้เขาได้แนวทางการรักษาแบบใหม่ ถึงเขาจะเคยเจอคนไข้อาการที่คล้ายกันมาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้พยายามศึกษามันมากนัก แล้วเขาก็ไม่มั่นใจว่า ในตอนนี้การรักษาได้ผลจริงหรือไม่ ประตูของเขตแดนใหม่ถูกแง้มออกมาเพียงเล็กน้อย ดังนั้น เขาจึงมองไม่เห็นว่าด้านในมันคืออะไรกันแน่ แต่ตอนี้มันต่างออกไป ประตูของการรักษาแบบใหม่ได้เปิดออกกว้าง แสดงให้เขาเส้นทางที่จะนำไปสู่จุดหมายปลายทาง

 

“น่าสนใจจริงๆ” หวังเย้าพูด

 

ในฐานะของการเป็นแพทย์ปรุงยานั้น จึงมีอยู่ไม่กี่เรื่องที่สามารถทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมาได้ เขาอาจจะมีความสนใจในเรื่องตำราแพทย์ดีดีสักเล่ม, สมุนไพรคุณภาพสูง, หรืออาการป่วยที่หาได้ยาก แล้วอาการป่วยของเมี่ยวซานติงและน้องชายของเขาก็ได้ทำให้หวังเย้ารู้สึกสนใจขึ้นมา

 

“ผมลืมแนะนำไปเลย” เมี่ยวซานติงพูด “นี่เป็นศิษย์น้องที่เรียนกับอาจารย์คนเดียวกันกับผม เขามีชื่อว่า หลิวซื่อฟาง”

 

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” หวังเย้าพูด

 

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกันครับ” หลิวซื่อฟางพูด

 

หวังเย้าคิดว่า ชื่อของทั้งสองนั้นค่อนข้างน่าสนใจ เพราะในชื่อของพวกเขาล้วนแล้วแต่มีตัวเลขอยู่คนละหนึ่งตัว

(เมี่ยวซานติง = ซาน 《三sān》= 3 / หลิวซื่อฟาง = ซื่อ 《四sì》= 4)

 

“แค่คำพูดคงไม่มากพอสำหรับบุญคุณในครั้งนี้ของหมอ” เมี่ยวซานติงพูด “เราติดหนี้หมอครั้งหนึ่ง ถ้าในอนาคตหมอต้องการความช่วยเหลือจากเราก็บอกมาได้เลยนะครับ อย่างน้อยๆ พวกเราก็พอมีความรู้เรื่องฮวงจุ้ยอยู่บ้าง”

 

“ได้ครับ ผมจะจำคำพูดของคุณเอาไว้” หวังเย้ายิ้มและพยักหน้า เขาเอาน้ำให้พวกเขาดื่มกันคนละแก้วและชงชาให้ตัวเองอีกหนึ่งถ้วย “ช่วยเล่าเรื่องสุสานโบราณให้ผมฟังหน่อยสิครับ”

 

เมี่ยวซานติงสูดลมหายใจเข้าลึกและเริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในสุสานให้หวังเย้าฟัง มีครอบครัวฐานะดีในหมู่บ้านนั้นจ้างวานให้เมี่ยวซานติง ไปช่วยดูฮวงจุ้ยสำหรับสร้างหลุมฝังศพให้กับผู้เฒ่าในตระกูลของพวกเขา พวกเขาต้องการจัดการเรื่องนี้ในตอนที่ผู้เฒ่าของตระกูลยังมีชีวิตอยู่ บังเอิญว่าหลิวซื่อฟางอยู่ใกล้ที่นั่นพอดี เขาจึงไปเป็นเพื่อนเมี่ยวซานติง ทำเลสำหรับสร้างสุสานได้ถูกกำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงเลือกวันดีสำหรับการขุดหลุม แล้วนั่นก็ทำให้พวกเขาค้นพบสุสาน ซึ่งอยู่ในสมัยราชวงศ์หมิงและไม่มีการระบุว่าใครคือเจ้าของ

 

“มันแปลกมากที่เราไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นว่า ข้างใต้นั้นมีสุสานตั้งอยู่” เมี่ยวซานติง เขาคือผู้ที่มีความรู้และทุกษะในด้านนี้อยู่แล้ว ดังนั้น เขาก็ควรจะมองออกตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มลงมือขุด เพราะฮวงจุ้ยสำหรับสร้างสุสานนั้นย่อมแตกต่างไปจากที่อื่นอยู่แล้ว

 

“เดี๋ยวนะครับ! แล้วคนที่ขุดสุสานไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

เขาคิดว่า คนที่ทำหน้าที่ขุดหลุมน่าจะมีอาการหนักกว่าเมี่ยวซานติงและน้องชายของเขา

 

“พวกเขาปลอดภัยดีครับ เพราะพวกเขาไม่ได้เข้าไปข้างในสุสานกับพวกผม” เมี่ยวซานติงพูด

 

“ผมขอเป็นคนเล่าแล้วกันนะครับ” หลิวซื่อฟางพูด “ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ความจริงแล้ว ผมยังมีฐานะอื่นอยู่อีก”

 

“นักปล้นสุสานเหรอครับ?” ดวงตาของหวังเย้าเป็นประกาย นักปล้นสุสานถือเป็นคำเรียกที่สุภาพของเหล่าคนที่เข้าไปโจรกรรมสิ่งของที่อยู่ภายในสุสานโบราณ

 

“เอ่อ ผมไม่ใช่นักปล้นสุสานหรอกครับ แต่ผมเป็นนักโบราณคดีต่างหากล่ะครับ” หลิวซื่อฟางพูด

 

“จริงเหรอ?” หวังเย้าถาม แล้วนักโบราณคดีไปเริ่มทำงานเป็นคนดูฮวงจุ้ยหลมศพกันตั้งแต่เมื่อไหร่?

 

“ผมทำเป็นงานพาร์ทไทม์เท่านั้นเองครับ” หลิวซื่อฟางพูด “ทันทีที่เห็นสภาพด้านในผมก็บอกได้เลยว่า สุสานโบราณนั้นถูกสร้างขึ้นมาในสมัยราชวงศ์หมิง มันดูน่าสนใจมากๆเลยล่ะครับ ครึ่งหนึ่งของประตูสุสานพังลงมา แล้วผมก็เข้าไปดูข้างใน พี่ซานติงเป็นห่วงผมเขาก็เลยตามเข้าไปด้วย แล้วเราก็ไปเจอกับรูปปั้นที่กลางสุสานเข้า”

 

เขามีสีหน้าหวาดกลัวราวกับเขากำลังเห็นผี “มันไม่ใช่รูปปั้นทั่วไปที่มักจะถูกตั้งเอาไว้ข้างในสุสาน แล้วจุดที่รูปปั้นตั้งอยู่ก็ยิ่งหาได้ยากเข้าไปใหญ่ ตัวรูปปั้นดูคล้ายกับปีศาจร้ายที่ขึ้นมาจากขุมนรกยังไงยังงั้นเลยล่ะครับ”

 

“นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก! ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในยุคสมัยที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลมากแล้ว” หวังเย้าพูดออกมาด้วยท่าทีประหลาดใจ

 

“แล้วอยู่ๆเราก็รู้สึกได้ว่ามีลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง และมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น” หลิวซื่อฟางพูด “เราเลยรีบพากันออกมาจากสุสาน แล้วขอให้คนมาปิดทางเข้าออกเอาไว้ เราได้แจ้งไปที่ทางหน่วยงานท้องถิ่นถึงการมีอยู่ของสุสาน แล้ววันเดียวกันนั้น พี่ซานติงกับผมก็เริ่มมีอาการป่วย เขาก็เลยพาผมไปที่เขาอู่ไถทันที”

 

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่หวังเย้าได้ยินเรื่องผีที่เกิดขึ้นจริงๆ ก่อนหน้านี้ เขาเคยแต่อ่านเจอ และไม่รู้ว่า มันจะเกิดขึ้นในชีวิตจริงด้วย

 

“ผมไม่คิดเลยนะว่า หมอจะเป็นคนที่มีความสามารถมากขนาดนี้” เมี่ยวซานติงพูด

 

“ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับโบกมือปฏิเสธ

 

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราคงต้องขอตัวก่อนนะครับ” เมี่ยวซานติงพูด

 

หวังเย้าได้ขจัดพลังหยินจากวิญญาณร้ายออกไปจากร่างกายของพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะกลับไปเป็นปกติได้

 

“ได้ครับ แล้วเจอกันใหม่” หวังเย้าพูด

 

ครู่ต่อมา เมี่ยวซานติงก็ย้อนกลับมาที่คลินิก

 

“มีอะไรอีกรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม

 

“เอ่อ หมอหวัง พอดีผมถามไปว่า ถ้ามีคนอื่นที่มีอาการแบบเดียวกับพวกผม พวกเขาสามารถมารักษากับหมอได้ไหมครับ?” เมี่ยวซานติงถาม

 

“ได้สิครับ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะรักษาให้ทุกคนหรอกนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“แล้วใครบ้างที่หมอไม่รักษาให้ครับ?” เมี่ยวซานติงถาม

 

“คนที่น่ารังเกียจ, ชั่วร้าย, อวดดี, ดื้อด้าน, หรือคนที่กำลังจะตาย แล้วก็คนที่ผมไม่ชอบ” หวังเย้าพูด

 

“ผมเข้าใจแล้วครับ” เมี่ยวซวานติงพูด

 

“คอยเช็คหน้าเพจเวยป๋อบ่อยๆด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด “ผมไม่ได้อยู่ที่คลินิกทุกวัน”

 

“ครับ” เมี่ยวซานติงพูด

 

เขาจดจำคำพูดของหวังเย้าเอาไว้ในใจและจากไป

 

“ทุกอย่างโอเคไหม?” หลิวซื่อฟางถาม

 

“อืม ฉันแค่เป็นห่วงพวกคนในหมู่บ้าน กับนักโบราณคดีที่ไปขุดค้นสุสาน ฉันก็เลยกลับไปถามหมอหวังเผื่อไว้ว่า เขาจะรับรักษาคนที่ป่วยแบบเดียวกับเรารึเปล่าน่ะ” เมี่ยวซานติงพูด

 

“แล้วพี่คิดว่า ทำไมถึงได้มีรูปปั้นปีศาจตั้งอยู่ที่ตรงทางเดินของสุสาน?” หลิวซื่อฟางถาม

 

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีมันอาจจะมีไว้หยุดพวกโจรปล้นสุสานก็ได้” เมี่ยวซานติงพูด

 

รูปปั้นปีศาจตั้งอยู่ที่ตรงกลางทางเดิน ส่วนด้านหลังประตูบานที่สองของสุสานมีรูปปั้นของพระอรหันต์ ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับมารร้าย มันเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก

 

บริเวณหนึ่งในทางตอนใต้ของประเทศ ฝนได้ตกลงมาต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาสามวัน มีกระถ่อมที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นการชั่วคราวตั้งอยู่ข้างๆสุสาน มุมหนึ่งของสุสานถูกเปิดกว้างเอาไว้ และภายในก็มีคนงานที่กำลังยุ่งอยู่กับการขุดสุสาน

 

“สุสานถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งมีอายุมากกว่า 400 ปี” ชายชราวัยประมาณหกสิบพูด

 

ดูจากรูปแบบของสุสานแล้ว คิดว่าใครที่ถูกฝั่งอยู่ข้างในครับ?” ชายวัยประมาณสามสิบถาม

 

“มันก็พูดยากนะ เราคงต้องรอให้เปิดประตูบานที่สองได้ก่อน” ชายชราพูด

 

ตั้งแต่เริ่มขุดสุสานโบราณแห่งนี้ พวกเขาก็พบเจอกับปัญหาหลากหลายรูปแบบ ดังนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังเปิดประตูบานที่สองไม่ได้ ในวันแรกมีคนงานขุดได้รับบาดเจ็บหนึ่งคน ทำให้คนงานคนอื่นๆเริ่มกังวลและดึงดันที่จะให้พาอาจารย์ดูฮวงจุ้ยมาตรวจสอบที่สุสานแห่งนี้

 

นักโบราณคดีเคยเจอเหตุการณ์ที่คล้ายกันมาก่อน ดังนั้น พวกเขาจึงเข้าใจว่า คนงานเหล่านี้กำลังรู้สึกกังวลและหวาดกลัว เพื่อที่จะทำให้พวกเขาสงบลงได้ นักโบราณคดีจึงจ้างอาจารย์ดูฮวงจุ้ยมาตรวจสอบสุสาน เมื่ออาจารย์ดูฮวงจุ้ยเดินตรวจสอบดูรอบๆสุสานเสร็จแล้ว เขาก็บอกให้พวกเขาหยุดขุดสุสานในทันที เขาบอกว่า หากยังขุดต่อไปก็จะมีคนตาย แล้วจากนั้น เขาก็รีบจากไปในทันที

 

สุดท้าย เรื่องนี้ก็ทำให้คนงานปฏิเสธที่จะทำงานต่อ การหาคนงานขุดสุสานก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว แล้วตอนนี้ เรื่องก็กลายเป็นยากยิ่งขึ้นไปอีก ทางหน่วยงานท้องถิ่นจึงจำเป็นต้องเพิ่มเงินค่าจ้างเป็นสองเท่าตัว เพื่อให้คนงานกลับมาทำงานกันต่อ คนงานจึงอยู่ต่อเพราะเงินที่ล่อตาล่อใจพวกเขา แต่หลายวันมานี้ฝนก็ตกลงมาไม่หยุด จึงทำให้งานของพวกเขาล่าช้ากว่าเดิม