เหตุผลสำคัญที่ฉินอวี้โม่รับคำท้าประลองของหลิงซานก็เพราะว่านางมีแผนบางอย่างในใจ
เหตุการณ์ในวันนี้ยังคลุมเครือและยังยากจะสรุปผลแพ้ชนะ แม้ว่าทางฝ่ายไป๋อวิ๋นจะดูเป็นต่ออยู่มากก็ตาม แต่ยอดฝีมือจากนิกายหงส์มังกรและอารามโชติช่วงต่างก็เป็นจอมยุทธ์ที่เก่งกาจจากดินแดนหนเหนือ หากจะบอกว่าพวกเขาไม่เหลือไพ่ตายใด ๆ อีกแล้ว อดีตนักฆ่าสาวจากศตวรรษที่ 21 ก็ไม่กล้าปักใจเชื่อเช่นนั้นได้
สิ่งเดียวที่ฉินอวี้โม่นึกกังวลก็คือ สามพี่น้องเหยาและเหล่าอสูรจากนิกายหงส์มังกรอาจจะยังคงเก็บงำความแข็งแกร่งบางอย่างหรือมีทักษะยุทธ์อันรุนแรงที่ยังไม่ได้นำออกมาใช้ ซึ่งถ้าหากต่อสู้กันต่อไป เกรงว่าท้ายที่สุดแล้ว แม้ไป๋อวิ๋นจะได้รับชัยชนะแต่ก็คงไม่พ้นต้องเสียหายอย่างหนักเป็นแน่
เมื่อหลิงซานผู้นั้นหยิบยื่นข้อเสนอเช่นนี้มา ฉินอวี้โม่จึงรีบรับเอาไว้ หากเทียบกับสงครามหมู่คณะ การตัดสินกันด้วยการประลองยุทธ์ตัวต่อตัวถือเป็นทางเลือกที่สูญเสียน้อยที่สุด ขอเพียงนางเอาชนะจ้าวอารามได้ก็จะช่วยลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้หลายเท่า แม้ว่าจะพลาดโอกาสถอนรากถอนโคนอารามให้สิ้นซาก แต่อย่างน้อยก็ช่วยนครไป๋อวิ๋นจากวิกฤตคราวนี้ได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ นั่นก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว
หลังจากนี้ หากรอคอยให้นางพัฒนาจนแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับและพร้อมมากกว่านี้อีกขั้น การทำลายอารามหวนหลิงให้พินาศไปคงไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อถึงตอนนั้นนางก็จะหมดเสี้ยนหนามในดินแดนนี้
ด้านจ้าวอารามนั้น ไม่ล่วงรู้ถึงความนึกคิดของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย เขายื่นข้อเสนอให้นางก็เพียงเพราะต้องการยุติการต่อสู้ในสถานการณ์ที่เป็นรองนี้เพื่อหาทางพลิกโอกาสกลับมากุมความได้เปรียบโดยจะใช้ฉินอวี้โม่ให้เป็นประโยชน์และชิงโอกาสนี้สังหารสตรีผู้บังอาจยั่วยุอารามครั้งแล้วครั้งเล่าผู้นี้เสีย
ถึงอย่างไร เหตุผลที่ทางไป๋อวิ๋นสามารถเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์การต่อสู้ได้ก็เนื่องจากมีอสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิทั้งสามของฉินอวี้โม่คอยช่วยเหลือ หากจัดการนางได้สักคน ชัยชนะก็ย่อมจะตกเป็นของพวกเขา
ขอเพียงในศึกครั้งนี้พวกเขาสามารถพิชิตไป๋อวิ๋นได้ อารามของพวกเขาก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นมาอย่างที่ไม่มีขุมกำลังใดในหวนหลิงเคยทำได้
— ปัง !–
ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวตรงหน้าหลิงซานพร้อมพุ่งเข้าจู่โจมในทันที
ฝ่ายจ้าวอารามเมื่อเห็นคู่ต่อสู้รีบจู่โจมก็ยิ้มเยาะ แสดงความประมาทอย่างเด่นชัด เขาไม่คิดจริงจังกับการปัดป้องการจู่โจมนี้ อีกทั้งไม่เห็นการโจมตีของนางอยู่ในสายตา ดังนั้นคุณหนูสี่ตระกูลฉินจึงสามารถฉวยจังหวะส่งการโจมตีถึงตัวบุรุษผู้คิดการประมาทได้อย่างไม่ยากเย็น
ไม่คิดเลยว่าดาบของฉินอวี้โม่ที่ดูไม่ได้มีพลังที่รุนแรงเลยสักนิดจะส่งผลที่มากมายถึงขนาดที่ทำให้จอมยุทธในขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ยังต้องถอยหลังกลับไปหลายก้าวแม้จะใช้ม่านพลังป้องกันไว้แล้วก็ตาม
เมื่อเห็นอีกฝ่ายประมาทจนพลาดท่าเสียที สตรีนักฆ่าในร่างคุณหนูก็กล่าวเย้ยหยัน “หลิงซาน การประมาทคู่ต่อสู้อาจจะทำให้เจ้าต้องเสียใจภายหลังนะ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะสู้กับเจ้าเพราะอยากรนหาที่ตายจริง ๆ”
หลิงซานขมวดคิ้ว เดิมทีเขาคิดว่าฉินอวี้โม่เป็นดรุณีอ่อนแอที่มีโชควาสนาดีกว่าผู้อื่นเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าการโจมตีของนางจะรุนแรงถึงเพียงนี้ ดูเหมือนสตรีนางนี้จะไม่ได้มีดีแต่เพียงโชควาสนาเสียแล้ว
เมื่อเห็นกระบี่อ่อนของฝ่ายตรงข้ามสามารถคุกคามตนเองได้ หลิงซานจึงไม่ประมาทอีก พลันบุรุษอาวุโสก็ชักกระบี่ยาวสีทองออกมาเตรียมพร้อมพลางจ้องมองอีกฝ่าย
ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปาก ร่างของนางหายไปวับไปก่อนจะปรากฏตัวตรงหน้าหลิงซานอีกครั้งในชั่วพริบตา พลันมือบางก็เสือกแทงกระบี่ตรงเข้าสู่อกของจ้าวอารามไม่รอช้า ความเร็วของฉินอวี้โม่ในครั้งนี้เหนือชั้นจนคนในฝ่ายศัตรูพากันตกตะลึง
— เคร๊ง ! —
หลิงซานเองก็รวดเร็วราวสายฟ้าเมื่อบวกรวมกับประสบการณ์ที่มี เขาจึงสามารถใช้กระบี่ของตนปัดป้องการโจมตีนี้ไว้ได้ อย่างไรก็ตาม บนใบหน้าผู้นำกองกำลังจากอารามกลับยังเผยแววแห่งความประหลาดใจอยู่หลายส่วน ความเร็วของฉินอวี้โม่น่าตกใจเป็นอย่างมาก นางไม่ได้ช้าไปกว่าตัวเขาที่เป็นถึงจ้าวอารามสักนิด ไม่คิดเลยว่าเด็กสาวอายุเท่านี้จะเคลื่อนที่รวดเร็วถึงเพียงนี้ได้
“หลิงซาน เจ้ามองไปที่ใดกัน ข้าอยู่ทางนี้”
เมื่อเห็นหลิงซานกำลังยืนอึ้งงันอยู่ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มเย้ย ร่างของนางหายวับไปปรากฏตัวที่อีกด้านหนึ่งราวภูตผี ปลายกระบี่จ้วงแทงเข้าใส่คู่ต่อสู้ด้วยกระบวนท่าประหลาด
“เป็นสตรีที่น่ากลัวจริง ๆ !”
เมื่อหลิงซานดึงสติกลับมาได้ก็เป็นเสี้ยวลมหายใจเดียวกับที่คมกระบี่ของฉินอวี้โม่มาถึงตัว เขาจึงต้องรีบเบี่ยงตัวหลบ บุรุษผู้รั้งตำแหน่งจ้าวอารามหลีกหนีกระบี่นั้นได้อย่างเฉียดฉิว
ร่างของหลิงซานหายวับ เขาเลือกเคลื่อนที่ถอยห่างเพื่อไปตั้งหลักในจุดที่อยู่ไกลออกไป เมื่อได้เห็นถึงความน่ากลัวของคู่ต่อสู้ แววตาดูแคลนและรอยยิ้มรื่นเริงที่เคยมีบนใบหน้าของจ้าวอารามก็เลือนหายไปจนหมดสิ้น
“ฉินอวี้โม่ ตอนนี้พลังเจ้าอยู่ในระดับใดกันแน่ ?”
หลิงซานมองฉินอวี้โม่ด้วยความประหลาดใจปนเคร่งเครียด เขารู้ตัวในตอนนั้นเองว่าระดับพลังของสตรีตรงหน้าที่เขาประเมินเอาไว้ต้องไม่ใช่ระดับพลังที่แท้จริงเป็นแน่ มันคล้ายกับนางมีบางสิ่งบางอย่างคอยป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตรวจสอบพลังของนางได้
“อยากจะรู้อย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่หยุดเคลื่อนไหวก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หลิงซานพยักหน้าหงึกหงักหลายครา ด้วยความสงสัยใคร่รู้อย่างเหลือล้นทำให้เขาลืมตนแสดงกิริยาท่าทางคล้ายคนโง่งม
“แต่ข้าจะไม่บอกเจ้าหรอก”
ประโยคต่อมาของฉินอวี้โม่ทำให้สีหน้าของจ้าวอารามมืดมนลงไปในทันที
“ฉินอวี้โม่ นังเด็กเมื่อวานซืน เจ้ารนหาที่ตายแล้ว !”
ใบหน้าของหลิงซานบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด ในดินแดนหวนหลิงไม่เคยมีผู้ใดกล้าท้าทายเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ สตรีตระกูลฉินนั้นรนหาที่ตายโดยแท้
“ท่านจ้าวอารามอย่ามัวเสียเวลาพูดจาเหลวไหลอยู่เลย หากอยากจะเอาชีวิตข้าก็รีบลงมือเสีย แต่ข้าขอเตือนท่านเรื่องหนึ่ง คนที่พูดกับข้าเช่นนี้ส่วนมากไม่ได้พบกับจุดจบที่ดีนัก”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับอย่างเผ็ดร้อน ที่ผ่านมามีหลายคนใช้ประโยคเช่นเดียวกับบุรุษตรงหน้าข่มขู่นาง แต่สุดท้ายนางก็ยังมีชีวิตอยู่ดี และเป็นผู้ข่มขู่เสียมากกว่าที่ ‘ได้ค้นพบที่ตายของตน’
“เหอะ !”
หลิงซานแค่นเสียงเย็นชา ในเวลาเดียวกันแรงกดดันอันรุนแรงก็ปะทุออกมาจากร่าง ทุกคนเห็นจ้าวอารามผสานฝ่ามือทั้งสองข้างเพื่อเรียกใช้วิชายุทธ์บางอย่าง ทันใดนั้นเอง รอบกายของฉินอวี้โม่ก็ถูกตาข่ายพลังประหลาดขนาดพอดีกับร่างบางล้อมเอาไว้
“นี่ก็คือวิชา*‘แสงพันธนาการ’*ของอาราม คุกแสงนั้นจะค่อย ๆ ดูดซับพลังของผู้ที่อยู่ภายในจนกระทั่งตายไปในที่สุด นี่เป็นหนึ่งในวิชาที่น่ากลัวที่สุดของพวกมัน แต่ก็เป็นวิชาที่สิ้นเปลืองพลังมหาศาล”
หานโม่ฉือกล่าวอธิบายเกี่ยวกับจุดจบของผู้ที่ถูกสุดยอดวิชาแห่งอารามโจมตีด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“อวี้โม่จะเป็นอันตรายหรือไม่ ?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หานโม่ฉือกล่าว ผู้เฒ่าฉินเฟินและฉินหยางก็หน้าถอดสีทันที พวกเขามองดูภาพของหลานสาวที่ถูกตาข่ายประหลาดกักขังไว้พลางเอ่ยถาม ท่าทีร้อนรนและแววแห่งความกังวลใจฉายชัดในแววตา
“อย่าห่วงเลย นางไม่เป็นอะไรแน่นอน”
หานโม่ฉือเผยรอยยิ้มมั่นใจ
หากว่าวิชาเพียงแค่นี้ทำอันตรายฉินอวี้โม่ได้จริง เช่นนั้นนางก็คงจะมิใช่จอมยุทธ์หญิงที่เขายอมรับในพลังและความเก่งกล้าแล้ว
“ข้าอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าเจ้าจะทำลายวิชานี้ของข้าได้อย่างไร !”
หากสังเกตุให้ดีจะพบว่าในตอนนี้สีหน้าของหลิงซานซีดลงไปครึ่งส่วนแล้ว วิชาแสงพันธนาการของอารามเป็นวิชาที่สิ้นเปลืองพลังมาก การใช้มันแต่ละครั้งจะสูบเอาพลังมายาของผู้ใช้อย่างมหาศาล หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ หลังจากใช้วิชานี้ร่างกายของเขาก็คงจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงจนไม่อาจกลับคืนเป็นปกติได้แน่
“แค่แสงพันธนาการ เจ้าคิดหรือว่าจะเอาชนะข้าได้ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากอย่างไม่ทุกข์ร้อน บนใบหน้าไม่มีร่องรอยแห่งความตื่นตระหนกหรือหวาดหวั่น
สิ้นวาจานั้น คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็ดีดนิ้วก่อนที่เปลวไฟจะปรากฏบนฝ่ามือของนาง
“หึ ๆ ๆ คอยดูให้ดี ข้าจะทำลายแสงพันธนาการน้อย ๆ ของเจ้าให้ได้เห็นเป็นขวัญตา !”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม เปลวเพลิงในมือพุ่งตรงเข้าใส่ตาข่ายพลังที่อยู่รอบกายบาง ภายในพริบตากรงขังที่แต่เดิมเป็นตาข่ายแสงอันร้อนแรงจนไม่อาจเข้าใกล้ก็แปรเปลี่ยนเป็นคุกเพลิงขนาดใหญ่
เมื่อเห็นการกระทำของฉินอวี้โม่ หลิงซานก็ยิ้มออกมาก่อนจะกล่าว “ฉินอวี้โม่ เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเพลิงแค่นั้นจะทำลายแสงพันธนาการของข้าได้ ?!”
ใบหน้าของหลิงซานเต็มไปด้วยความสนุก “ไม่ว่าจะใช้อาวุธแบบใดก็ไม่อาจทำลายแสงพันธนาการได้ ยิ่งเป็นเพลิง แสงพันธนาการของข้าก็ยิ่งไม่หวาดหวั่น มีแต่จะส่งเสริมให้มันรุนแรงขึ้นด้วยซ้ำ ฉะนั้นแล้วเพลิงของเจ้าไม่มีทะ–”
— เปรี๊ยะ ! —
ยังไม่ทันที่หลิงซานจะกล่าวจบ เสียงปริแตกของบางสิ่งก็ดังขึ้น
ในตอนนั้นเอง คุกร้ายที่สร้างจากตาข่ายแสงที่กำลังล้อมกายฉินอวี้โม่เอาไว้ก็เริ่มเกิดรอยแตกร้าวก่อนที่มันจะพังทลายและสูญสลายไปในอากาศในพริบตา
ในตอนที่แสงพันธนาการสลายไป เพลิงของฉินอวี้โม่ก็หายไปพร้อมกัน และนั่นเผยให้เห็นร่างของสตรีโฉมงามที่อยู่ด้านใน
“หลิงซาน ตอนนี้เจ้ายังจะมั่นใจในแสงพันธนาการของเจ้าอยู่อีกหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวเย้ยหยันด้วยสีหน้าแสดงความขบขันเต็มที่
ต้องกล่าวเลยว่าเปลวเพลิงของซิวทรงพลังจนสามารถเผาผลาญได้ทุกสรรพสิ่งโดยแท้ ตั้งแต่ได้เห็นเมื่อคราแรกจนกระทั่งตอนนี้ ฉินอวี้โม่ยังไม่เคยเห็นว่ามีสิ่งใดที่มันไม่สามารถเผาได้มาก่อน
“เพลิงของเจ้าเป็นเพลิงชนิดใดกัน ?!”
ใบหน้าของหลิงซานเปลี่ยนเป็นซีดขาว เขาจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาตกตะลึงปนหวาดหวั่น
“เจ้าคิดว่าข้าจะบอกเจ้าอย่างนั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม พลันสะบัดมือที่ถือกระบี่อย่างรวดเร็ว
กระบี่ของเสี่ยวจิ่วหายไปเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีแดงฉานเข้าแทนที่ แล้วค่อย ๆ หลอมรวมกันเป็นรูปร่าง ขณะนี้อาวุธในมือของฉินอวี้โม่กลายเป็นกระบี่เพลิงร้อนร้ายที่แผ่กลิ่นอายน่ายำเกรง
“หลิงซาน ข้าจะให้เจ้าได้เห็นพลังของ ‘กระบี่นภาเพลิง’!”
กระบี่ที่เกิดจากเปลวเพลิงในมือของฉินอวี้โม่ปลดปล่อยแรงกดดันที่ไม่ว่ามนุษย์หรืออสูรมายาก็ไม่อาจต้าน และนั่นทำให้ความกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจของหลิงซานมากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม เขาที่เป็นถึงจ้าวอารามก็ไม่คิดจะหลีกหนี บุรุษอาวุโสผู้เจนจัดในสนามรบรีดเค้นพลังมายาแล้วผสานจนกลายเป็นก้อนแสงขนาดใหญ่ตรงหน้า
นี่คือ*‘ดาราโชติ’*หนึ่งในกระบวนท่าอันทรงพลังที่สุดที่หลิงซานฝึกฝน ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นวิชาที่ทำให้จ้าวอารามผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จัก
“นภายุทธ์ —— กระบี่นภาเพลิง !”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้ม พลันแทงกระบี่เข้าใส่คู่ต่อสู้
หลิงซานเองก็ไม่รอช้า บังคับก้อนแสงในมือให้พุ่งปะทะกระบี่ที่จู่โจมเข้าหา
“นภายุทธ์ —— ดาราโชติ!”
กระบี่เพลิงและก้อนแสงปะทะกันกลางอากาศ รัศมีแสงสว่างเจิดจ้าแผ่กระจายออกไปทั่วท้องนภา ขณะนี้หนึ่งอาวุธหนึ่งก้อนพลังกำลังผลักดันกันอยู่ไม่ลดละ ความรุนแรงอันแกร่งกล้าและไม่เป็นรองกันของทั้งสองฝ่ายต่างผลักไสและต้านทานกันและกันอย่างหนักหน่วง
หานโม่ฉือที่กำลังจับตาดูการต่อสู้มีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย ขณะที่มู่อวิ๋นและหลินเหยียนในตอนนี้ต่างก็ขมวดคิ้วแน่น คนทั้งสามรีบรวมพลังกันเพื่อสร้างม่านพลังป้องกันผู้คนในฝ่ายไป๋อวิ๋นเอาไว้
อีกทางด้านหนึ่ง เมื่อได้เห็นฉากการต่อสู้ของหลิงซานและฉินอวี้โม่ หลงจื้อและคนอื่น ๆ ก็หน้าถอดสี คนจากอารามจำนวนหนึ่งเร่งช่วยกันสร้างม่านพลังเพื่อปกป้องคนของฝ่ายตนเช่นกัน บัดนี้การกระทำจากทั้งสองฝ่ายดูคล้ายกำลังเตรียมการป้องกันบางอย่าง
แม้ว่าการปะทะกันระหว่างกระบี่นภาเพลิงและดาราโชติจะดูธรรมดาและไม่น่าจะส่งผลเป็นวงกว้าง ทว่าแรงกดดันที่เกิดขึ้นทำให้บุรุษน้ำแข็งรู้สึกสังหรณ์ใจประหลาด
— ตูม ! —
ยังไม่ทันที่ความคิดของหานโม่ฉือจะเลือนหาย ทันใดนั้นเอง เสียงระเบิดก็ดังสนั่นหวั่นไหว ทุกคนสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลจากกระบี่นภาเพลิงและดาราโชติที่ระเบิดออกมาเป็นวงกว้าง แรงจากการระเบิดนั้นซัดเข้าใส่ทุกสรรพสิ่งที่ขวางหน้า
— ตูม ! —
ม่านพลังที่หานโม่ฉือและยอดฝีมือทั้งสองสร้างขึ้นมาถูกคลื่นกระแทกอัดเข้าใส่อย่างแรงจนสั่นไหวไม่หยุดยั้ง
เช่นเดียวกับม่านพลังของทางอารามที่สั่นไหวรุนแรงจนผู้คนที่อยู่ด้านในถึงกับมีอาการขาสั่นเพราะหวาดกลัว ม่านพลังที่สมควรจะมั่นคงดูอ่อนยวบโคลงไหวไม่ต่างจากโคมกระดาษต้องลมพายุ
ทว่าระลอกคลื่นแห่งพลังสะท้อนอันรุนแรงยังไม่จบเพียงเท่านั้น คลื่นกระแทกของแรงระเบิดอีกสองลูกกระหน่ำเข้าใส่ม่านพลังทางฝ่ายไป๋อวิ๋น
หานโม่ฉือและยอดฝีมือทั้งสองไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย คลื่นพลังนี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง หากปล่อยให้มันผ่านเข้ามาได้ อย่าว่าแต่ชีวิตของคนฝ่ายตนเลย เพราะแม้แต่ตึกรามบ้านช่องในนครไป๋อวิ๋นทั้งหมดก็อาจจะพังราบเป็นหน้ากลอง ยอดฝีมือทั้งสามรีบเสริมพลังให้กับม่านพลังเพื่อป้องกันแรงกระแทกที่อัดเข้ามาในทันที
ฉินเฟิน เยว่ชิงเฉิง และคนอื่น ๆ มองไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาที่ตื่นตระหนก ภาพที่ปรากฏต่อสายตาน่ากลัวราวกับพวกเขากำลังมองเห็นการล่มสลายของโลก
เพราะการระเบิดหลังเกิดการปะทะกันของสองสุดยอดวิชานั้นก่อให้เกิดแสงสว่างจนตาพร่า ทำให้เวลานี้ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นร่างของคู่ประลองทั้งสองได้
อย่างไรก็ตาม ในจินตนาการของพวกเขา สภาพของมนุษย์สองคนที่อยู่ใกล้ ๆ จุดระเบิดที่รุนแรงถึงเพียงนั้นก็คงจะต้องย่ำแย่มากอย่างแน่นอน
ไม่นานนัก ระลอกคลื่นพลังสะท้อนทั้งหมดก็ผ่านพ้นไป สนามรบกลับมาสงบอีกครั้ง ในที่สุดภาพของฉินอวี้โม่และหลิงซานที่กำลังประจันหน้ากันอยู่กลางอากาศก็เผยสู่สายตาสาธารณชน
และก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าสภาพของทั้งคู่ดูไม่ดีนัก ดูเหมือนว่าแรงระเบิดจะทำให้ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บไม่น้อย
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนก็ถูกแสงที่ฝ่าเท้าของฉินอวี้โม่ดึงดูดความสนใจไปจนหมด
“ราชันทูตสวรรค์ขั้นสูงสุด !”
ใครบางคนอดอุทานออกมาไม่ได้เมื่อเห็นแสงที่บ่งบอกถึงระดับพลังของนาง ในตอนนี้ทั่วทั้งสนามรบตกอยู่ในความเงียบสงัดโดยสมบูณ์
.