ซูหวานหว่านลอบมองเฉียนฟู่ที่วิ่งเข้าไปหากลุ่มคนเหล่านั้น ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเย็นบริเวณหน้าผากของตนเอง พบว่าเป็นมือของฉีเฉิงเฟิงที่ยืนเข้ามาลูบคิ้วที่ขมวดกันแน่นของนางเบา ๆ

“เจ้าอย่ากังวลไป ตอนนี้มืดแล้ว อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้บอกเฉียนฟู่ด้วยว่าพวกเราชื่ออะไร รวมทั้งเจ้าและข้ายังสวมหน้ากากเอาไว้อีก เพราะฉะนั้นพวกเขาจะจำเราได้อย่างไรกัน?” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยออกมาพร้อมกับกุมมือของซูหวานหว่านไว้ ชายหนุ่มเหลือบมองซ้ายมองขวาจากนั้นก็เปิดเสื้อคลุมของตนเอง และจับมือของซูหวานหว่านวางลงบนหน้าท้องของตัวเองเพื่อให้ไออุ่น

ความอบอุ่นที่ผ่านส่งมายังมือให้กับซูหวานหว่านนั้น ทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย

เฉียนฟู่วิ่งเข้าไปหากลุ่มคนที่ยืนทะเลาะกันอยู่เสียงดัง

“พวกท่านหมายความว่าอย่างไรกันรึ? พวกท่านกำลังตามหาใครกัน? ที่นี่ไม่มีคนชื่อว่าซูหวานหว่านหรือฉีเฉิงเฟิงอะไรทั้งนั้น! ที่นี่มีเพียงข้าและครอบครัวของข้าเท่านั้น!” เฉียนฟู่พูดออกมา

“พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อมาตามหาคนเท่านั้น เหตุใดเจ้าจะต้องโกรธด้วย” ชาวบ้านคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา

“เฮอะ! คิดว่าข้าไม่รู้เรื่องอะไรอย่างงั้นหรือว่าที่หมู่บ้านของท่านนั้นมีแต่คนชั่วช้า! ไม่ใช่ว่ามาที่นี่เพื่อจะมาขโมยปลาของข้าหรือ! ข้าไม่สนใจว่าพวกท่านกำลังตามหาใครอยู่ แต่อย่าเข้ามาในอาณาเขตของข้าก็พอ!” เฉียนฟู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “รีบออกไปได้แล้ว!”

ชาวบ้านหลายคนเริ่มทำตัวไม่ถูกเตรียมตัวจะเดินออกไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นและถามออกมาว่า “เจ้าเคยเห็นชายรูปร่างสูง หน้าตาหล่อเหลา เขาเดินมาตามกระแสน้ำมาคนเดียวเพื่อหาหญิงสาวคนหนึ่ง…”

เฉียนฟู่พูดออกมาอย่างทนไม่ไหว “ข้าไม่เคยเห็นทั้งนั้น! รีบไสหัวไปเสีย!”

พูดจบเฉียนฟู่ก็โบกคบเพลิงใส่ชาวบ้านราวกับต้องการขู่ให้ชาวบ้านเกิดความกลัว ชาวบ้านคิดว่าเฉียนฟู่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร จึงไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง และรีบเดินหนีออกไปทันที

เมื่อเห็นว่าชาวบ้านเดินออกไปได้ไกลแล้ว เฉียนฟู่ก็กลับขึ้นเรือ ทำให้ซูหวานหว่านเริ่มรู้สึกดีต่อเฉียนฟู่ ระหว่างพายเรือเขาเอ่ยบ่นพวกชาวบ้านไปด้วย ซึ่งตอนนั้นซูหวานหว่านก็ได้รู้ว่าที่นี่คือสระน้ำที่อุดมไปด้วยปลา เมื่อก่อนนางได้ยินใครไม่รู้พูดว่ามีพวกชาวบ้านมารวมตัวกันเพื่อมาขโมยปลา ต่อมาก็จับคนขโมยปลาได้ แต่พวกชาวบ้านไม่ยอมกลับหันมาแว้งกัดอีกครั้ง จนทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวเขาเสียหาย ทำให้ไม่มีคนมาซื้อปลาของเขาอีกเลย ครอบครัวของเฉียนฟู่จึงวางแผนที่จะย้ายไปอยู่บ้านเกิดของตัวเองในปีหน้าและจะไม่เลี้ยงปลาขายอีกต่อไป

ทันใดนั้นซูหวานหว่านก็เอ่ยขึ้นมา “ปลาของเจ้าสดมาก เหตุใดถึงไม่มีใครอยากกินเล่า? งั้นเอาเช่นนี้ไหม ข้าจะอยู่ที่บ้านเจ้าสองวันเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของปลาและบ่อเลี้ยงปลา อีกทั้งจะช่วยเจ้าขายปลาอีกด้วย เจ้าวางใจเรื่องการดูแลปลาได้เลย ข้ารับรองได้เลยว่าเจ้าจะมีเงินซื้อบ้านหลังใหญ่ในเมืองได้ภายในหนึ่งปี”

เฉียนฟู่ยิ้ม “แม่นางคนนี้ช่างพูดจาน่าขันเสียจริง ๆ”

เมื่อเห็นซูหวานหว่านคุยกับเฉียนฟู่ ฉีเฉิงเฟิงก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยแล้วพูดออกมา “คำพูดของภรรยาข้านั้นมักจะพูดจริงทำจริงเสมอ นางมีความทะเยอทะยานในการหาเงินและมีเป้าหมายว่าจะเป็นคนที่รวยที่สุด เป็นเรื่องปกติที่จะสามารถทำให้เจ้ามีเงินซื้อบ้านได้”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉียนฟู่ก็ตกตะลึง ซูหวานหว่านมีทักษะทางด้านนี้ด้วยอย่างงั้นรึ? หรือว่าตนจะได้พบกับตระกลูผู้สูงศักดิ์เข้าแล้ว?

เขาคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เมื่อมองสำรวจร่างกายของพวกเขาสองคนอีกครั้ง แม้ว่าอาภรณ์ที่พวกเขาสวมใส่จะเป็นเพียงลินินธรรมดา แต่มันก็มีราคาแพงมากเช่นกัน จึงพูดออกอย่างมีความสุขว่า “ขอบคุณพวกท่านทั้งสองมาก”

“ไม่เป็นไร” ซูหวานหว่านตอบกลับ นางขยับมือไปนวดหน้าท้องของฉีเฉิงเฟิงจนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกปั่นป่วน แต่ก็ต้องอดทนข่มใจเอาไว้เพราะยังทำอะไรซูหวานหว่านในตอนนี้ไม่ได้

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงท่าเรืออีกฝั่ง ปรากฏให้เห็นบ้านไม้สองสามหลังตั้งอยู่ริมแม่น้ำ จากนั้นมีคนเดินออกมาจากบ้านสามคน เป็นผู้เฒ่าสองคนและเด็กสาวคนหนึ่ง เด็กสาวจ้องมองคนแปลกหน้าด้วยสายตาสงสัย

เด็กสาวคนนี้น่าจะมีอายุราว ๆ สิบเอ็ดสิบสองปี สวมเสื้อแขนสั้น กางเกงขายาวและใส่รองเท้าแตะฟางออกมาจากบ้าน เดินไปทางฉีเฉิงเฟิงแล้วมองที่ซูหวานหว่านพร้อมกับพูดออกมาว่า “พวกเจ้าสองคนเป็นใคร? เหตุใดต้องใส่หน้ากาก? ถอดหน้ากากออกให้ข้ายืมใส่เล่นหน่อยสิ”

“ต้องขออภัย หน้ากากนี้…ข้าไม่สะดวกที่จะถอดมันออก” ซูหวานหว่านปฏิเสธออกมาอย่างอ่อนโยน

เด็กสาวรู้สึกโกรธเคือง นางจ้องไปที่ซูหวานหว่านและพูดออกมาทันทีว่า “เฮอะ! ขี้งก!”

หลังจากนั้นนางก็หันไปมองฉีเฉิงเฟิง “คุณชาย ท่านช่วยถอดหน้ากากออกมาให้ข้าได้เล่นบ้างได้หรือไม่?”

ฉีเฉิงเฟิงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้เอ่ยอะไร ทำให้เด็กสาวคนนั้นเกิดความไม่พอใจ เฉียนฟู่จ้องมองด้วยสายตาตำหนิหนึ่งครั้ง และกันนางให้ออกห่างจากทั้งสอง “ตัวตัว! เจ้ากำลังทำอะไรอยู่! นี่เป็นแขกของพวกเรานะ!”

เฉียนตัวตัวยังอยากที่จะเอ่ยอะไรออกมา แต่ก็ถูกเฉียนฟู่ลากตัวเข้าไปในบ้าน ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย และพูดออกมาเสียงดัง “บ้านของเราเล็กมาก แล้วอีกอย่างแม่นางคนนั้นก็เป็นผู้หญิง เราไม่มีห้องเหลือให้นางพักแยกแล้ว งั้นให้นางพักที่ห้องนอนข้าก็ได้”

“ไม่ต้องหรอก” ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับนกขมิ้นภูเขา “นางเป็นภรรยาของข้า คงไม่เป็นอะไรหากจะนอนพักห้องเดียวกัน”

เฉียนตัวตัวยังมีบางอย่างอยากจะเอ่ยออกมา หากแต่ถูกเฉียนฟู่ตำหนิด้วยสายตา ส่วนเหล่าผู้เฒ่าในบ้านก็เอ่ยขอโทษแทนเด็กสาว จากนั้นก็ช่วยกันขนของเข้าไปเก็บให้เรียบร้อย และแยกย้ายเข้าห้องใครห้องมันเพื่อพักผ่อน

ครอบครัวนี้ใจดีมาก แต่ฐานะของพวกเขาก็ยากจนพอสมควร พวกเขาให้เทียนไขไว้ใช้ในห้องหนึ่งเล่ม สิ่งนี้ทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกอบอุ่นภายในใจไม่น้อย

หลังจากที่ฉีเฉิงเฟิงเดินกลับมานอนที่ห้องพัก เขาก็ดับเทียนแล้วนอนลงบนเตียง จากนั้นจึงยืนมือไปโอบรอบเอวซูหวานหว่านเอาไว้ ซูหวานหว่านที่รู้สึกโกรธเรื่องก่อนหน้านี้อยู่แล้ว จึงตีมือของฉีเฉิงเฟิงทันทีและแอบพูดในใจว่า ‘เสน่ห์แรงเสียเหลือเกินนะ’

ฉีเฉิงเฟิงก็ไม่ยอมแพ้ ยืนมือมาโอบเอวของซูหวานหว่านอีกครั้ง

รุ่งเช้า

พวกเขาได้ยินเสียงทำอาหารดังขึ้น ทั้งสองจึงรีบลุกและเดินออกจากห้อง พบว่าเฉียนฟู่กำลังจัดเตรียมอาหารเช้าอยู่

มื้อเช้าวันนี้เฉียนฟู่ทำโจ๊กกับผักต้ม ผักต้มเป็นผักป่าที่เกิดขึ้นตามภูเขา ดูเหมือนว่าครอบครัวของเฉียนฟู่นั้นค่อนข้างมีฐานะลำบาก แต่ก็ยังดีที่มีปลานึ่งซีอิ๊วตัวหนึ่ง เฉียนฟู่ยิ้มออกมาและพูดว่า “โชคดีที่พวกเจ้ามาที่นี่แบบประจวบเหมาะ! ปลาของพวกเราที่ขายไม่ได้ พ่อของข้าตัดสินใจนำมาทำอาหารให้กับพวกเจ้าได้กิน…”

“ไม่ต้องพูดอะไรหรอกน่า กินเข้าไปเยอะ ๆ ครอบครัวของเรายากจนขนาดนี้ มีเรื่องอะไรที่น่ายินดีกัน?” เด็กสาวที่อยู่ข้าง ๆ ก็เหลือบไปมองเฉียนฟู่ สีหน้าของนางดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก พร้อมกับถอนหายใจออกมาอีกครั้ง และบ่นเรื่องที่ไม่สามารถขายปลาได้

ซูหวานหว่านยิ้มออกมา และเอ่ยคำมั่นสัญญาของตัวเองที่ให้ไว้กับเฉียนฟู่เมื่อวานอีกครั้งว่า “สามีของข้ารู้จักกับเจ้าของร้านมากมาย และพวกเราก็ถือว่ามีโชคชะตาต่อกันที่ทำให้มาเจอกันในวันนี้ ดังนั้นพวกเราจะช่วยพวกเจ้าแก้ไขปัญหานี้เอง”

แม่ของเฉียนฟู่หัวเราะอย่างมีความสุขและคีบเนื้อปลาให้กับทั้งสองคนทันที เฉียนตัวตัวที่กินอิ่มแล้วก็มองไปที่ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร พร้อมกับจ้องมองไปยังซูหวานหว่านด้วยความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนหยิบถังออกมาและบอกว่านางจะไปเที่ยวเล่นแถวนี้

“ทำไมเด็กคนนี้ถึงไม่มีมารยาทแบบนี้นะ” แม่ของเฉียนฟู่พูดขึ้น

ซูหวานหว่านเลี่ยงที่จะพูดจาไม่ดีออกมาจึงพูดว่า “นางยังไร้เดียงสาอยู่ แต่ก็น่ารัก”

ซูหวานหว่านเป็นคนรู้จักพูด นอกจากจะเฉียนตัวตัวแล้วนางก็ชอบครอบครัวของเฉียนฟู่ไม่น้อย

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ซูหวานหว่านก็ได้ขอให้เฉียนฟู่พานางไปตกปลา จากนั้นก็ให้เฉียนฟู่ไปทำธุระของตัวเองได้เลย นางพบว่าที่แม่น้ำนี้มีหอยลายอยู่ตามโขดหินเต็มไปหมด นางเลยตัดสินใจงมหอยลายนี้กลับไปทำอาหารเที่ยง เมื่อมาถึงนางก็โรยเกลือลงไปเพื่อให้หอยคายขี้โคลนออกมา

หญิงสาวจ้องมองหอยลายอย่างครุ่นคิดว่าจะนำมันมาทำอาหารอะไรดี เมื่อนางกำลังจะลงมือทำอาหารก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “เจ้าคิดจะฆ่าพวกเราอย่างงั้นรึ!?”

น้ำเสียงเช่นนี้ นางกำลังจะถูกคนปองร้ายอีกแล้วงั้นหรือ? ซูหวานหว่านขมวดคิ้วหันไปมองเฉียนตัวตัวที่กำลังมองมาที่นางอย่างโกรธเคือง