บทที่ 40 แย่งชิงกันเชื่อ โดย Ink Stone_Romance
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองตีนเขาอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็ยืนยันเรื่องหนึ่งได้
คนเหล่านี้มุ่งมาหาคุณหนูจวินจริงๆ
ผ่านไปไม่นาน ก็มองเห็นผู้ชายอ้วนคนนั้นจูงเด็กสี่คนเดินกลับมา
ว่องไวเช่นนี้ก็ปลูกฝีอย่างไม่สงสัยสักนิดจริงๆ แล้ว?
คนที่อยู่ที่นั่นมองดูผู้ชายคนนี้สีหน้าสับสน
ไม่รู้ว่าควรพูดว่าโง่หรือนับถือดี
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มก้าวเข้าไปขวางเขาไว้
“สหายร่วมบ้านเกิดท่านนี้ ท่านเข้าเมืองหาที่พักสักแห่งก่อนเถอะ เด็กๆ ปลูกฝีราวๆ คืนนี้เที่ยงคืนจะตัวร้อน” เขาเอ่ย “แต่ไม่ต้องกังวลใจ ให้พวกเขาดื่มน้ำมากๆ พรุ่งนี้จะเกิดฝีสองสามจุดก็ไม่เป็นไรแล้ว”
ผู้ชายอ้วนตาทอประกาย มองเด็กที่เขาอุ้มอยู่ในอ้อมแขน คาดเดาอะไรได้ทันที
“เด็กน้อยคนนี้ของเจ้าปลูกแล้วรึ?” เขาเอ่ยถาม
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มพยักหน้า ส่งหลานชายตัวน้อยไปข้างหน้า
“ดูที่คอฝีสองสามจุด” เขาเอ่ย “วันนี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว”
ชาวบ้านของเมืองหลวงก็รีบล้อมเข้ามาหมด ทั้งประหลาดใจทั้งตั้งใจมองดู จนกระทั่งหลานชายตัวน้อยของผู้ดูแลใหญ่หลิ่วถูกมองจนร้องไห้ขึ้นมา
“มีอะไรดูเล่า” ผู้ชายอ้วนกลับไม่สนใจ สะบัดมือใส่ชาวบ้านที่ล้อมดู “คุณหนูจวินก็บอกแล้วว่าจะมีปฏิกิริยาเหล่านี้”
พลางประสานมือให้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว
“ขอบคุณสหายร่วมบ้านเกิด ตอนนี้ข้าจะไปหาที่พักสักแห่งแล้ว”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคิดนิดหนึ่งก็เรียกเขาไว้อีกครั้ง
“หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าจัดการที่พักให้เจ้าได้” เขาเอ่ย
ผู้ชายอ้วนเบิกตา
“เจ้า เจ้าใครล่ะเจ้า?” เขาเอ่ยถาม
“ข้าเป็นคนของเต๋อเซิ่งชาง” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มเอ่ย กำลังจะแนะนำตัวต่อ ผู้ชายอ้วนก็ร้องอ้อแล้ว
“ที่แท้เป็นคนเครือเดียวกับคุณหนูจวิน” เขาเอ่ย โบกมือ “พวกเจ้าจะทำบุญอีกแล้ว ไม่ต้องไม่ต้อง ครั้งนี้ปลูกฝีให้ทุกคนก็เป็นบุญใหญ่หลวงแล้ว บ้านข้าเหล่าเหยียนรวย พวกเจ้าไม่ต้องสนข้าหรอก”
พูดจบก็จูงเด็กสี่คนเดินส่ายอาดๆ ไป
พาเด็กน้อยเร่งเดินทางมาเมืองหลวงไกลขนาดนี้ได้ย่อมต้องเป็นคนมีเงิน
แต่ก็ยังมีคนมากมายไม่มีเงิน โดยเฉพาะคนที่ได้ยินข่าวตามรายทางเร่งเดินทางมาจากที่ไกล
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตบเด็กในอ้อมแขนเบาๆ
“ไปจัดการ โรงเตี๊ยมทั้งหมดนอกประตูเมือง พวกเราเต๋อเซิ่งชางเหมา” เขาเอ่ยกับพนักงาน “ขอเพียงพาคนที่ปลูกฝีกับโรงหมอจิ่วหลิงมา เข้าพักได้ไม่เสียเงิน หนึ่งวันให้อาหารสามมื้อ”
ชาวบ้านรอบด้านเบิกตา
นี่คือคนรวยยิ่งกว่า
ถึงกับกล้าทำเช่นนี้ นี่ติดสินบนคนที่มาปลูกฝีหรือ? ไม่กลัวถูกเอาไปพูดว่าเรียกมาเล่นละครรึ?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกวาดมองผ่านผู้คน บนใบหน้ามีรอยยิ้ม
“เรื่องที่สั่งสมบุญกุศลใหญ่หลวงเช่นนี้ยากจะมีสักหน” เขาเอ่ย “นี่เป็นเกียรติของเราเต๋อเซิ่งชาง”
พูดจบก็ไม่กังวลใจสักนิดอีก หมุนตัวเยื้องย่างจากไป ทิ้งชาวบ้านเมืองหลวงสีหน้าต่างๆ กันไปกลุ่มหนึ่งไว้
ฝั่งนี้เกิดเรื่องดั่งลมม้วนตลบทั้งเมือหลวง ทุกคนก็ไม่ต้องไปดูหลานชายตัวน้อยของบ้านผู้ดูแลใหญ่หลิ่วแล้ว ชาวบ้านที่ปลูกฝีเหล่านั้นล้วนพักอยู่ในโรงเตี๊ยมนอกเมือง เกือบร้อยสองร้อยคน อยากไปดูเท่าไรก็มีเท่านั้น
ข่าวแพร่ออกไปยิ่งมากขึ้นทุกที คนที่ต่อแถวด้านหน้าวัดกวงหวายังคงไม่ขาดสาย ไม่นานชาวบ้านเมืองหลวงก็พบว่ามีเหล่าขุนนางในราชสำนักไปต่อแถวด้วยแล้ว แม้ข้าราชสำนักเหล่านั้นไม่ได้ไปเอง แต่ข้ารับใช้ที่หลบๆ ซ่อนๆ พาเด็กๆ ไปคิดจะแทรกแถวถูกกรมทหารม้าห้าเมืองที่ไม่รู้จักด่า
ข้ารับใช้คนนั้นหน้าแดงแจ้งชื่อเสียงเบา
ชื่อนี้อยู่ที่อื่นเวลาอื่นใช้ได้ดีนัก แต่ทำอันใดกรมทหารม้าห้าเมืองที่ในเวลานี้มีจูจั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงคุมอยู่ไม่ได้
“เจ้าเป็นราชบัณฑิตฮั่นหลินขุนนางใหญ่ผู้ดูแลท้องพระคลังอะไรก็ช่าง ไปต่อแถวให้หมด”
ราชบัณฑิตฮั่นหลินขุนนางใหญ่ผู้ดูแลท้องพระคลัง! ลูกชายลูกสาวของขุนนางใหญ่เช่นนี้ก็มาแล้ว คนที่ล้อมดูอยู่อารมณ์ยิ่งตะลึงงัน
อีกข่าวหนึ่งแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
หน่อฝีที่ป้องกันฝีดาษของวัดกวงหวาใกล้หมดแล้ว
นอกจากคนที่มาปลูกฝีเหล่านั้น ผู้ดีชนบทมากมายของหยางเฉิงหรู่หนานก็มาด้วย มาเชิญคุณหนูจวินกลับไปปลูกฝีให้ชาวบ้านในท้องที่ อย่างไรคนที่มาเมืองหลวงได้ก็เป็นจำนวนน้อย
ได้ยินว่าเพื่อเรื่องที่คุณหนูจวินจะกลับไปที่ไหนก่อน คนหยางเฉิงกับหรู่หนานถึงกับตีกันขึ้นมา
คราวนี้ชาวบ้านที่มองดูอยู่นั่งไม่ติดอีกต่อไปแล้ว พากันแห่ไปที่วัดกวงหวา
ไม่นานวัดกวงหวาก็ประกาศจำกัดการปลูกฝี แม้ราคาของการปลูกฝีไม่เปลี่ยน แต่กลับเหมือนกฎของโรงหมอจิ่วหลิงตอนแรก จำกัดเวลาจำกัดวันจำกัดจำนวนคน
หน่อฝีจะไม่มีแล้ว คุณหนูจวินจะไปแล้ว เร่งรีบไม่ทันแล้ว พลาดแล้ว คิดไม่ถึงเฝ้าอยู่ใต้หนังตา ถึงกับปล่อยให้พวกบ้านนอกคอกนาจากต่างถิ่นฝูงนี้มาแย่งชิงเอาเปรียบไปก่อน
ความคิดสารพันแพร่ไปในหมู่ชาวบ้านเมืองหลวง เมืองหลวงดั่งน้ำในหม้อเดือดพล่านขึ้นมา
ฟางจิ่นซิ่วยืนอยู่ด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิง มองดูผู้คนบนถนนจับกลุ่มคุยถกเรื่องการปลูกฝีของวัดกวงหวา ความยินดีที่ปลูกฝีแล้ว ความหงุดหงิดที่ต่อแถวไม่ทัน ใบหน้าที่นิ่งขรึมอยู่หนึ่งเดือนกว่าของนางค่อยๆ แย้มรอยยิ้ม เงยหน้าขึ้น มองนกกาเหว่าโฉบผ่านท้องฟ้า
ทนผ่านพ้นอีกหนึ่งเหมันต์ วสันต์มาแล้ว
กิ่งระย้าของต้นหลิวบนถนนราวกับชั่วคืนเดียวแต้มสีเขียว
ความหนาวเย็นคลายไปมากนัก สายลมที่พัดผ่านบนถนนก็อ่อนโยนขึ้นมาก ผู้คนเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ แต่บนถนนไม่มีคนมากมายออกันเพราะเรื่องนี้ เพราะผ่านไปอีกสามวันก็จะเป็นการสอบของกรมพิธีการแล้ว บัณฑิตที่เตรียมตัวสอบล้วนเตรียมพร้อมช่วงสุดท้าย
แต่เทียบกับความสำคัญที่ชาวบ้านกับราชสำนักให้กับการสอบขุนนางก่อนหน้านี้ ครั้งนี้กลับพูดถึงน้อย วันนี้สายตาและความคิดของคนทั้งหมดล้วนอยู่ที่วัดกวงหวานอกเมือง
ขุนนางใหญ่ในราชสำนักหลังไปปลูกฝีที่วัดกวงหวาตามต่อกัน อ๋องกงชนชั้นสูงในเมืองหลวงก็นั่งไม่ติดแล้วเช่นกัน เมื่อวานนี้เองเสียนอ๋องเข้าวังขอฮ่องเต้ยกเลิกคำสั่งปิดวัดกวงหวา สะดวกให้คุณหนูจวินมาปลูกฝีให้แก่เด็กในวังเสียนอ๋อง
อย่างไรเด็กของวังเสียนอ๋องก็ไม่อาจไปต่อแถวกับพวกชาวบ้านได้กระมัง
“พูดเช่นนี้คือฮ่องเต้ทรงพระราชทานอนุญาตแล้ว?”
“อนุญาตไม่อนุญาตไม่ได้พูด แต่ส่งขันทีคนหนึ่งไปวัดกวงหวาแล้ว”
ข่าวแพร่ออกไปรวดเร็วยิ่ง ขันทีทำไมไปวัดกวงหวา? ประกาศยกเลิกการปิดล้อมวัดกวงหวาหรือ?
“ท่านขันที ล้อเล่นแล้ว”
คุณหนูจวินเอ่ย
“แน่นอนไม่อาจให้เสียนอ๋องมาต่อแถวได้ นอกจากนี้วัดกวงหวาก็ไม่ใช่ไม่ให้ออกไปข้างนอกสักหน่อย เพียงแต่คนป่วยที่นี่มาก ทั้งยังเป็นฝีดาษ พวกเราไม่สะดวกออกไป”
ขันทีได้ยินวาจาดีใจยิ่ง
ถูกถูก ไม่ผิดก็เป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทออกคำสั่งห้ามเข้าออกย่อมไม่ใช่กับพวกเขา แต่เพราะคนป่วยมากและฝีดาษโรคที่สถานะพิเศษเช่นนี้ จึงเลี่ยงไม่ให้ทุกคนตระหนก
“ตอนนี้ทุกวันจำกัดจำนวนคน พวกเราท่านหมอหลายคนยังวุ่นวายกันไม่ทัน” คุณหนูจวินเอ่ย “ในเมื่อเสียนอ๋องต้องการปลูกฝี ถ้าอย่างนั้นก็ให้ท่านหมอคนหนึ่งไปวังเสียนอ๋องก็ได้แล้ว”
ขันทีพยักหน้าดีใจอีกครั้ง
ล้วนพูดกันว่าคุณหนูจวินพูดจาไม่น่าฟังขี้โมโหยิ่งยโส ล้วนเป็นข่าวโคมลอยทั้งนั้น
“ยังมีไม่ทราบว่าหน่อฝีนี่พอใช้หรือไม่?” เขากดเสียงเบาถาม พูดจบก็ท่าทางปิดบังอยู่บ้าง “ตลอดทางมาพวกเราเห็นคนปลูกฝีนี่ไม่น้อยทีเดียว”
“หน่อฝีเกิดได้ ใช้แล้วเกิด เกิดแล้วใช้” คุณหนูจวินเอ่ย “ท่านขันทีโปรดวางใจ”
แม้สงสัยว่าหน่อฝีเกิดอย่างไรใช้อย่างไร แต่ขันทีก็รู้ว่านี่เป็นวิชาลับของโรงหมอจิ่วหลิงเขา สอบถามวิชาลับของตระกูลแพทย์เป็นข้อห้ามใหญ่หลวง อีกอย่างได้คำตอบที่ตนเองต้องการถาม เขาก็วางใจแล้ว
คุณหนูจวินจัดท่านหมอคนหนึ่งตามขันทีไปวังเสียนอ๋อง
“ยังไงคุณหนูจวินไปเองสักครั้งดีกว่า” ขันทีลังเลนิดหนึ่งเอ่ย
“ที่จริงตลอดมาล้วนเป็นท่านหมอเหล่านี้ปลูกฝี พูดถึงทักษะการปลูกฝี พวกเขาชำนาญกว่าข้ามาก” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “ข้าแค่ทำหน่อฝีเท่านั้น”
ขันทีเสียใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อครู่เขาเห็นกับตาเองแล้ว ก่อนมาก็สอบถามคนที่ปลูกฝีเหล่านั้นมาแล้วด้วย คนที่ปลูกฝีด้านนอกวัดล้วนเป็นท่านหมอคนอื่น คุณหนูจวินอยู่ในวัดตลอด
มองดูท่านหมอคนหนึ่งตามขันทีจากไป พวกท่านหมอเฝิงสีหน้ายุ่งยากอยู่บ้าง
การมาเยือนของขันทีคนนี้หมายถึงอะไร ทุกคนล้วนรู้ หมายความว่าในที่สุดฮ่องเต้ก็ทรงยอมรับการปลูกฝีแล้ว
ครั้งนี้ให้หมอไปปลูกฝีกับเด็กในครอบครัวเสียนอ๋อง ครั้งต่อไปก็คงปลูกฝีให้บรรดาองค์ชายองค์หญิงแล้ว
นี่ก็หมายความว่า ในที่สุดการปลูกฝีก็เผยแพร่ไปทั่วใต้หล้าได้แล้ว
และการเผยแพร่ไปทั่วใต้หล้าย่อมต้องการคนทำงาน คุณหนูจวินบอกกับขันทีเองว่าตนเองไม่ปลูกฝี ให้ท่านหมอเหล่านี้มาทำ เห็นได้ชัดยิ่งว่าต้องการให้พวกเขามาทำเรื่องนี้
“คุณหนูจวิน แม้ท่านน้อยครั้งนักจะปลูกฝีเอง แต่พูดถึงความชำนาญในการปลูกฝี ใต้หล้านี้ไม่มีใครเทียบท่านได้” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“ก็ใช่ข้าชำนาญมาก” นางเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นทำไมท่านยังให้พวกเราไปทำ?” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ย
“เพราะพวกท่านทำได้ไงเล่า” คุณหนูจวินเอ่ย มองพวกเขาทีหนึ่ง “ข้าพูดไว้นานแล้ว ข้ารักษาโรคที่พวกท่านรักษาไม่ได้ แล้วก็ทำเรื่องที่พวกท่านทำไม่ได้เท่านั้น”
………………………………………