ตอนที่ 108 ถึงนายแล้ว / ตอนที่ 109 เซอร์ไพรส์

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 108 ถึงนายแล้ว

 

 

ไม่มีใครสังเกตเห็นน้ำตาของชุยหัง ขนาดตัวชุยหังเองยังตะลึงงันไปเลย ทำไมถึงได้มาซาบซึ้งเพราะเนื้อเพลงแบบนี้นะ

 

 

อาจจะเพราะมันง่ายๆ เรียบๆ แล้วก็สลดกินใจมั้ง

 

 

เขาก้มหน้าลงปล่อยให้น้ำตามันไหลตกไป จากนั้นก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

 

 

บทเพลงจบลงไปแล้ว ทุกคนต่างถูกดึงดูดเข้าไปอยู่ในบรรยากาศในนั้น

 

 

“เยี่ยม เยี่ยม…” เสียงปรบมือเกรียวกราว หนุ่มอ้วนคนนั้นเขินๆ อายๆ แบกกีต้าร์ใส่หลังเดินลงมา

 

 

ชั่ววินาทีนั้นชุยหังดูเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนมากมายถึงได้หลงใหลคนเล่นกีต้าร์

 

 

ไม่นานก็วนมาถึงการร้องเพลงเดี่ยวของโจวเฉวียน ครั้งนี้เขาไม่ได้วางวาจาท่าทางไม่เรียบร้อยเหลวไหลเหมือนครั้งที่อยู่สนามกีฬา แต่กลับจริงจังนิดหน่อย

 

 

ในมือถือไมโครโฟน ฟังจังหวะทำนองนับว่าได้จมดิ่งเข้าไปด้วยนิดๆ

 

 

“ท้องฟ้าของฉันเป็นสีเทา หัวใจของฉันเป็นสีฟ้า…”

 

 

อันที่จริงถ้าเขาตั้งใจร้องเพลงอย่างจริงจังก็ถือว่าไม่เลวเลย

 

 

อย่างน้อยเมื่อประสานเข้ากับดนตรีแล้วก็มีความรู้สึกนำเข้าสู่บทเพลงเหมือนกัน

 

 

แต่ทว่าสำหรับเพลงของจังเสวียโหย่ว [1] ชุยหังเคยฟังแค่ไม่เท่าไหร่ เพลงที่ชอบมากที่สุดเพลงหนึ่งคือ (ถ้านี่ไม่นับว่าเป็นความรัก) [2]

 

 

เมื่อมองดูทุกคนเดินไปด้านหน้าเพื่อทำการแสดงทีละคนทีละคนแล้ว ชุยหังยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น

 

 

เขาไม่รู้ว่าตนถูกจัดเอาไว้ในตำแหน่งไหน และเพราะความไม่รู้นี้เองที่ทำให้เขายิ่งกระวนกระวาย

 

 

ถึงขนาดรายการร้องเพลงหมู่ของห้องสามต่างก็แสดงแล้ว ทำไมยังวนมาไม่ถึงเขาอีก

 

 

แล้วในเวลานี้อาจารย์หม่าก็เดินขึ้นไปบนเวทีบอกว่าต่อไปเป็นรายการแสดงที่เหล่าครูฝึกรวมตัวกันจัดเตรียมมาเพื่อทุกคน

 

 

วินาทีนั้นทุกคนต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจขึ้นมา นับว่าตั้งหน้าตั้งตารอคาดหวังกับครูฝึกเหล่านี้มาก

 

 

แต่ว่าครูฝึกทั้งหมดยืนขึ้นแล้ว ซ่งไข่กลับยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น

 

 

“ครูฝึก ครูไม่ขึ้นหรอครับ” โจวเฉวียนเอ่ยถาม

 

 

แน่นอนว่าชุยหังไม่กล้าถาม แค่ซ่งไข่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ทำให้เขาตื่นเต้นมากแล้ว

 

 

ซ่งไข่พูดตอบ: “พวกเขาแสดง ฉันรับผิดชอบดู”

 

 

ทุกคนต่างก็ยิ้มๆ แต่กลับกังวลใจนิดหน่อยเกรงว่าอีกเดี๋ยวถ้าครูฝึกพวกนั้นแสดงเสร็จแล้วจะมีคนร่วมกันโห่ร้องขอให้ครูฝึกซ่งขึ้นไปแสดงเดี่ยว

 

 

ชุยหังไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ในเมื่อเขาเป็นผู้บังคับบัญชา เขาไม่อยากทำ ทหารผู้น้อยพวกนี้คงไม่กล้าเรียกให้เขาขึ้นไปหรอกมั้ง

 

 

การแสดงของเหล่าครูฝึกคือท่าหมัดทหารที่แท้จริง แต่ละกระบวนท่าดุดันราวกับเสือ

 

 

โดยเฉพาะท่าที่พวกเขาทุกคนรวมกันหงายเอนลงไปด้านหลังท่านั้น มันช่างดูหล่อเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

ต่อยหมัดมากว่าหนึ่งรอบแล้วทุกคนต่างก็รู้สึกว่ายังไม่หายอยาก แต่ว่าเหล่าครูฝึกก็จัดแถวทำความเคารพจากนั้นก็ลงจากเวทีไปแล้ว

 

 

“เยี่ยม!”

 

 

ภายในโรงอาหารระเบิดเสียงโห่ร้องแสดงความชอบใจขึ้นมา ครึ่งเดือนแล้ว พวกเขานับว่าเก็บกดกันพอสมควรเลยจริงๆ

 

 

ทุกวันต่างก็ได้อยู่ได้สัมผัสกับครูฝึกเหล่านี้ แต่ว่าต่างก็ให้พวกเขาขยับไปมา จากนั้นก็ให้ปรับปรุงแก้ไขท่าระเบียบของตนเอง

 

 

พวกครูฝึกก็ร่วมเหงื่อตกเหงื่อไหลด้วยกันกับพวกเขา ภายใต้แสงแดดแรงๆ นั้น สวมหมวกหม้อตาลที่ใบใหญ่ยิ่งกว่าหมวกเบเร่ต์ของพวกเขาโดยไม่เคยบ่นลำบากเลยสักคำ

 

 

ก่อนหน้านี้ชุยหังเคยได้ยินมาว่ามีคนหลายคนที่หลังจากผ่านการฝึกทหารแล้วต่างก็พากันวิ่งไล่ตามรถของครูฝึกออกไปไกลมากๆ

 

 

ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจ ไม่ได้ตามดาราสักหน่อยทำไมต้องโอเว่อร์มากขนาดนั้น

 

 

แต่ว่าตอนนี้เขาเข้าใจขึ้นมาแล้ว มันคือความรู้สึกสำนึกในบุญคุณ ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ส่วนไล่ตามดาราดูเหมือนโรคบ้าคลั่งเสียมากกว่า

 

 

หลังจากเหล่าครูฝึกแสดงแล้ว บรรยากาศก็ดูครึกครื้นขึ้นมาก

 

 

รายการที่เหลืออยู่คงจะเหลือไม่มากแล้ว

 

 

ตอนที่อาจารย์หม่าขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง ในที่สุดก็เรียกชื่อชุยหังจากห้องสามแล้ว

 

 

หัวใจของชุยหังเต้นแรงขึ้น ในที่สุดก็มาถึงเวลานี้แล้ว

 

 

ก่อนหน้านี้ดูรายการแสดงมาหลายรายการแล้ว โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ยังมีการแสดงดีดกีต้าร์ร้องเพลง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าขลุ่ยของตัวเองเหมือนจะไม่ควรค่าแก่การนำออกมาแสดงเลย

 

 

อีกอย่างหลายวันมานี้เขาก็ไม่เคยฝึกฝนส่วนตัวเลยสักครั้ง เพราะไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของคนอื่นๆ

 

 

ซ่งไข่ตบไล่เขาเบาๆ พลางเอ่ยถาม: “เป็นไงบ้าง เตรียมพร้อมหรือยัง”

 

 

“ไม่เป็นไร เป่าไม่ดียังเป่าไม่แย่ไง…”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 109 เซอร์ไพรส์

 

 

ชุยหังใช้วิธีการแขวะตัวเองเพื่อลดความกดดันของตน

 

 

แต่ว่าผลที่ได้ไม่ได้ปรากฏออกมาให้เห็นชัดเจน เพราะเขายังคงสามารถรับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเอง เทียบกับปกติแล้วไม่ได้อยู่ในอัตราความถี่เดียวกันเลย

 

 

“ไม่ต้องตื่นเต้น ยังไงซะคนอื่นก็ฟังไม่เข้าใจ นายก็เป่าเพลงที่ทุกคนไม่เคยฟังมาก่อนสักเพลงสิ ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่านายทำผิดพลาดหรือเปล่า” ซ่งไข่กล่าว

 

 

คำปลอบใจแบบนี้ชุยหังยอมที่จะไม่ต้องการ

 

 

ถ้าหากมีโน้ตเพลงตัวหนึ่งผิด คนอื่นอาจจะไม่รู้ ตัวเขาเองจะต้องรู้แน่นอน

 

 

แบบนั้นจะต้องส่งผลกระทบต่อการแสดงความสามารถในลำดับต่อไปของตนทันที

 

 

เขาไม่รู้สึกว่าคุณสมบัติทางจิตใจของตนดีมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้ ยิ่งไม่สามารถรับประกันได้เลย

 

 

“เหลาอู่ ผ่อนคลาย นายคือเทพเจ้า!” ถังเฉิงพูดอย่างน่าขำมาก

 

 

“ไม่ผิด นายคือโฆษกประจำห้อง426ของพวกเรา ถึงแม้ว่าตาของนายจะเล็กก็เถอะ” จ้าวหลินก็พูดบ้าง

 

 

ขนาดจังเผิงยังเปิดปากด้วย: “ไม่เป็นไร ทำมันก็สิ้นเรื่องแล้ว”

 

 

ชุยหังยิ้มออกมาแล้ว นี่สิถึงเป็นคำปลอบใจที่แท้จริง เข้าท่ายิ่งกว่าของซ่งไข่เมื่อครู่นี้เยอะเลย…

 

 

อารมณ์ของเขาผ่อนคลายลงนิดหน่อย จากนั้นก็หยิบขลุ่ยของตนเองเดินขึ้นไปด้านบน

 

 

“เยี่ยม!”

 

 

ผู้คนด้านล่างเมื่อเห็นว่าเป็นคนที่ร้องเพลง เพลงรักทะเลตะวันตก คนนั้นต่างก็พากันโห่ร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ

 

 

แน่นอนอยู่แล้วว่านี่เป็นความเข้าใจของตัวชุยหังเอง สาเหตุที่แท้จริงควรจะเป็นเพราะพวกเขาเห็นถึงความตื่นเต้นของชุยหังเสียมากกว่า เลยอยากจะช่วยให้เขาผ่อนคลายลง

 

 

ชุยหังสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเอานิ้วมือวางไว้บนรู ปากขลุ่ยวางแตะไว้ที่ปาก ค่อยๆ หลับตาลงเบาๆ แล้วก็ไม่ได้แนะนำว่าตนต้องการจะเป่าอะไรก็เริ่มทำการแสดงในทันที

 

 

ไม่ว่ายังไงเพียงแค่ทำนองเพลงดังขึ้นมาพวกเขาจะต้องฟังออกอย่างแน่นอน

 

 

ถ้าหากฟังไม่ออกมันก็อธิบายได้แค่ว่าตนเป่าไม่ถูกต้อง

 

 

บทประพันธ์เพลงไพเราะนุ่มนวลรื่นหูรินไหลออกมาจากขลุ่ย ไพเราะน่าฟังเป็นอย่างมาก

 

 

รายการแสดงเมื่อครู่นี้โดยพื้นฐานมีแต่ร้องเพลง แล้วก็ยังมีเต้นง่ายๆ อีกสองสามรายการ ตอนนี้จู่ๆ ก็มีเครื่องดนตรีโบราณแบบนี้ปรากฏขึ้นมากะทันหัน ไม่มีเสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวอื่นใด แต่กลับทำให้ทุกคนต่างก็เงียบลง

 

 

“อันนี้ดูเหมือนจะเป็นอันนั้นนะ อะไรนะ…” ด้านล่างมีคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เสียงแผ่วเบา

 

 

ตั้งแต่เริ่มต้นทุกคนต่างก็ฟังออกแล้ว

 

 

“องค์หญิงกำมะลอ”

 

 

“ใช่ พาทนั้นในเรื่อง ‘องค์หญิงกำมะลอ’ ที่จื่อเวยดีดพิณ”

 

 

“ ‘ในฝัน’ ”

 

 

“ใช่ อันนั้นแหละเพราะมากจริงๆ”

 

 

บทเพลงนี้มีเวอร์ชั่นขลุ่ยบรรเลงเดี่ยว แต่ว่าเดิมทีเป็นขลุ่ยเป่าแบบขวาง ส่วนของชุยหังใช้เป็นขลุ่ยเป่าแบบตั้ง ถึงแม้ว่าลักษณะเสียงจะไม่ค่อยเหมือนกันแต่ดูจากปฏิกิริยาตอบสนองกลับจากทุกคนแล้วก็นับว่าประสบความสำเร็จ

 

 

ในสมองของชุยหังยังนึกถึงหลูจื้อขึ้นมา

 

 

หลายวันมานี้เขาเหมือนกับโดนมนต์สะกดยังไงอย่างนั้น ขอเพียงแค่เป็นช่วงที่มีเวลาว่างก็จะคิดถึงเขา นึกถึงคำพูดแปลกประหลาดที่ไม่มีคำพูดอะไรต่อพวกนั้นที่เขาพูดกับตนขึ้นมา

 

 

ซ่งไข่จับจ้องมองมาที่ชุยหังตาไม่พริบ ตัวของเขายังคงสามารถทำให้เขาเซอร์ไพรส์ได้ไม่น้อยเลยจริงๆ

 

 

ครูฝึกห้องสองก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายวีดีโอ จากนั้นกดส่งให้ใครคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย

 

 

ชุยหังคอยควบคุมลมหายใจอย่างระมัดระวัง เพราะขลุ่ยตรงกับขลุ่ยนอนไม่เหมือนกัน พื้นเสียงไม่ได้กว้างขนาดนั้น ถ้าหากไม่ระวังอาจจะทำให้เกิดเสียงแหกขึ้นมาได้

 

 

เขาพยายามให้ลมหายใจของตนนิ่งสักหน่อย สุดท้าย ในที่สุดก็สามารถแสดงการแสดงสิ้นสุดลงไปโดยบรรลุตามผลที่คาดไว้

 

 

“เหลาอู่ เก่งเ**้ยๆ เลย” โจวเฉวียนตะโกนออกมา

 

 

อาจารย์หม่าเหลือบมองเขานิดๆ เขาจึงรีบแก้คำทันที: “เอ่อไม่ใช่ เก่งเกินไปแล้ว”

 

 

ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงได้ตัดคำๆ หนึ่งทิ้งไปก็พากันหัวเราะชอบใจขึ้นมา

 

 

แต่ว่าก็ยังคงพากับปรบมือเสียงดังเกรียวกราวให้ชุยหังด้วย

 

 

ตอนที่กลับมาถึงที่นั่ง ซ่งไข่มองมาที่เขาด้วยสายตาสุดลึกซึ้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร

 

 

กลับเป็นจ้าวหลินที่เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา: “ว้าว เหลาอู่ นายเป่าเป็นจริงๆ หรอเนี่ย พวกเราก็นึกว่านายโม้ซะอีก”

 

 

“นี่ฉันก็เป่าไปแล้วไม่ใช่หรอ” ชุยหังพูดยิ้มๆ

 

 

ยังดี เพียงแค่ผ่านด่านนี้ไปแล้ว ที่เหลือก็คงจะไม่มีบททดสอบอะไรอีกแล้วใช่ไหม

 

 

 

 

——

 

 

[1] จังเสวียโหย่ว 张学友 เป็นชื่อของนักร้องคนหนึ่ง

 

 

[2] (ถ้านี่ไม่นับว่าเป็นความรัก) 《如果这都不算爱》 ชื่อเพลงผลงานของ张学友