บทที่ 177 รีบเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเร็วๆ

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

บทที่ 177 รีบเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเร็วๆ

รถเบนซ์คันหนึ่งขับไปอย่างเชื่องช้าบนถนนจากเขตเมืองฉีมุ่งหน้าสู่ฟาร์มย่านชานเมืองของอัศวิน A ตามมาด้วยรถแลนด์โรเวอร์คันหนึ่งพร้อมด้วยรถบรรทุกคันใหญ่

นี่เป็นขบวนรถที่ร้านอาหารตระกูลฟางส่งมา ตอนนี้ภายในรถเบนซ์ที่นำอยู่ มีบทสนทนาลับๆ กำลังเกิดขึ้น

จ้าวอิ๋งมองไปยังเถ้าแก่ที่นั่งขรึมข้างคนขับ ในใจก็พูดอะไรไม่ออก เพิ่งผ่านไปไม่เท่าไหร่ แค่พริบตาเถ้าแก่ก็หดหัวกลับไปอีกแล้ว แถมยังส่งหุ่นเชิดออกมารับมือสถานการณ์แทน สมกับที่เป็นโอตาคุตัวพ่อ

เธออุ้มหนูแฮมสเตอร์ ก้มหน้าลงพลางส่งเสียงลับ แต่ทักษะยังไม่คล่องแคล่วบางครั้งจึงพูดติดอ่าง

“เสี่ยว เสี่ยวชาง เธอ…แน่ใจนะ นี่คือการมาเจอเทพบุตรของฉัน เขายังกล้าหาคนมาสวมรอยออกหน้า ไม่กลัวว่าเทพบุตรของฉันจะพิโรธเอาเหรอ”

หนูแฮมสเตอร์ถึงกับพูดไม่ออก “‘พิโรธงั้นเหรอ’ พี่ยังคิดว่าเทพบุตรของพี่เป็น ‘คุณชายสี่’ จริงๆ แต่ฉันคิดว่าเขาไม่กลัวเพราะมีคนหนุนหลัง หรือว่ามังกรแท้อาจขี้เกียจจะคิดหยุมหยิม ถึงแม้ตัวปลอมจะเหมือนตัวจริงเปี๊ยบ แต่ในสายตาของผู้แข็งแกร่งที่การรับรู้ว่องไวมากเพียงมองปราดเดียวก็เห็นทะลุปรุโปร่ง”

จ้าวอิ๋งขยี้พุงขาวๆ ของแฮมสเตอร์ “เอ๊ะ เสี่ยวชางแกก็เป็นผู้แข็งแกร่งใช่ไหม ทำไมฉันถึงมองไม่ออกล่ะ”

หนูแฮมสเตอร์รู้สึกจนใจ คิดในใจเพราะฉันกับคุณชางเป็นคนดีน่ะสิ ถ้าเปลี่ยนเป็น อีกคนคงจะขู่ให้พี่กลัวจนมุดใต้เตียงตั้งนานแล้ว…

มันไม่ได้พูดออกมา เพียงแต่ตอบไปว่า “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าพี่เปรียบเทียบกับใคร…”

ในตอนนี้ จู่ๆ รถเบนซ์ก็ส่ายไปมาโดยไม่ทราบสาเหตุ จ้าวอิ๋งรู้สึกได้เพียงกระแสปราณที่ไหลผ่านทั่วร่าง ช่วยยึดร่างกายที่เหวี่ยงไปมาอย่างแรงของเธอให้อยู่นิ่ง

น้ำเสียงของเธอค่อนข้างสับสน “ตอนนี้ฉันเริ่มเชื่อเธอบ้างแล้ว แต่เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

โชคดีที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ตัวรถก็กลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง

คนขับเบนซ์ค่อยๆ ชะลอรถ เปิดไฟกะพริบจอดรถข้างทาง รถสองคันที่ตามหลังมาก็จอดรถตาม

คนขับรถหันกลับมาแล้วเอ่ยด้วยเสียงตื่นเต้น “เมื่อกี้เหมือนว่าพื้นดินจะสั่นไหว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เถ้าแก่ครับ พวกเราจะขับต่อไปดีไหม”

มนุษย์กลไกหุ่นเชิดของฟางหนิงรู้สึกลังเลตัดสินใจไม่ได้จึงนิ่งเงียบ

ในเวลานี้จ้าวอิ๋งก็เอ่ยขึ้น “เถ้าแก่ ขับต่อไปเถอะค่ะ รีบไปที่บ้านของท่านท่านอัศวิน ที่นั่นจะปลอดภัยที่สุด “

เมื่อฟางหนิงได้ยินดังนั้นก็ตอบ “อึม ทำตามผู้จัดการจ้าวละกัน ขับต่อไปเถอะ”

คนขับรถพยักหน้าแล้วใช้วิทยุคุยกับคนขับรถสองคันข้างหลังก่อนที่จะสตาร์ทรถ

ฟางหนิงล่วงหน้าไปที่วิลล่าฟาร์มก่อนแล้วให้ระบบครองร่างของตนเอง แสร้งทำเป็นเก็บตัว แต่ผ่านไปพักหนึ่งก็รับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของพื้นดินจึงออกมาทันที

เห็นแต่เจิ้งต้าว สุนัขสดำกับสุนัขเหลืองสองตัวและพนักงานของวิลล่ารีบออกมารวมตัวกันในสวน

พวกผู้ที่ติดตามระบบก็สงบลงแล้ว ถึงอย่างไรพวกเขาเคยประสบเหตุการณ์ใหญ่มาไม่น้อย

แต่พวกคนงานในฟาร์มต่างก็กระสับกระส่าย พากันกระซิบกระซาบ

หลังจากที่อัศวิน A ปรากฏตัวออกมา พวกเขาถึงได้สงบลง

“ไม่ต้องกลัว ไม่ได้เกิดเรื่องขึ้นที่นี่ เป็นสถานที่ห่างไกล” หลังจากที่เขาพูดจบ สีหน้าของทุกคนก็ผ่อนคลายลง แล้วเริ่มกระซิบกันในใจ

“ในเมื่อท่านอัศวินพูดอย่างนี้ จะต้องไม่มีอะไรแน่”

“เอ๊ะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีก คาดว่าคงไม่ใช่แผ่นดินไหวธรรมดา ดูจากข่าวสารออนไลน์ล่าสุด ภัยธรรมชาติส่วนใหญ่เกิดขึ้นพร้อมกับเหตุการณ์แปลกๆ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเหมือนแต่ก่อน” พนักงานหนุ่มกระซิบ

“พวกเราไม่ต้องกังวลไปหรอก มีท่านอัศวินคอยดูแล สิ่งชั่วร้ายก็ทำอะไรเราไม่ได้” มีใครคนหนึ่งเอ่ยปลอบใจ

ตอนนี้สุนัขเหลืองได้รับโทรศัพท์ แต่หลังจากรับสา ใบหน้าสุนัขของมันก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง แล้วหันไปเอ่ยกับหมาดำ

“ตันตันบอกว่าเหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้มันกลัว สองสามวันนี้ไม่กล้าออกจากบ้าน น่าเสียดาย เมื่อกี้เชฟฟางเพิ่งโทรมาบอกว่าวันนี้อยากจะพบท่านเทพ จึงถือโอกาสลงมือทำอาหาร ตอนนี้กำลังเดินทางมา ใกล้ถึงแล้วล่ะ”

สุนัขดำเอ่ยอย่างสมน้ำหน้า “ฮ่าฮ่า ลูกพี่หวง สวรรค์ต้องการให้พี่เป็นโสดต่อไป…”

สุนัขเหลืองตอกกลับ “เย็นนี้จะไม่ติวให้แกแล้ว เชิญแกฝึกด้วยตัวเองเถอะ”

สุนัขดำ “…”

“เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายกันเถอะ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว” ผ่านไปครู่หนึ่ง อัศวิน A ก็เอ่ยขึ้น

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น จิตใจก็สงบลงและทยอยกันออกไป

ไม่นานนักอัศวิน A ก็เห็นมนุษย์กลไกตัวแทนของตัวเองพาคนจากร้านอาหารตระกูลฟางเข้ามา

หลังจากทักทายกันแล้ว มนุษย์กลไกตัวแทนก็พาเจ้าแฮมสเตอร์มาหาอัศวิน A

จากนั้นหนึ่งคนกับหนึ่งหนูก็มายังห้องรับรอง

ภายในห้องรับรองแขก แสงแดดฤดูหนาวกำลังส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ เมื่อแสงอาทิตย์ส่องกระทบลงบนร่างทำให้รู้สึกอบอุ่น

ตอนนี้แฮมสเตอร์ได้หมอบลงบนโต๊ะ ดวงตาเล็กๆ คู่นั้นมองอัศวิน A อย่างสับสน มันไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง

ตอนนี้ฟางหนิงรู้สึกประหลาดใจ จึงเอ่ยทักทายสั้นๆ แต่อีกฝ่ายกลับอึกอัก ดูเหมือนมีเรื่องที่ลำบากใจจะพูดออกมา

เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เราคุยกันถูกคอ เห็นว่าระดับความชื่นชอบกำลังจะกลายเป็นสีเขียว ถ้าไม่ถูกจ้าวอิ๋งขัดจังหวะเสียก่อน…

แล้วทำไมถึงกลายเป็นไม่รู้จักกันอีกแล้วล่ะ

ระบบ “ทำไมมันไม่พูดอะไรเลย หรือว่าจะเป็นคนละคนงั้นเหรอ”

เมื่อฟางหนิงได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันที “แกเดาได้ถูกเผง เจ้าแฮมสเตอร์ตัวนี้มีวิญญาณสองคนอยู่ในนั้น ตอนนี้จะต้องเป็นผู้ชายอีกคนหนึ่ง มันอาจเคยทำผิดต่อพวกเราก่อนหน้านี้ถึงได้รู้สึกละอายใจ ก็เลยไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากยังไงดี”

ระบบ “อ๋อ งั้นฉันก็เข้าใจแล้ว คนอื่นแข็งแกร่งกว่าคุณแต่หน้าคุณหนากว่ามันเยอะ พอทำเรื่องน่าละอายแล้วถูกฉันเปิดโปงก็ยังไม่สะกสะท้าน”

ฟางหนิงพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “มีเรื่องแบบนั้นที่ไหนกัน ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนั้น”

ระบบ “จะไม่มีได้ไง ครั้งก่อนที่ฉันให้วันหยุดยาวกับคุณ คุณแอบขโมยเงินฉันตอนที่ฉันเก็บตัว และกลัวว่าฉันจะจับได้ถึงได้ลองทุบกำแพงก่อนเพื่อดูว่าฉันอยู่หรือเปล่า และสุดท้ายก็ถูกฉันจับได้อยู่ดี”

ฟางหนิงปฏิเสธไม่ได้จึงเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงค่อยฝืนพูดขึ้น”ความจำแกดีจริงๆ ผ่านมาตั้งนานแล้วยังจำได้อีกเหรอเนี่ย แล้วมันมีความหมายไหมล่ะ พวกเรายังเป็นเพื่อนกันไหม”

ระบบ “แน่นอนว่ามีความหมายสิ ทีแรกคุณบอกว่าจะเปิดร้านค้าออนไลน์ให้เจิ้งต้าวเป็นตัวแทนขายยาให้ฉัน ทุกข้อตกลงเป็นธุรกิจใหญ่ ฉันพูดเรื่องนี้เพื่อเตือนคุณว่าอย่าหวังจะได้ค่านายหน้าล่ะ นั่นจะเสียแรงเปล่า มีแต่จะเสียเวลาการโอนเงินของฉัน”

ในที่สุดฟางหนิงก็ได้สติเริ่มตอบโต้กลับ “ถ้าแกอยากจะพูดอย่างนี้ แกก็เคยทำเรื่องน่าละอายใจเหมือนกัน วันหยุดครั้งก่อนแกฉวยโอกาสตอนที่ฉันนอนหลับขโมยเวลาพักผ่อนของฉันไป ตัวเองเสียเปรียบ พอเกิดเรื่องแล้วยังกัดฉัน ‘ไม่เตือนเร็วหน่อย’ งั้นแกก็หน้าหนากว่าฉันเยอะ…”

ระบบ “…”

ตอนที่ฟางหนิงกำลังเถียงกับระบบ ในหัวของแฮมสเตอร์ก็มีสองคนกำลังเถียงกัน

เวลานี้ไป๋รั่วชางสงสัย “คุณชายชาง เราตกลงกันดิบดีแล้วคุณจะผูกมิตรกับเขา ตอนนี้เรื่องก็มาถึงตรงหน้าแล้ว เขาทักทายพูดด้วย แล้วทำไมคุณถึงทำท่าอยากพูดแต่ก็ไม่พูดล่ะ”

คุณชายชางตอบพลางส่ายหน้า “เฮ่อ ตอนที่ฉันเห็นเขาก็รู้สึกละอายใจมาก พูดอะไรไม่ออกจริงๆ ไม่งั้นนายออกไปแทนดีกว่า”

ไป๋รั่วชางงุนงง “วันนี้พวกเราแค่มาพบเขาทำความรู้จักสนิทสนม พูดคุยเรื่องการฝึกฝนและคบหาเป็นเพื่อนกัน ขอบคุณที่เขาคุ้มครองในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และถือโอกาสช่วยพี่อิ๋งที่วันๆ เอาแต่คลั่งไคล้ผู้ชายได้สมหวัง…คุณมีอะไรที่น่าละอายใจกันล่ะ”

คุณชายชางตอบ “เดิมทีก็เป็นอย่างนี้จริง แต่หลังจากที่ได้เจอหน้ากันเมื่อกี้ สัญชาตญาณบอกฉันว่าวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในร่างอัศวิน A นั้นบาดเจ็บหนักภายใน จากนั้นฉันก็พบว่ามันรุนแรงยิ่งขึ้น คิดๆ ดูแล้วพวกเราในไม่กี่เดือนมานี้ สุขสบายเพราะได้รับความคุ้มครองจากเขา ขณะที่เขาวิ่งวุ่นผดุงคุณธรรม ที่นี่ถึงได้สงบสุข ตอนนี้เขาบาดเจ็บหนักจะต้องเจอกับอันตรายอันใหญ่หลวงมาก่อนแน่ๆ…”

ไป๋รั่วชางได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันที “อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง ก่อนหน้านี้คุณชายชางเคยพูดว่า ราชวงศ์หนูยักษ์มีพรสวรรค์พิเศษที่เรียกว่า ‘สัญชาตญาณความตาย’ คุณก้าวหน้าไปอีกขั้น สามารถรับรู้ได้ถึงอันตรายที่มีอยู่ คุณเสียใจที่พวกเราไม่ได้มาเจอกับเขาเร็วกว่านี้จะช่วยเขาได้ใช่ไหม”

คุณชายชางพยักหน้าพลางเอ่ยขึ้น “เรื่องมันเป็นอย่างนั้นแหละ ถ้าฉันได้พบเขาเร็วกว่านี้ ไม่รอจนถึงป่านนี้ บางทีอาจช่วยเขาไม่ให้บาดเจ็บหนักขนาดนี้…”

ไป๋รั่วชางเอ่ยปลอบใจ “หัวใจของคุณชายช่างงดงาม เรื่องนี้จะตำหนิคุณก็ไม่ได้ ตอนนั้นเราต้องพยายามเต็มที่ถึงจะเข้าครองร่างของหนูแฮมสเตอร์ใกล้ตายได้ ตอนนี้ก็กังวลว่าจะทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อน หลังจากพักฟื้นหลายเดือน พละกำลังถึงค่อยฟื้นคืนแล้ว วันนี้เพิ่งได้มาเยี่ยมและขอบคุณก็ยังไม่สายเกินไป คุณอย่าได้โทษตัวเองมากเกินไป”

คุณชายชางเอ่ย “นายพูดแบบนี้ ฉันค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เอาเถอะ งั้นเดี๋ยวฉันคุยเอง”

ระบบ “เอ๊ะ ดูสิว่าเจ้าแฮมสเตอร์เป็นสีเขียวแล้ว”

ฟางหนิง “ดีจริงๆ อยากให้มันเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเร็วเท่าสุนัขเหลืองกับสุนัขดำ”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดหนูแฮมสเตอร์ก็ขยับปากพูด

คราวนี้น้ำเสียงแตกต่างจากเสียงเด็กหนุ่มคนเดิมอย่างสิ้นเชิง น้ำเสียงมีเสน่ห์ อ่อนโยนและสูงศักดิ์”ท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณ ข้าชื่นชมท่านมานานแล้ว ข้าควรมาพบท่านเร็วกว่านี้ รอจนถึงวันนี้ค่อยมาคารวะ รู้สึกละอายจริงๆ”

เมื่อเห็นแฮมสเตอร์พูด ระบบก็ผลักฟางหนิงออกไปรับหน้าเพราะมันหลอกคนอื่นไม่เก่ง

ฟางหนิง “ไม่เป็นไร เจ้าคือเสี่ยวชางที่เถ้าแก่ฟางแนะนำใช่ไหม”

คุณชายชางรับคำ “ใช่แล้ว ข้าชื่อ ‘ชาง’ คำเดียว ฐานะที่แท้จริงคือลูกชายคนโตของบรรพบุรุษตระกูลไป๋ เพียงแต่มีบางเรื่องที่ยากจะเล่าได้หมด ตอนนี้ข้าตัดขาดจากพวกเขาแล้ว”

ฟางหนิงพยักหน้า “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง คุณชายชางเลือกที่จะมาเจอข้า น่าจะมีเรื่องที่อยากจะพูดด้วยใช่ไหม”

คุณชายชาง “ข้ารู้สึกละอายใจ หลายเดือนนี้พึ่งพาท่านอัศวินปกป้องความปลอดภัย แต่กลับไม่เคยตอบแทนอะไรเลย ที่จริงแล้วข้าพอมีความสามารถพิเศษสัมผัสภยันตรายได้มากมาย ถ้าท่านอัศวินจะไปผดุงคุณธรรมที่ใด บางทีข้าอาจจะช่วยเตือนท่านได้ ท่านอัศวินจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในอันตรายอีก”

ฟางหนิงได้ฟังก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

ระบบยังงุนงงจึงเอ่ยถาม “เขาพูดวกไปวนมา ตกลงแล้วหมายความว่ายังไง คุณช่วยแปลให้ฟังหน่อย”

ฟางหนิง “แผนแกล้งทำเป็นอ่อนแอได้ผลดีเยี่ยมสัญชาตญาณของเขาสูงมาก แม้จะเป็นแค่ผู้เล่นระดับอ่างน้ำ เหลือเชื่อจะสัมผัสได้ว่าอัศวิน A บาดเจ็บหนัก เขารู้สึกว่าการติดตามอัศวิน A จึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่าสงบสุขได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีพรสวรรค์ในการเตือนภัยล่วงหน้า แต่กลับไม่ออกไปปกป้องโลกกับอัศวิน A แค่ให้อัศวิน A วิ่งไปทั่ว ผลคือได้รับบาดเจ็บหนัก ดังนั้นจึงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก คิดว่าตัวเองไม่มีความรับผิดชอบเท่าที่ควร”

ระบบ “อ๋อ พูดอย่างนี้เขาคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดไปจริงๆ…โฮสต์ ทำไมคุณเดาได้แม่นขนาดนี้ เมื่อก่อนเคยทำเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ใช่ไหม”

ฟางหนิงพูดไม่ออก ตัวเองทายได้แม่นยำแต่เจ้าระบบงี่เง่ากลับไม่ชมเชยเขาเป็น ‘โฮสต์อัจฉริยะ’ มันกลับฉวยโอกาสโจมตี ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นซะจริง

แต่ครั้งนี้มันคาดเดาได้ถูกต้อง เมื่อก่อนตัวเองมักจะแอบอ่านนิยายตอนทำงานจึงมักจะรู้สึกผิดเสมอ…

ระบบยังคงพูดต่อไป “เขารู้สึกผิดขนาดนี้ แล้วทำไมยังไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินมาเป็นพวกเราล่ะ ฉันไม่ต้องการความสามารถเตือนภัยล่วงหน้าของเขา ฉันเก่งกว่าเขามากเรื่องการรับรู้ถึงอันตราย”

ฟางหนิง “ไร้สาระ ไม่ได้ยินที่เขาพูดถึงชาติตระกูลของตัวเองหรือไง คุณชายของตระกูลใหญ่เชียวนะ ต้องระมัดระวังหน่อย ไม่เหมือนกับเจ้าสุนัขเหลืองกับสุนัขดำสองตัวนั่น”

ระบบ “ยุ่งยากชะมัด ระมัดระวังมีประโยชน์ งั้นคุณลองคิดหาวิธีทำให้เขาเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเร็วๆ ละกัน”

……………………………………………………..