ตอนที่ 279 จำศีล

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 279 จำศีล

เซี่ยะซีเฟิงรู้สึกกดดันขึ้นมาพร้อมกับพร่ำด่ากวนถงอยู่ในใจ แต่จำต้องฝืนแสดงรอยยิ้มออกมา “ใต้เท้าฟู่ผู้มีจิตใจกว้างขวางขอรับ เวลานั้นท่านกวนคงสับสนไปชั่วขณะ ขอท่านได้โปรดให้ขบวนหยุดรอฟังคำชี้แจงของใต้เท้ากวนถงชั่วครู่ได้หรือไม่ ? ”

“ข้าคงมิบังอาจฟังคำชี้แจงของใต้เท้ากวนถงหรอก และท่านก็มิจำเป็นต้องโน้มน้าวข้า ไปบอกเขาสักคำว่าข้ามิพอใจยิ่ง ! ”

ประโยคนี้ทำให้เซี่ยะซีเฟิงโมโหเป็นอย่างมาก

ไอ้กวนถงคนชั่วช้า แผนการอันร้ายกาจที่เจ้าคิดขึ้นมานั้นข้ามิมีส่วนรู้เห็นแม้แต่น้อย อีกทั้งข้ายังเดินทางกลับไปกลับมาท่ามกลางสายฝน ต่อให้อ้อนวอนข้า ข้าก็จักไม่แยแสอีกต่อไป ต่อให้ฝ่าบาทสืบสวนเรื่องนี้ขึ้นมาข้าก็จะมิรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น

ทว่าประโยคที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเมื่อครู่นั้นจำเป็นต้องเอ่ยแก่กวนถง เพราะเขาอยากรู้เหลือเกินว่าหากได้ฟังประโยคนี้แล้วเจ้านั่นจะแสดงท่าทีเยี่ยงไร

เขาทุ่มเสียงลงแล้วกล่าวอีกครา “บุตรชายของเหวินสิงโจวนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ข้าซึ่งมีนามว่าเหวินชางไห่ได้ให้เกียรติติดตามขบวนนี้มาด้วย เขาผู้นั้นเป็นบัณฑิตของสำนักฮั่นหลินและได้ตั้งตารอคอยการมาถึงของใต้เท้า ถือว่าเห็นแก่ท่านเหวินผู้เก่งกล้า ขอท่านจงได้โปรดชะลอขบวนด้วยเถิด”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คาดคิดว่าท่านเหวินสิงโจวจะมอบหมายให้บุตรชายของตนมาทำการต้อนรับด้วยเช่นกัน ตรึกตรองไปมาเขาจึงสั่งให้เซวียผิงกุยชะลอความเร็วของขบวนลง

“อีกชั่วครู่เจ้าจะจัดการเรื่องนี้เยี่ยงไร ? ” หยูเวิ่นเหวินเอ่ยถาม

“ฝนนี้ก็ช่างตกถูกกาละเสียจริง อีกครู่ก็ให้คนแซ่กวนผู้นั้นตากฝนรอเสียหน่อย”

“พวกเราจะยังคงเดินทางไปเมืองกวนหยุนใช่หรือไม่ ? ”

“ใช่ ! แม้นตัวข้าเองมิได้อยากไปนัก แต่ครานี้เป็นภารกิจที่องค์ฝ่าบาททรงมอบหมายให้และข้าจำต้องทำให้ลุล่วงเสีย อีกอย่างหากไปก่อตั้งจุดทำการค้าในเมืองกวนหยุนเสียหน่อย ข้าว่าก็มิเลว ข้าก็ใคร่รู้นักว่าการค้าขายของเมืองกวนหยุนนั้นพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนได้ตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำการนี้แล้ว แต่เขาก็มิอาจหยั่งรู้ได้ว่าเขาได้ทำสิ่งใดให้กวนถงมิพอใจเขาเช่นนี้ กวนถงถึงไม่รักษาหน้าเขาเลยแม้แต่นิด หากอยากจะตบหน้าราชวงศ์หยูนักละก็ เขาก็จะไม่ยอมรักษาหน้าอีกฝ่ายไว้เช่นกัน และเขาจะฟาดมือเขากลับไปที่ราชวงศ์อู๋อีกด้วย

เขาจำต้องแยกแยะให้ได้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากแผนการของกวนถงเองหรือเป็นแผนการขององค์จักรพรรดิเหวินตี้ หากเป็นแผนการของพระองค์แล้วไซร้ เขาคงต้องรวบรวมสติให้มากที่สุดเพื่อต่อกรกับเรื่องนี้ เพราะนี่มิได้หมายถึงพระองค์กำลังลองเชิง มิใช่แค่ต้องการลองเชิงกับตน แต่ต้องการจะลองเชิงกับราชวงศ์หยูเสียมากว่า

และนี่คงมิใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก บางทีอาจจะต้องการโหมโรงให้ราชวงศ์หยูตกสู่ความวุ่นวาย เช่นนั้นแล้วก็ส่งสัญญาณให้ราชวงศ์หยูเฝ้าระวังว่ากองกำลังชายแดนของราชวงศ์อู๋อาจเตรียมที่จะทำศึกให้ดี

แต่ทว่ากวนถงก็กำลังไล่ตามขบวนของตนอยู่ ฉะนั้นความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้นก็น้อยยิ่งนัก อย่างไรเสียฟู่เสี่ยวกวนก็จำต้องเตรียมตัวรับมือไว้

ขบวนรถม้าได้ชะลอความเร็งลงเป็นที่เรียบร้อย สวี่หวยซู่เป็นคนแรกที่ตอบสนองในเรื่องนี้

เดิมทีนั้นเขารู้สึกกดดันต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อรถชะลอความเร็วลง เขาก็เกิดความยินดีขึ้นมาทันใด จึงเร่งเลิกผ้าม่านแล้วเรียกเซวียผิงกุย ครานี้จึงได้รู้ว่าสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดการนั้นมิผิดเลยสักนิด ขบวนต้อนรับอาคันตุกะแห่งราชวงศ์อู๋กำลังไล่ตามพวกเขามาติด ๆ

เขาสบายใจขึ้นเล็กน้อย ในใจพลันนึกคิดหากแม้นเป็นเช่นนี้ต่อให้เขารักษาหน้าฟู่เสี่ยวกวนไว้ เขาก็จะหาทางฉวยโอกาสนี้ไปเยือนเมืองกวนหยุนให้จงได้

คืนก่อนเขามิอาจข่มตานอนหลับได้ เขานึกพะวงในใจเป็นอย่างมาก พะวงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะอารมณ์ร้อนเกินไปจนตัดสินใจทุกอย่างพลาด พะวงว่าหากขบวนกลับเมืองหลวงครานี้ อย่าเอ่ยถึงว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายพิธีการเลย ผู้ช่วยตำแหน่งเสนาบดีนี้ก็เกรงว่าจะโดนฝ่าบาทปลดทิ้งเสีย

รถม้าของกวนถงนั้นวิ่งเร็วยิ่ง สีหน้าของเขานั้นกังวลและไร้ซึ่งคำพูดอื่นใด

ในมือของเหวินชางไห่นั้นถือหนังสืออยู่หนึ่งเล่ม แต่เขากลับอ่านมันมิลงเสียแล้ว เขาวางหนังสือเล่มนั้นลง แล้วมองไปยังใบหน้าของกวนถงที่ตอนนี้ร้อนรนมิสู้ดีนักแล้วจึงส่ายหัว

“ใต้เท้ากวนถง ท่านเองนั้นก็เป็นศิษย์สำนักศึกษาหลีซาน ทว่าตอนนี้ข้ารู้สึกดูหมิ่นดูแคลนท่านเป็นอย่างมาก ท่านคลุกคลีกับหน้าที่นี้กว่ายี่สิบปี แต่ตัวท่านเองกลับมิเหลือเกียรติของผู้ที่มีการศึกษาเอาเสียเลย ตัวท่านละโมบในอำนาจและเงินตรา ท่านลืมสิ้นแห่งศักดิ์ศรีแลเกียรติยศของผู้มีการศึกษา โดยเฉพาะยิ่งกับฟู่เสี่ยวกวน บุคคลที่ปราดเปรื่องและนามเลื่องลือเพียงนี้ เขานั้นจิตใจกว้างขวางปานมหาสมุทร วิสัยทัศน์กว้างไกลนัก แต่ท่านกลับกล้าที่จะดูหมิ่นเขา มิว่าท้ายที่สุดเขาจะเปลี่ยนใจหรือไม่นั้น เมื่อครากลับถึงเมืองหลวงข้าจักรายงานสิ่งที่ท่านกระทำให้ทางราชสำนักรับทราบ ”

กวนถงเงยหน้าขึ้นมาทันใด “ท่านคิดหรือว่าเขาจะกล้าเดินทางกลับแคว้นเสียจริง ๆ เขาเพียงแค่กระทำเพื่อข่มขู่ข้าเพียงเท่านั้น ข้าว่าพวกเราคงจะไล่ตามทันในมิช้า เพียงแค่ข้าเอ่ยวาจา เขาจักต้องหันหัวขบวนกลับไปยังเมืองกวนหยุนเป็นแน่”

เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ทันใดนั้นเซี่ยะซีเฟิงก็ขี่ม้าตรงมาทางเขา และเอ่ยคำที่ฟู่เสี่ยวกวนฝากมาให้ “ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าเขาคงมิบังอาจฟังคำชี้แจงของใต้เท้ากวน เพราะเขามิพอใจในสิ่งที่ท่านทำยิ่งนัก ! ”

กวนถงคิ้วขมวดแล้วถอนหายใจด้วยความเคืองโกรธ เขาแค่นหัวเราะเยาะ “เขามิพอใจ ข้าเองก็มิพอใจเช่นกัน ! ”

อีกชั่วครู่เขาก็เอ่ยถามว่า “ขบวนรถม้านั้นชะลอลงแล้วหรือยัง ? ”

“มิชะลอขอรับ แค่ก่อนลาจากได้เอ่ยว่าท่านเหวินได้ร่วมขบวนมาด้วย และข้าได้ขอร้องให้ชะลอความเร็วลงหน่อย”

“นั่นมันจงใจจะข่มเหงข้าชัด ๆ ”

เซี่ยะซีเฟิงรู้สึกระคายใจเป็นอย่างมาก เขาจึงเอ่ยถาม “หรือมิเช่นนั้นก็ปล่อยให้เขานำขบวนกลับหรือขอรับ ? ”

กวนถงตาถลึงใส่เซี่ยะซีเฟิง กลับไปเยี่ยงนั้นหรือ เขากลับไปแล้วจะให้ข้ารายงานต่อฝ่าบาทเยี่ยงไร ?

“เขามิกล้ากลับไปเป็นแน่ รอให้ข้าไล่ตามทันแล้วข้าจะ…ข้าจะเชิญเขาไปเมืองกวนหยุน เรื่องนี้ก็คงจะจบลงได้”

เมื่อย่ำเข้าช่วงสาย ขบวนของกวนถงก็ไล่ตามขบวนของฟู่เสี่ยวกวนจนทัน

เมื่อเขาลงมาจากรถม้าจึงพบว่าตนเร่งรีบเสียจนลืมหยิบร่มติดมือมาด้วย

เขาเลิกคิ้วแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงรถม้าคันที่ใหญ่ที่สุด เซี่ยะซีเฟิงกล่าวว่าฟู่เสียวกวนอยู่ในรถม้านี้มาตลอด มีองค์หญิงเก้าและต่งชูหลานอยู่ร่วมด้วย นี่ช่างขัดต่อศีลธรรมยิ่งนัก หรือนี่จะถึงคราที่ราชวงศ์หยูเสื่อมถอยเข้าแล้วจริง ๆ

“ตัวข้ามีนามว่ากวนถง ได้รับราชโองการจากฝ่าบาทให้มาต้อนรับขบวนของใต้เท้าฟู่ผู้ยิ่งใหญ่ ขอใต้เท้าฟู่และขบวนได้โปรดตามข้าไปเมืองกวนหยุนด้วยเถิด”

ในรถม้าไร้ซึ่งเสียงตอบรับใด ๆ เขาขมวดคิ้ว และกล่าวซ้ำอีกครา แต่ก็มิมีเสียงตอบรับเช่นเคย

เขาพยายามข่มไฟโกรธไว้ในใจ คิดว่าเมื่อถึงเมืองกวนหยุนแล้วจะลงมือจัดการเขาเสียให้สิ้นซาก !

แล้วเขาก็เอ่ยมาอีกครา ทว่าครานี้มีเสียงของผู้หญิงตอบรับกลับมา

“ใต้เท้ากวนถงรึ ข้ามิเห็นรู้จัก ท่านกำลังมองหาฟู่เสี่ยวกวนอยู่งั้นรึ เขามิได้อยู่บนรถคันนี้”

“ขอสอบถามว่าเขาอยู่บนรถคันไหน ? ”

พวกข้าเองก็มิอาจทราบได้ ทว่าเขาฝากคำพูดมาให้ท่าน

กวนถงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในใจ “เขาฝากคำพูดใดมารึ ? ”

“เขาฝากบอกว่า เขารู้สึกจิตใจร้อมรุ่ม มีไฟอยากจะฝึกตนขับลมปราณและบรรลุเป็นจอมยุทธ์ เช่นนั้นเขาจะจำศีลบำเพ็ญตนและอยู่กับตนเองสักพัก เขายังมิอยากพบเจอกับผู้ใด ! ”

กวนถงตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง

มาดผู้มีอารมณ์สุนทรีเช่นเขาหรือจักเกิดความรู้สึกร้อนรุ่มอยากเป็นจอมยุทธ์ขึ้นมา ?

อยากจะจำศีล ?

จำศีลไปทำไมกัน ?

เจ้าพวกนี้แกล้งกันชัด ๆ !

เจ้าพวกนี้มันกล้าหนามยอกเอาหนามบ่งกับข้างั้นรึ !

กวนถงโกรธแค้นยิ่งนักแต่ก็ไม่มีทางอื่น เดิมทีคิดเพียงว่าตนแค่เดินทางมาพบฟู่เสี่ยวกวนด้วยตนเองแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็จักยอมตามกลับมาแต่โดยดี แต่มิคิดว่าจะกล้าเล่นสกปรกได้ถึงเพียงนี้ !

หากจะหาข้อแก้ต่างก็มิควรนำคำว่าจำศีลมาเป็นข้อแก้ต่างยิ่ง นี่มันดูเหลวไหลสิ้นดี !

และเขาก็พยามกลืนความโกรธนี้ลงไป แล้วถามอีกครา “มิทราบว่าใต้เท้าฟู่จะจำศีลอีกนานเท่าใดกัน ? ”

“ข้าก็มิอาจรู้ได้ เขาว่าอาจจะเดือนหนึ่งหรืออย่างน้อยก็สิบกว่าวัน หากท่านรอมิไหวก็จงกลับไปเสียเถิด เขาย้ำหนักหนาว่าอย่าได้ทำการรบกวนเวลาของเขา”

กวนถงแทบกระอักเลือดออกมา เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าต้องหาให้พบให้จนได้ เขามิมีทางรอเปล่าเปลี่ยวอยู่ท่ามกลางสายฝนเป็นแน่