ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 135 ประหนึ่งย่างก้าวบนน้ำแข็งเบาบาง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ทะลุป่ากว้างใหญ่ไพศาล ข้ามผ่านลำคลองสีมรกต ผู้ตรวจสอบกลุ่มแรกตรวจสอบระดับความแข็งแกร่งดวงจิตของบรรดาผู้เข้าสอบและความสามารถในการรับรู้ ผู้ตรวจสอบกลุ่มหลังตรวจสอบจำนวนพลังปราณแท้รวมถึงฝีมือการขับเคลื่อนพลัง คล้ายกับว่าง่ายดายจนถึงขนาดที่ว่าเป็นการตรวจสอบแบบเด็กๆ ทว่าในความเป็นจริงมีจุดที่ชัดแจ้ง มีมาตรฐานที่ชัดเจน การสอบใหญ่แท้จริงแล้วก็คือการสอบใหญ่

เดินออกจากป่าต้มเวลามายังพื้นที่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวังหลี ซึ่งเรียกว่าริมตลิ่ง เป็นริมฝั่งทางทิศใต้ แล้วจะไปถึงยังเจียงหนานได้อย่างไร

เฉินฉางเซิงจ้องมองนักเรียนที่มีท่าทางหนักอึ้งอยู่ริมฝั่งคลองฉวี่เจียง ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกลอยู่ในป่ากว้างใหญ่ด้านหลัง ทราบดีว่าจะต้องมีผู้เข้าสอบจำนวนมากที่ไม่อาจเดินออกจากป่ากว้างใหญ่ผืนนี้ได้ ยังคงมีนักเรียนอีกจำนวนมากที่ไม่อาจข้ามผ่านคลองฉวี่เจียงได้ มองแล้วขั้นตอนการประลองยุทธ์คงจะมีคนตกรอบจำนวนมาก

เขามิได้สนใจสายตาที่ร่วงหล่นยังร่างกายของตน ยืนอยู่บนก้อนหินด้านข้างลำคลองเงียบๆ จ้องมองทุ่งกว้างที่อยู่ฝั่งทิศใต้ มองเห็นเงาที่เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายในป่าไกลออกไป ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

เหลียงปั้นหูได้ข้ามลำคลองแล้ว จวงห้วนอวี่ กวนเฟยไป๋ และชีเจียน คนเหล่านี้ต่างก็ข้ามลำคลองแล้ว เป็นเวลาที่เขากำลังออกจากผืนป่าอันกว้างใหญ่ไพศาล พอดีกับโก่วหานสือและเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยคล้ายกับว่าร่วงหล่นบนฝั่งทางทิศใต้พร้อมกัน แล้วหนุ่มน้อยเสื้อชุดเดียวที่ส่งข้อสอบความรู้เป็นคนแรกเล่า หรือว่ากำลังอยู่กลางป่าผืนนั้น

ไม่อาจใช้ศาสตราวุธช่วย ข้ามผ่านลำคลองกว้างขวางเช่นนี้ สำหรับคนที่มีพลังปราณแท้เต็มเปี่ยม มีวิชาเต๋าละเอียดประณีตก็มิใช่เรื่องยากเกินไป แต่ว่าสำหรับบรรดาผู้เข้าสอบที่ธรรมดาเหล่านั้นกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก พวกนักเรียนที่มีความมั่นใจสามารถข้ามลำคลองไปได้ เดินออกมาก็ข้ามผ่านลำคลองไปโดยตรง เวลานี้จึงหลงเหลือนักเรียนที่กำลังลังเลอยู่ริมตลิ่ง

เวลานี้เอง มีนักเรียนสตรีของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าเดินออกมาจากป่ากว้างใหญ่ หลังจากได้ยินผู้คุมสอบได้อธิบายถึงกฎระเบียบ นางมิได้คิดไตร่ตรองแม้แต่น้อย ข้ามผ่านคลองฉวี่เจียงไปโดยตรง เห็นเพียงแค่สายลมเย็นต้นฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านไป กระโปรงของสตรีผู้นั้นสะบัดเล็กน้อยดุจใบไม้ที่กำลังเต้นระบำก็มิปาน สุดท้ายแล้วก็เดินข้ามไปอย่างธรรมดาเช่นนี้หรือ!

พวกนักเรียนที่หลงเหลืออยู่ริมฝั่งคลอง เมื่อมองเห็นภาพนี้ พลันส่งเสียงอุทานด้วยความอิจฉาขึ้นมา กระทรวงสิบสามชิงเหย้านอกจากเคล็ดลับวิชาศักดิ์สิทธิ์ ยังชำนาญในวิชาตัวเบา แต่ว่าเคล็ดวิชาเหล่านั้นก็เป็นดังเช่นพรรคกระบี่หลีซาน ไม่แพร่งพรายสู่ภายนอก นักเรียนของสำนักแห่งอื่นจึงทำได้เพียงแค่อิจฉาแค่นั้นเอง สำหรับนักเรียนธรรมดาที่ไร้โอกาสสัมผัสเคล็ดวิชาชั้นสูงเหล่านี้จึงทำได้เพียงแค่จำใจอย่างยิ่ง

จื่อชี่หยาลูกศิษย์ของพรรคฉางเซิงโกรธเคือง พลางเอ่ยออกมา “ทุกคนล้วนแต่มีวิชาการฝึกบำเพ็ญเพียรที่ไม่เหมือนกัน นี่เป็นการทดสอบที่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง”

ผู้คุมสอบกล่าวตอบ “เพียงแค่สามารถข้ามผ่าน ก็นับว่าผ่านแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด”

ลูกศิษย์จื่อชี่หยาผู้นั้นยังคงกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “มิเช่นนั้นข้านำพาหนะของหัวหน้าพรรคมาด้วย แล้วบินข้ามไปก็นับว่าผ่านแล้วหรือ”

ท่าทางของผู้คุมสอบยังคงเฉยเมย “ถ้าหากเจ้านำมาได้ ก็นับว่าเป็นความสามารถของเจ้า”

ลูกศิษย์จื่อชี่หยาพูดไม่ออก มีศาสตราวุธจำนวนมากที่ช่วยให้ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรสามารถข้ามผ่านในระยะสั้นได้ แต่ว่าวันนี้ข้อบังคับการสอบประลองยุทธ์ห้ามใช้ศาสตราวุธ สำหรับสัตว์ปีกที่สามารถบรรทุกคน…พบเห็นได้น้อยอย่างยิ่ง นอกจากนกห่านป่าแดงของกองทัพทหาร ส่วนมากก็เป็นพาหนะของบรรดาผู้อาวุโสของพรรคต่างๆ แล้วจะให้ลูกศิษย์ผู้หนึ่งนำมาอย่างตามใจได้อย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ขั้นตอนการสอบใหญ่เป็นความลับอย่างเคร่งครัด ปีนี้กับปีที่ผ่านมามีสิ่งที่แตกต่างกันอยู่มาก จะมีผู้เข้าสอบผู้ใดที่คิดจะนำสัตว์มาไว้เคียงข้างเพื่อเข้าสอบเล่า

นักเรียนสตรีของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าผู้นั้นข้ามผ่านลำคลองอย่างสบาย ภาพนี้ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉา และก็ทำให้นักเรียนที่ยังลังเลเพิ่มความเชื่อมั่นและความกล้าหาญเป็นจำนวนมาก ผู้เข้าสอบผู้หนึ่งที่มาจากพรรคเทือกเขาหิมะทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือจึงเริ่มลองดู เพียงแค่เท้าข้างขวาร่วงหล่นบนผิวคลองฉวี่เจียง ส้นเท้ากับลำคลองเพิ่งจะสัมผัสกัน พื้นผิวน้ำก็รวมตัวกันเป็นพื้นน้ำแข็ง

“พลังน้ำแข็งหนาวเหน็บของพรรคเทือกเขาหิมะ! ว่าแล้วต้องไม่ธรรมดา!” มีผู้เข้าสอบเอ่ยชื่นชมออกมา

ท่าทางของนักเรียนพรรคเทือกเขาหิมะ ร่วงหล่นลงลำคลองอย่างระมัดระวัง เท้าข้างซ้ายร่วงหล่นบนผิวลำคลอง ฝ่าเท้าได้ร่วงหล่นลงผิวลำคลองหลังจากนั้นจึงเกาะตัวกันเป็นพื้นน้ำแข็งอีกครา

เขาค่อยๆ มุ่งไปยังคลองฉวี่เจียง ข้างใต้เท้าทั้งคู่ ผิวน้ำค่อยๆ เกาะกัน คล้ายกับว่าเกิดเป็นบัวหิมะ ภาพที่ปรากฏมองแล้วสวยงามอย่างยิ่ง กลับทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก ประหนึ่งเหยียบลงแผ่นน้ำแข็งบางๆ อย่างแท้จริง เวลานี้ก็มิได้มีผู้ใดเปล่งคำพูดออกมา คนทั้งหมดล้วนแต่กลั้นหายใจ มองด้วยความตื่นเต้น เกรงว่าก่อให้เกิดการรบกวน

หลังจากชั่วครู่ นักเรียนของพรรคเทือกเขาหิมะผู้นี้เดินไปแล้วสิบกว่าจั้ง เวลานี้เอง อยู่ๆ ก็มีสายลมที่ก่อกวนอยู่เหนือต้นน้ำพัดมา ร่างกายของเขาเริ่มเซไปมา พยายามประคองเพียงชั่วครู่ พบว่าก็ไม่อาจประคองต่อไปได้ ร้องขึ้นมา ขับพลังปราณไปด้านหน้า มุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม ผิวน้ำที่เป็นระลอกคลื่นเล็กน้อยเกิดเป็นเกล็ดน้ำแข็งบางๆ

สิ่งที่น่าเสียใจก็คือ พลังปราณแท้ของเขาไม่เพียงพอประคองต่อไปได้นาน ห่างจากฝั่งทิศใต้เพียงแค่เจ็ดจั้ง สุดท้ายแล้วจึงร่วงหล่นลงลำคลอง

“โธ่เอ๊ย!”

พวกผู้เข้าสอบที่เห็นภาพริมฝั่งรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง สำหรับความเชื่อมั่นที่ผ่านด่านการประลองยุทธ์ของตนได้กลับมาอ่อนลงไปไม่น้อย

แม้เพียงผ่านไปชั่วครู่ผู้เข้าสอบคนหนึ่งของสำนักเด็ดดาราได้ขี่กระบี่ข้ามลำคลอง ทว่าก็มิได้ทำให้ความมั่นใจของพวกผู้เข้าสอบกลับคืนมา การขี่กระบี่ข้ามลำคลองราวกับว่าเป็นเรื่องที่สง่าผ่าเผย แต่ในความเป็นจริง ต้องอาศัยพลังปราณแท้กับวิทยายุทธ์ที่สูงส่งของผู้ข้ามลำคลอง หนึ่งในผู้เข้าสอบที่สามารถข้ามผ่านลำคลองได้สำเร็จก่อนหน้านี้ คนที่ใช้วิธีนี้ก็มีเพียงแค่ลูกศิษย์ทั้งสี่ของเขาหลีซานกับจวงห้วนอวี่

ริมฝั่งทางทิศใต้ของคลองฉวี่เจียง มีผู้เข้าสอบของสำนักเด็ดดาราและยังมีนักเรียนของจิงตูที่ข้ามลำคลองได้อย่างชำนาญรออยู่ตรงนั้น ทยอยกันมายืนอวยพร

ตามกาลเวลาที่หมุนผ่าน มีนักเรียนออกมาจากป่ากว้างใหญ่ต่อเนื่องกัน ได้ยินเสียงผู้คุมสอบอธิบายถึงกฎระเบียบการข้ามลำคลอง ความยินดีที่เดินออกมาจากป่าพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เวลานี้เอง กลุ่มฝูงชนอยู่ๆ ก็แตกกระจาย พวกผู้เข้าสอบทำความเคารพพร้อมกัน

ที่แท้เป็นลั่วลั่วนั่นเอง

ลั่วลั่วเดินไปยังด้านหน้าของเฉินฉางเซิง เอ่ยถาม “อาจารย์?”

ในสายตาของนางมีความหมายของคำถามแฝงอยู่

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “รอเซวียนหยวนผ้อกับถังซานสือลิ่วออกมาแล้วค่อยคุยกัน”

หลังจากเพียงชั่วครู่ ถังซานสือลิ่วก็เดินออกมาจากป่ากว้าง เห็นเพียงแค่แขนเสื้อสีดำที่ปลิวสะบัด มิได้สัมผัสกับใบไม้ที่ร่วงหล่น โบกพัดขนนกเบาๆ เอ่ยไม่ออกว่าสง่าผ่าเผยทระนงอย่างไร เฉินฉางเซิงกลับมองได้ชัดเจน ใบหน้าของเขาซุกซ่อนความรู้สึกร้อนรน แน่ชัดว่าอยู่ในป่ากว้างใหญ่ คงจะพานพบเรื่องบางอย่าง

กล่าวก็คือ เมื่อสอบความรู้ ถังซานสือลิ่วเป็นผู้เข้าสอบกลุ่มที่สองที่ออกมาจากตำหนักประจักษ์อักษร กล่าวตามเหตุผลแล้ว ควรจะมาถึงนานแล้ว

“เกิดอะไรขึ้นรึ” เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม

ถังซานสือลิ่วกล่าวตอบ “ตอนอยู่ในป่าเจอนักเรียนหนอนหนังสือคนหนึ่งของสำนักต้นไหว”

เฉินฉางเซิงตกใจเล็กน้อย พื้นที่ของป่าต้มเวลามีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล มีทางเดินนับไม่ถ้วน สถานการณ์ที่ผู้เข้าสอบสองคนจะเดินทางเดียวกันพบเห็นได้น้อยอย่างยิ่ง อย่างเขาตอนอยู่ในป่าก็มิได้พบเจอผู้ใด

“หลังจากนั้นเล่า คงจะไม่เป็นเพราะปะทะกันแย่งเส้นทางออกมาหรอกนะ”

ใบหน้าของถังซานสือลิ่วไร้ความรู้สึกเอ่ยว่า “ต่อสู้นั้นมิได้ต่อสู้เป็นแน่ หนึ่งเป็นเพราะว่ามีผู้ควบคุมสอบมองอยู่ สองข้าไม่เห็นว่าจะต้องต่อสู้กับคนผู้นั้น แต่ว่าในเมื่อกล้าแย่งเส้นทางกับผู้อาวุโสเช่นข้า จึงได้โต้เถียงเสียหน่อย เจ้าวางใจเถอะ เรื่องการโต้เถียง แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน”

คิดไปถึงภาพที่เขากับลั่วลั่วทำให้เสี่ยวซงกงเสียหน้าในการชุมนุมไม้เลื้อย เฉินฉางเซิงมิได้กังวลว่าเขาจะด่าทอสู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ กลับกันรู้สึกสงสารหนุ่มน้อยหนอนหนังสือสำนักต้นไหวผู้นั้นเสียมากกว่า เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าถังซานสือลิ่วยอมรับว่าตนก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถเอาชนะหนอนหนังสือสำนักต้นไหวผู้นั้นได้หรือไม่ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะระมัดระวัง

เวลานี้ นักเรียนสำนักต้นไหวเดินออกมาจากป่ากว้างใหญ่

หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ นักเรียนที่เหลือของสำนักต้นไหวก็ออกมาตามกัน

พวกนักเรียนทั้งสี่ของสำนักต้นไหวรวมตัวกันเอ่ยเสียงเบาไม่กี่ประโยค หลังจากนั้นจ้องมายังสำนักฝึกหลวง บนสีหน้าของนักเรียนหนึ่งในนั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

ชัดเจนยิ่งนัก คงจะเป็นเพราะแย่งทางเดินกับถังซานสือลิ่ว หลังจากนั้นคนผู้นั้นก็คงถูกถังซานสือลิ่วใช้คำพูดสั่งสอน