บทที่ 246.2 เสียงสวบสาบดังในป่า ลมฟ้าลมฝนมืดทะมึน โดย ProjectZyphon
ที่แท้เฉินผิงอันที่ทั้งสู้ทั้งรุดหน้าก็ได้ย้ายสนามต่อสู้กับยอดฝีมือในยุทธภพสิบกว่าคนมาอยู่ห่างจากธงใหญ่ไปอีกแค่ห้าสิบก้าวโดยที่ไม่มีใครได้ทันรู้ตัวแล้ว จากนั้นก็ฝากการต่อสู้เบื้องหลังไว้ที่กระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีและสืออู่ แอบเอายันต์ย่อพื้นที่แผ่นหนึ่งออกมา ข้ามสนามต่อสู้เล็กๆ ระหว่างซ่งอวี่เซากับผู้ฝึกลมปราณสองคนไปปรากฏตัวห่างจากเบื้องหน้าแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานอีกแค่สิบก้าว! ครั้นแล้วก็กระโจนพรวดออกไป เท้าเหยียบลงพื้นหนักๆ เอียงตัวไปข้างหน้า เหวี่ยงหมัดขวาต่อยลงบนศีรษะของม้าสูงใหญ่ กะโหลกศีรษะของม้าตัวนั้นแตกย่อยยับ ขาสองข้างทรุดลงกับพื้น ฉู่หาวที่มีความสามารถในการฝึกนำทัพเป็นอันดับต้นๆ ของแคว้นซูสุ่ย แต่แท้จริงแล้วกลับมีวิถีวรยุทธ์แค่ขอบเขตสามพลันล้มหน้าทิ่มมาข้างหน้า ผลกลับกลายเป็นว่าโดนหมัดซ้ายของเฉินผิงอันต่อยเข้าที่หน้าอกพอดี แม้ว่าปราณวิญญาณที่อยู่ในเสื้อเกราะน้ำค้างหวานจะมารวมตัวกันตรงตำแหน่งที่เฉินผิงอันต่อยไปแทบจะพร้อมเพรียงกัน แต่ฉู่หาวก็ยังคงถูกหนึ่งหมัดต่อยกระเด็นขึ้นฟ้า แล้วร่วงกระแทกลงบนพื้นห่างออกไปสามสี่จั้งอย่างแรง พาเอาฝุ่นดินบนถนนทางหลวงคลุ้งตลบ
เฉินผิงอันห้อตะบึงไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง ผู้ติดตามซึ่งเป็นทหารม้าสกุลฉู่คนหนึ่งกระชากสายบังเหียนควบม้ามาดักขวางหน้าอย่างเดือดดาล ก่อนจะบังคับม้าให้ชูสองขาหน้าขึ้นสูง หมายเหยียบลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มผู้นั้นโดยแรง!
เฉินผิงอันเพิ่มความเร็วกระโจนไปข้างหน้า ค้อมเอวมาปรากฏตัวตรงท้องม้า จากนั้นก็ยืดเอวตรงทันใด ใช้ไหล่กระแทกชนจนสี่ขาของม้าตัวนั้นลอยกลางอากาศ ร่างกระเด็นไปข้างหลัง!
เฉินผิงอันพุ่งไปด้านหน้าเป็นเส้นตรง พลันเพิ่มพละกำลังลงบนขาสองข้าง แล้วดีดตัวขึ้นท่าทางเหมือนในปีนั้นที่เด็กหนุ่มกระโดดข้ามธารน้ำดุจอินทรีถลาลมอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ฉู่หาวที่เพิ่งดิ้นรนลุกขึ้นมาได้ถูกหมัดหนึ่งกระแทกเข้าใส่ศีรษะ ประกายแสงวิเศษของเสื้อเกราะน้ำค้างหวานจากสำนักการทหารเปล่งวาบ เจิดจ้าพร่าตา ส่วนตัวของฉู่หาวเองนั้นผงะหงายไปด้านหลัง ตาเหลือกค้างครู่หนึ่งก็หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง
และเฉินผิงอันเองก็มาถึงข้างกายของคนที่สาบานตนว่าจะเลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในสิบแม่ทัพใหญ่ของทวีปให้ได้ผู้นี้ เขาย่อตัวลง เอื้อมมือไปจับลำคอของฉู่หาวแล้วลุกขึ้นยืน หิ้วลำคอของแม่ทัพใหญ่แคว้นซูสุ่ยให้ลอยอยู่ระดับเดียวกับไหล่ของตัวเอง แกว่งเบาๆ หันหน้าไปพูดกับซ่งอวี่เซาด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสซ่ง จับตัวเขาได้แล้ว!”
สถานการณ์โดยรวมมั่นคงแล้ว ผู้ฝึกลมปราณสองคนที่รับใช้เชื้อพระวงศ์หันมาสบตากัน ต่างคนต่างมองออกถึงความจนใจในดวงตาของอีกฝ่าย
ซ่งอวี่เซาไม่ได้บีบบังคับใคร เขาเก็บกระบี่ตั้งตระหง่านกลับเข้าฝัก กุมมือคารวะให้สองผู้ฝึกลมปราณระดับสูงสุดของแคว้นซูสุ่ย “ล่วงเกินพวกเจ้าแล้ว รบกวนนำความไปบอกฮ่องเต้ของพวกเจ้าด้วยว่า วันหน้าไม่ว่าราชสำนักจะจัดการอย่างไร ข้าผู้อาวุโสและหมู่บ้านวารีกระบี่ต่างก็พร้อมน้อมรับไว้”
จากนั้นผู้เฒ่าก็พุ่งตัวไปข้างหน้า ปราณกระบี่ดุจสายฝนที่สาดกระเซ็น ขาม้าทุกตัวของทหารม้าซึ่งเป็นข้ารับใช้ตระกูลฉู่หลายสิบคนที่พยายามสุดชีวิตเพื่อพุ่งเข้าหาเฉินผิงอันล้วนถูกตัดขาด
ผู้เฒ่าพลิ้วกายไปหยุดอยู่ข้างเฉินผิงอัน “ไป! ขอแค่ไปจากสนามรบแห่งนี้ กลับไปที่หมู่บ้าน เจ้ากับข้าก็ปลอดภัยแล้ว จิตใจทหารของกองทัพจากราชสำนักแตกระส่ำกันไปหมดแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีภัยคุกคามอะไรอีก”
พลเดินเท้าของแคว้นซูสุ่ยตกอยู่ในความเงียบงัน
ทหารม้าสกุลฉู่ที่ถูกขวางอยู่นอกขบวนพลเดินม้าคงจะตระหนักได้ถึงความผิดปกติทางแถบธงใหญ่นี้ หลังจากที่ไม่สามารถติดต่อกับขบวนเดินเท้าได้ก็เริ่มบุกฝ่าขบวนรบที่ขวางหน้าภายใต้การนำของแม่ทัพทหารม้าคนหนึ่ง ทว่าพวกเขาทั้งไม่กล้าหันหอกหันคมดาบเข้าใส่ทหารม้าสายอื่น แล้วก็ไม่กล้าสั่งยกเลิกขบวนเดินเท้าเบื้องหน้าโดยพละการ จึงได้แต่ค่อยๆ แยกออกเป็นสองสาย พยายามเปิดทางเส้นหนึ่งให้ม้าเร็วได้ห้อตะบึง
เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ข้ายังมียันต์ย่อพื้นที่ให้ใช้ได้อีกหนึ่งครั้ง”
ซ่งอวี่เซากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นคราวนี้ข้าจะระวังหลังให้เอง จำไว้ว่าอย่าหันกลับไปเจาะขบวนรบด้านหลังอีก พยายามถอยไปทางฝั่งขวามือ พวกเราจะกลับผ่านเส้นทางภูเขา ไม่อย่างนั้นคงยากจะรับมือกับทหารม้าสกุลฉู่ทั้งสามพันนาย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กระชากลำคอของฉู่หาวพาใช้ยันต์ย่อพื้นที่ไปด้วยกัน
นั่นถึงทำให้ทุกคนรู้ว่าเหตุใดเซียนกระบี่เด็กหนุ่มถึงสามารถหายตัวไปจากที่เดิมได้หลายครั้ง
ร่างของเด็กหนุ่มหายไปไม่เหลือเงา แต่ร่างของแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวแทบจะเรียกได้ว่าลอยขวางไปกลางอากาศ คล้ายกระโปรงยาวที่ลากตามหลังสตรีคนหนึ่งอยู่กลางฟากฟ้า
หลังจากที่เซียนกระบี่เด็กหนุ่มปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็เริ่มแสดงมาดแห่งเซียนที่ทะยานลมเดินทางไกลอีกรอบ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนแรกเด็กหนุ่มถึงได้เซไปทีก้าว หลังจากนั้นค่อยเดินกลางอากาศได้เหมือนเดินบนพื้นราบ
ซ่งอวี่เซาเองก็พุ่งตัวติดตามเฉินผิงอันหนีห่างออกจากสมรภูมิรบแห่งนี้ ขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง เพียงไม่นานเขากับเฉินผิงอันก็กลายเป็นจุดดำเล็กๆ สองจุด สุดท้ายลับหายเข้าไปในผืนป่าด้านข้างที่ห่างไกลจากถนนทางหลวง
เข้ามาในป่าแล้ว สถานการณ์ก็ถือว่ามั่นคงแล้ว ซ่งอวี่เซานึกถึงที่เฉินผิงอันเดินเซก่อนหน้านี้ก็ถามขึ้นด้วยความเป็นกังวล “ได้รับบาดเจ็บภายในหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม “มีบรรพบุรุษน้อยท่านหนึ่งกำลังกลั่นแกล้งข้าน่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
ครั้งแรกที่เหินลมอยู่เหนือหัวของกองทัพใหญ่ อันที่จริงเขาเหยียบบนชูอีกับสืออู่ แต่ครั้งที่สองชูอีอารมณ์ไม่ดีแล้ว จึงจงใจทำให้เฉินผิงอันเหยียบลงบนความว่างเปล่า จากนั้นมันก็กลับไปนอนหลับอุตุอยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ โชคดีที่ความเร็วของสืออู่มากพอจึงตามทันฝีเท้าของเฉินผิงอัน
ซ่งอวี่เซากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ว่ากันว่าทางทิศเหนือมีปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่เลื่อนสู่ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่สามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศได้สมใจปรารถนา ยังสามารถเหินลมได้เหมือนเซียนกระบี่ที่บังคับกระบี่อีกด้วย”
นึกถึงสิ่งที่จูเหอเคยพูดตอนอยู่บนภูเขาฉีตุนได้ เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งทีแล้วหลุดปากพูดไปว่า “นั่นคือขอบเขตแปดของวิถีวรยุทธ์ เรียกว่าขอบเขตจำแลงขนนก เพราะว่าสามารถทะยานลมได้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ขอบเขตเดินทางไกล’ สง่างามมากเลยล่ะ”
ซ่งอวี่เซาพูดด้วยน้ำเสียงฉงน “เหนือขอบเขตหกขึ้นไปไม่ใช่เรียกรวมกันว่าขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้หรอกหรือ?”
เฉินผิงอันเองก็มึนงงเหมือนกัน เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “เท่าที่ข้าได้ยินมาไม่ใช่แบบนั้น เหนือขอบเขตหกขึ้นไปเริ่มพิถีพิถันด้านการหล่อหลอมจิตใจแล้วก็จริง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีคุณสมบัติให้ถูกเรียกว่าเทพแห่งการต่อสู้ ข้ารู้แค่ว่าขอบเขตที่เจ็ดขอบเขตร่างทองถึงจะมีคุณสมบัติถูกเรียกว่าปรมาจารย์น้อย ขอบเขตที่แปดจำแลงขนนก ขอบเขตที่เก้ายอดภูเขา จากนั้นยังมีขอบเขตสิบ ตอนนี้ต้าหลีของพวกเรามีขอบเขตสิบอยู่คนหนึ่ง ซึ่งก็คืออ๋องเจ้าแคว้นซ่งจ่างจิ้ง เป็นเสด็จอาของคนผู้หนึ่งที่เป็นเพื่อนบ้านข้าในตรอกหนีผิง ข้าเคยพบซ่งจ่างจิ้งในตรอกหนึ่งครั้ง ร้ายกาจมาก แค่มองก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือ”
อริยะกระบี่เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยรู้สึกเหมือนฟังตำราสวรรค์ที่ไม่เข้าใจเลยสักคำเดียว
เฉินผิงอันเห็นสีหน้าของผู้เฒ่าก็รีบกลืนคำพูดที่มารอตรงปากกลับลงท้องไป
ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ถ่ายทอดวิชาหมัดและปูรากฐานวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสามให้กับตนก็คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบเอ็ด อีกอย่างผู้เฒ่าแซ่ชุยในอดีตยังเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตสิบคนแรกของแจกันสมบัติทวีปหลังจากเว้นระยะเวลาห่างมาหลายร้อยปี…
แต่เพียงไม่นานซ่งอวี่เซาก็เข้าใจได้ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กบใต้บ่อก็แค่มีดีนี้เอง ไม่เป็นไรๆ ขอแค่เหนือขอบเขตที่หกยังมีทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า! หาไม่แล้วหากทัศนียภาพงดงามทั้งหมดบนโลกล้วนมีแต่เทพเซียนบนภูเขาที่ได้เห็น ผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเราก็คงไม่มีหน้าเหลืออยู่เลยกระมัง? เดิมทีก็ไม่ควรเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว!”
เฉินผิงอันที่มือข้างหนึ่งยังหิ้วฉู่หาวพยักหน้ารับอย่างแรง
ในใจคิดว่าหากผู้อาวุโสซ่งได้ไปที่บ้านเกิดของตน ต้องเข้ากับตาแก่ในเรือนไม้ไผ่ผู้นั้นได้ดีอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรก็ยังมีคนส่วนหนึ่งที่ไม่มีทางดื่มเหล้าแยกโต๊ะเพียงเพราะความต่างด้านขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของสองฝ่าย
ในสายตาของเฉินผิงอัน ผู้อาวุโสซ่งข้างกายของเขาผู้นี้ร้ายกาจมาก ดังนั้นไม่ว่าผู้เฒ่าจะไปอยู่ที่ไหน พบเจอใครก็ล้วนได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนเสมอ
หลังจากลมปราณที่แท้จริงเฮือกนั้นของฉู่หาวไหลหายจนหมดสิ้น เสื้อเกราะน้ำค้างหวานก็กลับคืนสู่สภาพของก้อนเงินแล้วหล่นร่วงลงบนพื้น เฉินผิงอันใช้ปลายเท้าตวัดขึ้นมา เก็บใส่กระเป๋าตัวเอง
จากนั้นเขาก็ออกแรงสะบัดข้อมือเล็กน้อย ทำให้แม่ทัพใหญ่ฉู่ที่ฟื้นคืนสติแล้วแต่ไม่กล้าลืมตาผู้นั้นหมดสติไปอีกครั้ง
ซ่งอวี่เซายิ้มอย่างรู้ใจ
ได้มาเจอกับ ‘เซียนกระบี่เด็กหนุ่มจากต้าหลี’ ผู้นี้ก็ถือว่าเป็น ‘โชคดีมหาศาล’ ของฉู่หาวแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “หลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อ?”
ซ่งอวี่เซาถอนหายใจ “ต่อให้หทารม้าสามพันนายจะมีใจเป็นห่วงเจ้านายมากแค่ไหน ก็ไม่โง่เง่าถึงขนาดกล้าบุกเข้าไปสังหารถึงในหมู่บ้านวารีกระบี่ เห็นได้ชัดว่าหลานชายของข้าวางกำลังคนของตัวเองไว้ในกองทัพใหญ่นี้แล้ว ภายในถึงได้เละเป็นโจ๊ก ยิ่งไม่ต้องหวังว่าพวกเขาจะช่วยเหลือทหารม้าสกุลฉู่ มีแต่จะถอยไปที่เมืองใหญ่เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ”
ใบหน้าของซ่งอวี่เซาเหมือนมีพยับเมฆบางๆ เคลื่อนมาปกคลุม “แต่เทพกระบี่ของแคว้นไฉ่อีตายแล้ว เมืองแยนจือมีมารร้ายก่อความวุ่นวาย บวกกับที่หมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเรา…ข้ารู้สึกว่าสำนักศึกษาคงต้องลงมือแล้ว”
เฉินผิงอันถาม “สำนักศึกษา? หมายถึงสำนักศึกษากวานหู หนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อน่ะหรือ?”
ซ่งอวี่เซากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ใช่สิ นับพันปีที่ผ่านมา ทั้งบนและล่างภูเขาของแจกันสมบัติทวีปต่างก็อยู่กันอย่างสงบสุขปลอดภัย ราชสำนักของแต่ละแคว้นต่างก็มีคุณูปการของสำนักศึกษาอยู่ เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าคราวนี้กลับมีความเป็นไปได้ว่าหมู่บ้านวารีกระบี่จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสำนักศึกษากวานหู หากเหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาต่างก็ออกหน้า เกรงว่าหมู่บ้านวารีกระบี่ก็คงเป็นเหมือนกองทัพในวันนี้ที่ใจคนระส่ำระส่าย ชื่อเสียงที่สั่งสมมานับร้อยปีของหมู่บ้านพังทลายลงในวันเดียว”
เฉินผิงอันพอจะมีความทรงจำเกี่ยวกับสำนักศึกษากวานหูอยู่บ้าง หนึ่งก็เพราะสำนักศึกษาแห่งนี้มีชื่อเสียงเท่าเทียมกับสำนักศึกษาซานหยาที่อาจารย์ฉีเป็นผู้สร้าง สองก็เพราะหลังจากมรสุมเรื่องผีสาวสวมชุดแต่งงาน ระหว่างที่เดินทางจากต้าสุยกลับไปที่แคว้นหวงถิงด้วยกัน เด็กหนุ่มชุยฉานอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงเล่าเรื่องวงในที่น่าเหลือเชื่อบางอย่างให้ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนที่เรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษากวานหู สุดท้ายคือชุยหมิงหวง วิญญูชนอันดับหนึ่งของสำนักศึกษากวานหูที่เคยเป็นตัวแทนของลัทธิขงจื๊อในแจกันสมบัติทวีปเดินทางเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจู
แต่ทำไมพอพูดถึงสำนักศึกษากวานหู ผู้อาวุโสซ่งที่กล้าเด็ดหัวผู้นำของกองทัพใหญ่ถึงแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้
ซ่งอวี่เซาเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “เผชิญหน้ากับสำนักศึกษา อาจไม่ถึงขั้นยอมให้จับแต่โดยดี แต่จะให้สู้สุดชีวิตก็ไม่มีความกล้ามากพอ กลุ้มจริง”
เฉินผิงอันไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก
ดูเหมือนซ่งอวี่เซาจะมองความคิดของเด็กหนุ่มออก เขาเอาสองมือไพล่หลัง ก้าวเดินเนิบช้าอยู่ในป่า มองไปยังแสงอาทิตย์บางตาที่ส่องลอดมาตามร่องใบไม้คล้ายเม็ดสีทองที่สาดกราวลงบนพื้นดิน ผู้เฒ่าเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าถ้อยคำของเหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาคือเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า? ข้าเคยเห็นกับตาตัวเองว่านักปราชญ์คนหนึ่งสำนักศึกษากวานหูที่อายุยังน้อย กลับสามารถทำให้เทพกระบี่ของแคว้นไฉ่อีต้องออกเดินทางไกลมาสอบถามความรู้หลักคุณธรรมจากเขา นักปราชญ์หนุ่มสวมกวานสูงรัดเข็มขัดหยก นั่งตัวตรงอย่างสำรวม นั่งอยู่ตรงข้ามกับเทพกระบี่ที่เพิ่งเริ่มหัดเรียน บุคลิกอันสง่างามยิ่งใหญ่นั้น ช่างสมกับคำว่าไร้เทียมทานในอีกรูปแบบหนึ่งจริงๆ”
ซ่งอวี่เซาคลี่ยิ้ม “เพราะฉะนั้นซ่งอวี่เซาหนึ่งร้อยคน หนึ่งพันคน ก็สู้ประโยคเดียวของอาจารย์ในสำนักศึกษาที่บอกว่า ‘เจ้าผิดแล้ว เจ้าต้องถูกลงโทษ’ ไม่ได้”
เฉินผิงอันถามคำถามข้อหนึ่ง “แล้วถ้าพวกอาจารย์ของสำนักศึกษาพูดจาไม่มีเหตุผลล่ะ? หากนักปราชญ์และวิญญูชนก็ทำผิดเหมือนกัน ควรจะทำอย่างไร?”
ซ่งอวี่เซาพูดยิ้มๆ “เบื้องบนย่อมมีคำสอนของอริยะอยู่”
เฉินผิงอันครุ่นคิดตาม หิ้วคอของแม่ทัพใหญ่เดินไป สองเท้าของฝ่ายหลังลากไปตามพื้นดินเสียงดังสวบสาบ
—–