เสี้ยวหย่วนหัวเราะ เปลี่ยนสีหน้าไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีท่าทีซื่อสัตย์จริงใจอีกต่อไป ในใจของเขาเกิดความคิดที่จะฆ่าฟันแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องฆ่าเถียนปอกวงให้ได้ คนๆ นี้รู้เรื่องราวไม่น้อย หากเปิดเผยออกไป จะมากจะน้อยก็ต้องมีผลกระทบกับเขา แม้ตอนนี้เฉินฮุยจะตายไปแล้ว เรียกได้ว่าเขาเสี้ยวหย่วนเป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในพรรคท่องกระบี่ เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะได้รับการสืบทอดต่อไป แต่ท่านอาจารย์เฉินอวี๋เต้าไม่ใช่คนเลอะเลือนอะไร เพื่อที่จะให้เรื่องราวไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เสี้ยวหย่วนจึงคิดฆ่าคน ไม่เพียงแต่จะฆ่าเถียนปอกวง แต่จะฆ่าเย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งด้วย
“สายทั้งสอง คนคนนี้คือเถียนปอกวงผู้ชั่วช้า คุณกับผมร่วมมือกันเถอะ ฆ่าคนคนนี้ซะ จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพแน่นอน พรรคท่องกระบี่ของผมก็จะได้แก้แค้นด้วย!” เสี้ยวหย่วนมองไปยังเย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งแล้วกล่าวขึ้น
ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง หาวออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “พวกเราไม่เป็นเพื่อนกับคนแบบแกหรอก ยิ่งไปกว่านั้นแกต้องการให้ฉันร่วมมือกับแกเพื่อฆ่าพี่ใหญ่ของฉันหรือไง? แกคิดว่าทุกคนจะไม่มีมนุษยธรรมเหมือนแกไปหมดเหรอไง?”
“คุณ…พี่ใหญ่? คุณสาบานเป็นพี่น้องกับเถียนปอกวงเหรอ?” เสี้ยวหย่วนอดไม่ได้ที่จะชะงักไป มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ถูกแล้ว มีข้อเสนออะไรหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่พอใจ
“ฮ่าๆๆๆ ตลก ตลกจริงๆ นี่เป็นเรื่องที่ตลกที่สุดในโลกแล้ว ถึงกับมีคนสาบานเป็นพี่น้องกับเถียนปอกวง ถึงกับมีคนกล้าสาบานเป็นพี่น้องกับเถียนปอกวง ฉันล่ะนับถือคนโง่ไม่กลัวตายอย่างแกจริงๆ!” เสี้ยวหย่วนหัวเราะไม่หยุด
“แกสิโง่ ครอบครัวของแกสิโง่!” เย่เทียนเฉินพูดกับเสี้ยวหย่วนด้วยท่าทีไม่พอใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน เสี้ยวหย่วนที่เดิมทียังหัวเราะฮ่าๆ รู้สึกตลกจนแทบตาย คิดไปว่าถึงกับมีคนกล้าสาบานเป็นพี่น้องกับโจรปล้นสวาทอย่างเถียนปอกวง แบบนี้ไม่ใช่ว่ากลัวจะอายุยืนเกินไปหรือ? บนโลกใบนี้ไหนเลยจะมีคนโง่ขนาดนี้อยู่? ไหนเลยจะรู้ว่าตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเย่เทียนเฉิน เสี้ยวหย่วนจะสีหน้ามืดครึ้มลงโดยพลัน ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน ตั้งแต่เล็กจนโตแม้เขาเสี้ยวหย่วนจะเสแสร้งแกล้งทำเป็นซื่อสัตย์จริงใจ แต่ก็ไม่เคยมีใครกล้ามาด่าเขาแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้แผนการอันยาวนานของตนใกล้จะสำเร็จแล้ว ขาดเพียงก้าวสุดท้ายเท่านั้นก็จะได้ตำแหน่งหัวหน้าพรรคท่องกระบี่และเคล็ดวิชาปราณกระบี่มาอยู่ในมือ ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเห็นตัวเองเป็นหัวหน้าพรรคท่องกระบี่ไปแล้ว ถูกเย่เทียนเฉินทำให้อัปยศเช่นนี้ ย่อมต้องรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนถูกทำร้ายอย่างรุนแรง อยากฆ่าอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง
“ด่าได้ดีไอ้น้องชาย พวกเสแสร้งจอมปลอมแบบนี้ คนถ่อยที่โหดเหี้ยมอำมหิตและไร้ยางอายพวกนี้ ต้องด่าแบบนี้ถึงจะสาสม!” เถียนปอกวงหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“หึ พวกแกใจกล้าจริงๆ วันนี้จะไม่ปล่อยให้หนีไปสักคนเดียว จะต้องตายทั้งหมด!” สายตาของเสี้ยวหย่วนพลันเปลี่ยนไป ทั่วทั้งร่างมีไอสังหารอันเข้มข้นแผ่ออกมา มือขวากำกระบี่ที่อยู่ด้านหลัง สามารถลงมือได้ทุกเมื่อ
เถียนปอกวงชะงักไปเล็กน้อย ดาบผ่าฟืนในมือขวามีพลังภายในไหลเวียน เสี้ยวหย่วนเป็นยอดฝีมือระดับนักรบจอมราชันขั้นกลาง ความสามารถแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่อ่อนแอกว่าชิงเฉิงเยว่และหลี่ชิวสุ่ยเลย ยิ่งไปกว่านั้นไอสังหารอันเข้มข้นที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขาทำให้เถียนปอกวงรู้สึกไม่สบายใจ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นไอสังหารในร่างกายของตัวเสี้ยวหย่วนเอง ลมปราณแห่งการฆ่าแบบนี้ก็เหมือนกับลมปราณแห่งความตาย เหมือนกับลมหายใจของคนตาย
เย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งย่อมสัมผัสได้เช่นกัน เพียงไม่ทันไรบรรยากาศบนร่างของเสี้ยวหย่วนก็เปลี่ยนไปมาก ทั่วทั้งตัวคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟัน ดูแล้วคนๆ นี้เก็บซ่อนได้ลึกล้ำยิ่งนัก ต้องการฆ่าพวกเขาทั้งหมดให้ตายอยู่ที่นี่ ไม่ได้ต้องการฆ่าแค่เถียนปอกวงคนเดียว ตอนนี้เย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งก็เตรียมจะลงมือแล้ว
“น้องเย่ พวกแกสองคนถอยไปซะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกแก!” เถียนปอกวงรู้ดีว่าเย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งต้องการสอดมือเข้ามาจึงรีบหันไปมองพวกเขาแล้วพูดขึ้น
“พี่ใหญ่เถียน ตอนที่สาบานเป็นพี่น้อง คุณกับผมเคยพูดแล้วว่ามีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน ผมจะปล่อยให้คุณสู้อยู่คนเดียวได้ยังไง!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“น้องชาย ถ้าแกยังรู้ว่าฉันเป็นพี่ใหญ่ก็ฟังคำพูดของฉันซะ ฉันมีเหตุผลแน่นอน!” เถียนปอกวงพูดอย่างเคร่งเครียด
ตอนนี้ตงฟางเมิ่งก็ก็สังเกตเห็นเจตนาของเถียนปอกวงแล้ว เขาไม่อยากให้เย่เทียนเฉินถูกลากเข้าไปพัวพัน จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่คนในโลกของวรยุทธ เขาเป็นเพียงผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นพรรคท่องกระบี่ก็ไม่ใช่อะไรที่หาเรื่องได้ง่ายๆ ความสามารถของเสี้ยวหย่วนแข็งแกร่งมาก หากต้องการฆ่าคนคนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจะไปหาเรื่องคนถ่อยที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก
“ในเมื่อพี่ใหญ่เถียนพูดแบบนี้ พวกเราก็รอดูต่อไปเถอะ หากเขาเอาชนะเสี้ยวหย่วนไม่ได้ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยลงมือก็ยังไม่สาย!” ตงฟางเมิ่งพูดกับเย่เทียนเฉินเสียงเบา
เสี้ยวหย่วนมองไปยังเถียนปอกวงอย่างเย็นชา จากนั้นจึงมองไปยังเย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เถียนปอกวง ฉันจะขอถามแกเป็นอย่างสุดท้าย พวกเฉินฮุยที่เป็นศิษย์น้องของฉันแกฆ่าหรือเปล่า?”
“ใช่แล้ว ไอ้ลูกเต่าน้อยไม่รู้จักที่ตายพวกนั้นมันกล้ามาโจมตีฉัน ตายไปก็สมควรแล้ว!” ในตอนที่เย่เทียนเฉินยังไม่ทันพูดอะไร เถียนปอกวงก็นำเรื่องการตายของพวกเฉินฮุยมาโยนไว้บนร่างของตนเอง
“ฉันว่าคำพูดสั่งเสียของพวกแกสามคนคงพูดจบแล้ว ถ้างั้นก็ไปตายให้ฉันซะเถอะ!”
ฉัวะ!
ประกายกระบี่โจมตีมา รวดเร็วและรุนแรงหาใดเปรียบ ฟาดฟันไปยังศีรษะของเถียนปอกวงโดยตรง เถียนปอกวงขมวดคิ้ว ดาบผ่าฟืนในมือขวาก็ไม่ใช่กระจอก ตวัดปราณดาบสายหนึ่ง พุ่งปะทะเข้าไป
ตู้ม!
ประกายกระบี่และปราณดาบปะทะกันกลางอากาศ เถียนปอกวงถอยหลังไปหนึ่งก้าว ส่วนเสี้ยวหย่วนกำกระบี่พุ่งลงมาฟาดฟันต่อไป บ้าคลั่งและหยิ่งทะนงเป็นอย่างยิ่ง ไม่เห็นเถียนปอกวงอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง เขามีความมั่นใจในขอบเขตการบ่มเพาะและความสามารถของตนเป็นอย่างมาก
การต่อสู้อันดุเดือดของเถียนปอกวงและเสี้ยวหย่วนอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด เย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งมองจนเหม่อลอย ถ้าหากเถียนปอกวงเอาชนะไม่ได้ พวกเขาต้องลงมือแน่นอน คนถ่อยไร้ยางอายอย่างเสี้ยวหย่วน ต่อให้ฆ่าไปก็ไม่รู้สึกเสียใจ
ประกายดาบเงากระบี่ปะทะกัน เพลงดาบว่องไวของเถียนปอกวงคล่องแคล่วราวเทพเซียน เพลงกระบี่ของเสี้ยวหย่วนก็เรียกได้ว่าร้ายกาจ ไม่เสียชื่อพรรคท่องกระบี่จริงๆ เพลงดาบที่รวดเร็วขนาดนั้นของเถียนปอกวง เย่เทียนเฉินลองถามตนเองดูพบว่าไม่สามารถรับได้ทั้งหมดแน่นอน แต่เสี้ยวหย่วนกลับสามารถรับกระบวนท่าสังหารได้ทุกครั้ง มีหลายครั้งที่เกือบทำให้เถียนปอกวงบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว เย่เทียนเฉินเห็นดังนั้นก็รู้สึกตื่นตะลึง นี่ก็คือความแตกต่างของความสามารถในการบ่มเพาะ ความแตกต่างระหว่างหนึ่งขอบเขตเล็ก สามารถเป็นสาเหตุที่จะทำให้ถูกฆ่าและพ่ายแพ้ได้เลย
“เพลงกระบี่ของพรรคท่องกระบี่ลึกล้ำจริงๆ แต่เพลงกระบี่ของเสี้ยวหย่วนดูเหมือนจะไม่ใช่เพลงกระบี่ของพรรคท่องกระบี่เลย…” ตงฟางเมิ่งอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วพูดพึมพำกับตัวเอง
“ไม่ใช่เพลงกระบี่ของพรรคกระบี่เหรอ?” เย่เทียนเฉินย่อมไม่รู้ว่าเพลงกระบี่ของพรรคท่องกระบี่คืออะไร แต่เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางเมิ่งจึงเอ่ยถามไปด้วยความสงสัย
“อืม เพลงกระบี่ของพรรคท่องกระบี่ใช้การบังคับกระบี่บินเป็นสำคัญ ใช้พลังภายในไปบังคับกระบี่รวมกับกระบวนท่าสังหารที่แผ่ออกมาจากปราณกระบี่อันแข็งแกร่ง ถ้าพูดถึงเรื่องเคล็ดวิชากระบี่แล้วก็ไม่ได้ใช้วิธีการถือกระบี่บินทะยานไปฆ่าฟันแบบนี้ นายดูเพลงกระบี่ของเสี้ยวหย่วนนั่นสิ โหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ แต่ละกระบวนท่าหมายเอาชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นเขาต่อสู้กับเถียนปอกวงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พลังสังหารบนร่างของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น…” ในขณะที่พูดตงฟางเมิ่งก็อดไม่ได้ที่จะใคร่ครวญ
เย่เทียนเฉินชะงักไป เขากลับไม่ได้รู้ถึงปัญหานี้ จะอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของพรรควรยุทธโบราณ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณมาก่อน ไม่เข้าใจเคล็ดลับการฝึกฝนพลังภายใน เพลงดาบ เพลงกระบี่อะไรเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ตอนที่ร่วมฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกกับตงฟางเมิ่งก็ได้ไปสัมผัสกับพลังภายในเล็กน้อย และได้เห็นเคล็ดวิชากระบี่ผสานที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ดรุณีหยกด้วย
“ไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปพี่เถียนต้องถูกเสี้ยวหย่วนฆ่าแน่!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยความร้อนใจ
“เพลงกระบี่ยิ่งเร็ว ปราณรุนแรงก็ยิ่งเอาชนะได้ หรือวิชาที่เสี้ยวหย่วนฝึกฝนก็คือ…” ดูเหมือนตงฟางเมิ่งจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้ว พูดถึงแค่นี้ก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
ฝึกอะไร?” เย่เทียนเฉินก็รับรู้ได้ถึงความร้ายแรงของปัญหานี้จึงรีบเอ่ยถามขึ้น
“เพลงกระบี่มารอำมหิต” ตงฟางเมิ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เพลงกระบี่มารอำมหิต?” เย่เทียนเฉินยิ่งรู้สึกสงสัย ไม่รู้ว่าเป็นเพลงกระบี่อะไร
ตงฟางเมิ่งใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วจึงใช้น้ำเสียงมั่นใจพูดออกมาว่า “ถูกต้อง เสี้ยวหย่วนจะต้องฝึกฝนเพลงกระบี่มารอำมหิตแน่นอน ไม่งั้นด้วยเพลงดาบว่องไวของเถียนปอกวงและเคล็ดวิชาเทพท่อง ต่อให้ฆ่าเสี้ยวหย่วนไม่ได้ก็คงไม่ถูกบีบบังคับจนถึงขั้นนี้ อย่างน้อยก็สามารถใช้เคล็ดวิชาเทพท่องหนีไปได้ แต่นายดูเถอะ บรรยากาศรอบๆ ของการต่อสู้ระหว่างเสี้ยวหย่วนและเถียนปอกวงมีลมปราณสีแดงปรากฏออกมา นี่คือปราณสังหารของเพลงกระบี่มารอำมหิต มันล้อมรอบคนทั้งสองเอาไว้ ถ้ายังไม่รู้แพ้รู้ชนะมันก็จะไม่หายไป!”
“นี่…เสี้ยวหย่วนโหดเหี้ยมจริงๆ หน้าด้านไร้ยางอายด้วย จะยังไงเขาก็เป็นลูกศิษย์ของพรรคท่องกระบี่ ทำไมถึงฝึกเพลงดาบที่โหดเหี้ยมแบบนี้ได้?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เล่าขานกันว่าหลายพันปีก่อนหน้านี้ พรรคท่องกระบี่มีคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งเป็นอย่างมากคนหนึ่งมาเยือน ดูเหมือนว่าจะสามารถใช้พลังของคนคนเดียวดวลตัวต่อตัวกับลูกศิษย์ทั้งหมดของพรรคท่องกระบี่ได้ วิชาที่เขาใช้ก็คือเพลงกระบี่มารอำมหิต กระทั่งหัวหน้าพรรคท่องกระบี่ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ ทำได้เพียงสู้เสมอเท่านั้น ต้องรู้ว่าเพลงกระบี่ของพรรคท่องกระบี่สูงส่งลึกล้ำ หัวหน้าพรรคของเขาจะต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาปราณกระบี่แล้วแน่นอน ความสามารถในการบ่มเพาะก็คงไม่ต่ำต้อยแน่ แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้ เพลงกระบี่มารอำมหิตนี้โหดเหี้ยมมากจริงๆ สุดท้ายก็บีบบังคับให้ผู้อาวุโสของพรรคท่องกระบี่ต้องออกมาจากการปิดด่านฝึกตนถึงจะเอาชนะเขาได้ แต่ก็เอาชนะได้เพียงกระบวนท่าเดียว ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนนี้สัมผัสได้ถึงความโหดเหี้ยมและความผิดปกติของเพลงกระบี่ หากเผยแพร่ออกไปจะต้องทำให้ยุทธภพปั่นป่วนแน่นอน เพราะชายหนุ่มเบื้องหน้าเขาที่ใช้เพลงกระบี่นี้สุดท้ายก็ถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนกลายเป็นบ้าคลั่งขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงเป็นคนปิดผนึกมันไว้ในภูเขาด้านหลังของพรรคท่องกระบี่ แล้วยังบรรยายลักษณะของเพลงกระบี่มารอำมหิตตลอดจนวิธีการหยุดยั้งไว้ด้วย เพื่อจะได้ไม่ทำให้ยุทธภพปั่นป่วน!” ตงฟางเมิ่งพูดสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมา
“ดูท่าทางผู้อาวุโสไท่ซ่างของพรรคท่องกระบี่คนนี้ แม้ในยามฝันก็คิดไม่ถึงว่าเจตนาดีของเขา ความคิดที่จะทำเพื่อทุกคนในยุทธภพของเขา มาวันนี้จะทำให้เสี้ยวหย่วนประสบความสำเร็จ ทำให้พรรคท่องกระบี่มีบุคคลโหดเหี้ยมอำมหิตโผล่ออกมา คนคนนี้เป็นไปได้มากว่าจะทำให้วิชาที่สืบทอดกันมาหลายพันปีของพรรคท่องกระบี่ต้องสูญสิ้น!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้าพูด
………………………………