บทที่ 215 ข้าต้องปีติยินดี

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 215 ข้าต้องปีติยินดี
ฉีเฟยอวิ๋นมองนอกประตูอย่างไม่สบอารมณ์ปราดหนึ่ง อาอวี่ช่างไม่มืออาชีพเสียเลย ร้องโหวกเหวกอะไรกัน รู้จักขายหน้าบ้างไหมเล่า?

ฉีเฟยอวิ๋นย่างเท้าไปยังประตู พลางกล่าวว่า “ท่านอ๋องไม่เป็นอะไรแล้ว กลับไปบอกพ่อบ้านว่าไม่ต้องเป็นห่วง”

“พระชายา”

อาอวี่ได้ยินเสียงฉีเฟยอวิ๋นพลันรีบเรียกนางทันควัน

“กลับไปเถอะ”

ฉีเฟยอวิ๋นหมุนกายเดินกลับอย่างดูแคลน องค์หญิงใหญ่เดินมาในทิศทางนาง เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นพระองค์พลันย่อกายคำนับ “เสด็จอาใหญ่”

“ทำไมหรือ?” สีหน้าองค์หญิงใหญ่อิดโรย เนื่องจากไม่ได้นอนมาทั้งคืน

ฉีเฟยอวิ๋นตอบ “ไม่มีอะไรแล้วเพคะ ท่านอ๋องแค่ไม่อยากลุกขึ้น ยังอยากนอนต่อเพคะ”

“เฮ้อ เหมือนตอนเด็กไม่มีผิด ดื้อดันยิ่งนัก” องค์หญิงใหญ่หมุนกายเหินเดินไปทางหนานกงเย่ เมื่อถึงหน้าประตูพลันผลักประตูเข้าไป ฉีเฟยอวิ๋นตามอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ปิดประตู ต่อด้วยยกเก้าอี้ให้องค์หญิงใหญ่นั่ง

“เชิญเสด็จอานั่งเพคะ”

องค์หญิงใหญ่มองฉีเฟยอวิ๋นปราดหนึ่ง “เจ้ารู้จักกาลเทศะดีนี่”

หนานกงเย่หลับตาพริ้มคล้ายกับหลับลึกมาก องค์หญิงใหญ่จัดแจงอาภรณ์ก่อนจะนั่งลงมากล่าวว่า “เจ้ายังไม่ลืมตาอีก รอให้ข้าตีเจ้าหรือไร?”

หนานกงเย่จึงลืมตาขึ้น ก่อนจะมองไปยังองค์หญิงใหญ่

“เสด็จอา”

ใบหน้าองค์หญิงใหญ่เรียบเฉย “กลยุทธ์ตบตาของเจ้า เล่นได้ดีมากเลยนี่?”

“เสด็จอาสั่งสอนดีพ่ะย่ะค่ะ”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นหมดคำจะพูด นี่จะผลักความรับผิดชอบให้องค์หญิงใหญ่หรือ

องค์หญิงใหญ่ก็ไม่อินังขังขอบ ถามเพียงว่า “ข้าถามเจ้า เจ้าสังหารหรงชินอ๋องหรือไม่?”

หนานกงเย่เปรย “อย่างไรเสียเขาก็เป็นโอรสของเสด็จอาเจ็ด ข้ายังไม่เลอะเลือนปานนั้น แต่ตอนข้าเข้าไปครั้งแรก เขายังบอกกับข้าอยู่เลยว่าเขาไม่ได้ฆ่าคน จากนั้นข้าคุยกับเขาสักพักก็ออกไป พอข้าเข้าไปหาเขาครั้งที่สอง เขากลับเปลี่ยนคำให้การ บอกว่าเขาเป็นคนสั่งการเอง ข้าจึงเขียนคำสารภาพเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วให้เขาลงลายนิ้วมือ

หลังจากที่ข้าออกไปก็ได้ยินว่าเขาเสียชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกฉงนสนเท่ห์ “เช่นนี้แสดงว่าครั้งแรกที่ท่านอ๋องเสด็จไป หรงชินอ๋องยังตั้งความหวัง ไม่คิดสารภาพ แต่เมื่อท่านอ๋องไปครั้งที่สอง เขาก็ยอมรับแล้ว ระหว่างนั้นมีคนเคยไปพบหน้าหรงชินอ๋องหรือไม่เพคะ?”

องค์หญิงใหญ่มองฉีเฟยอวิ๋น ทว่าไม่ได้รับสั่งสิ่งใด

หนานกงเย่กล่าว “ข้าไม่เข้าใจ เพราะถูกขังกะทันหันเกินไป แต่การสิ้นชีพของหรงชินอ๋องต้องปกป้องผู้อื่นได้แน่”

องค์หญิงใหญ่ลุกขึ้นยืน “เข้ามา”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ ไฉนจึงมีคนอยู่ด้านนอก?

หนึ่งในนั้นมีเว่ยหลินชวนเข้ามาด้วย เขายื่นพู่กันในมือให้หนานกงเย่ “เชิญท่านอ๋องเย่ลงนามพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงเย่ลุกขึ้นลงลายนิ้วมือในหนังสือคำให้การ

จากนั้นเว่ยหลินชวนนำคำให้การเดินออกไป หนานกงเย่กลับไปนอนอีกครั้ง พลางมองเว่ยหลินชวนที่เดินออกไป

องค์หญิงใหญ่ไม่ธรรมดาจริงแท้ กล่าวสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไม่หาเรื่องเจ้า แต่เจ้าดันคิดจะเล่นกับข้าขึ้นมา เจ้าเป็นถึงท่านอ๋อง วันๆไม่คิดจะใช้สมองแบ่งเบาภาระราชกิจแล้ว ยังคิดจะสร้างความวุ่นวายกับเรื่องเล็กเรื่องน้อยอีก

จั่วจงเจิ้งเป็นคนดีมีศีลธรรม เคยมีความคิดเลวๆเมื่อใด ส่วนพระชายาของเจ้า ไม่เอาไหนเพียงใด เจ้าไม่รู้หรือ?

ก่อนนางจะแต่งงานเข้าจวนเจ้า นางมีภาพลักษณ์เช่นไรในเมืองหลวง หรือเจ้าไม่รู้?

จั่วจงเจิ้งเป็นใคร จะชื่นชอบนางได้อย่างไร?”

ฉีเฟยอวิ๋นหน้าดำเขียว หมายความว่าอย่างไร?

นางไม่ได้พิกลพิการเสียหน่อย ใบหน้าก็ออกจะงดงามหยาดเยิ้ม

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่เต็มใจยอมรับสิ่งที่โดนวิจารณ์ “หม่อมฉันไม่เห็นด้วยกับรับสั่งของเสด็จอาเพคะ ต้องตรัสว่าจั่วจงเจิ้งไม่คู่ควรกับหม่อมฉันเพคะ ท่านอ๋องนั้นสูงศักดิ์ จั่วจงเจิ้งเทียบเคียงไม่ได้เลยเพคะ”

หนานกงเย่ฟังแล้วรู้สึกรื่นหู กล่าวคล้อยตามว่า “จริงพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงใหญ่ปรายตามอง “เจ้าหน้าด้านเหมือนพ่อเจ้าไม่มีผิด”

องค์หญิงใหญ่หมุนกายเดินออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวมาดมั่นว่า “ท่านพ่อก็กล่าวชมเสด็จอาเป็นประจำเพคะ”

หนางกงเย่เกือบสำลัก ทว่าก็ยังข่มกลั้นไว้อยู่หมัด

องค์หญิงใหญ่หยุดเดินชั่วครู่ พร้อมกับหันมามองฉีเฟยอวิ๋น กล่าวอย่างไม่เบิกบานว่า “เจ้าหน้าด้านกว่าพ่อเจ้าอีก”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นย่อกายคำนับ

องค์หญิงหมุนกายเดินออกนอกประตู

เมื่อปิดประตู องค์หญิงใหญ่พลันส่ายหัว เยี่ยงอย่างไม่ดีก็เช่นนี้แหละ

หนานกงเย่มอง “เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น?”

“ใครให้เสด็จอารังเกียจเดียดฉันท์ข้ากันเล่า?” ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงแล้วกล่าว “อย่างไรเสีย ข้าก็เป็นพระชายา แม้นจั่วจงเจิ้งจะดีเพียงใดก็สู้ท่านอ๋องไม่ได้หรอก ข้าพูดเช่นนั้นก็มีเหตุผลดี”

หนานกงเย่ถาม “หากข้าไม่มีกระไร เป็นเพียงยาจกข้างถนน แต่จั่วจงเจิ้งก็ยังเป็นจั่วจงเจิ้ง อวิ๋นอวิ๋นจะเลือกใคร จะไปจากข้าไหม?”

“ต้องดูก่อน” ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้หลอกลวง

“ลองเล่ามาฟังสิ” หนานกงเย่รู้สึกเครียด เพราะสตรีผู้นี้ทำได้ทุกอย่าง หากกล่าวในสิ่งที่ไม่เหมาะสมก็คือ เมื่อนางใจเย็นแล้วจะจองหองกว่าบุรุษเสียอีก

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว “ยาจกแล้วอย่างไร อดีตเคยมียาจกซูที่สุดท้ายเก่งกาจกว่าองค์จักรพรรดิเสียอีก”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเช่นนั้น หนางกงเย่รู้สึกคันปาก อยากรู้เรื่องยาจกซู ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ถามกระไร

“พูดต่อสิ” หนานกงเย่กล่าว

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว “เป็นยาจกแต่มีใจแสวงหาความก้าวหน้า เจ้าขัดสนและไร้อำนาจก็ไม่เป็นไร ข้ามีก็พอ

ชีวิตผู้คนนั้นแตกต่างกัน บางคนเหมาะจะไปออกศึกสู้รบ บางคนเหมาะจะเป็นเสนาบดี หรือเจ้าจะให้แม่ทัพไปเป็นเสนาบดี?

เช่นนั้นก็ไร้เมตตาเกินไป เสมือนกับผู้เยาว์ เด็กทำอะไรได้ก็ให้ทำอย่างนั้น อย่าได้ฝืนบังคับเด็ดขาด

แต่เมื่อยังมีลมหายใจ ย่อมต้องมีความสามารถในการอยู่รอด

ท่านอ๋องไม่ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น เป็นยาจกก็ไม่มีปัญหา หากท่านอ๋องชอบ ข้าก็จะไม่มีปัญหา

แต่ว่า ข้าแต่งกับท่านอ๋องแล้ว กลายเป็นภรรยาของท่านอ๋องแล้ว

หากไม่ใช่

ท่านอ๋องนั่งก้มหน้าก้มตาตรงข้างถนน ถึงสายตาข้าจะเฉียบแหลมเพียงใดก็ไม่เห็นความงามของท่านอ๋องอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าชอบท่านอ๋องเลย

หากท่านไม่ได้พูดกระไรเลย แล้วท่านอ๋องใช้สิ่งใดเพื่อให้ข้าที่เป็นบุตรสาวแม่ทัพลงตัวแต่งงานกับยาจก?

นี่เป็นเหตุผลประการแรก ประการที่สองคือ นิสัยท่านอ๋องแย่มาก ถือตัวสูงส่ง ทั้งยังคิดจะสืบทอดวงศ์ตระกูลอีก ท่านจึงเทียบคนสามัญชนไม่ได้เลย

สามัญชนแต่งภรรยาเพียงหนึ่งคน แต่ท่านอ๋องก็ไม่แน่ และคนสามัญชนไม่ใช่เอะอะก็จะฆ่าอย่างเดียว ข้ายังจำเรื่องนี้ได้ดี……”

หนานกงเย่หน้าตาบูดบึ้ง ฉีเฟยอวิ๋นข้ามเรื่องที่แต่งเข้ามาใหม่ กล่าวต่อไปว่า “หากสิทธิเสรีภาพคนเราเท่าเทียมกัน ข้าก็จะไม่เลือกท่านอ๋อง ถึงแม้ท่านอ๋องจะมั่งคั่งเฉกเช่นยามนี้ ข้าก็ไม่ฝันใฝ่

ข้ายินดีแต่งกับคนสามัญชน เพื่อจะได้อยู่อย่างสงบสุข

แต่สวรรค์ลิขิตให้ข้ามาที่นี่ และยังให้ข้าแต่งงานกับท่านอ๋องอีก ข้าก็ต้องยอมรับชะตากรรม

อย่างไรเสียเมื่อท่านอ๋องเทียบกับคนด้านนอก ข้ารู้สึกชมชอบกว่า”

หนานกงเย่ถาม “เช่นนี้ ถ้าให้เจ้าเลือกตามเจตนาตอนแรก เจ้าจะไม่เลือกข้า?”

“อืม”

ใบหน้าหนานกงเย่มืดครึ้ม “ข้าดีกว่าพวกเขานะ”

“หม่อมฉันขอถามว่า หากท่านอ๋องไม่ชอบข้า ข้าต้องสิ้นชื่ออยู่ในจู๋อวิ๋นไจ ซึ่งเป็นเรือนที่อยู่หลังจวนท่านอ๋องหรือไม่?”

หนานกงเย่อึ้งชั่ววูบ มองใบหน้าเล็กอันนิ่งขรึมของฉีเฟยอวิ๋น “ข้าต้องปีติยินดี?”