บทที่ 377 ผู้หญิงมีปัญหา

Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]

บทที่ 377 ผู้หญิงมีปัญหา

ในห้องของเซียวหลิง พื้นที่ส่วนใหญ่ของห้องเต็มไปด้วยสีชมพู หลาย ๆ จุดเต็มไปด้วยตุ๊กตาขนาดใหญ่ โดยเฉพาะตุ๊กตาหมีที่มุมกำแพงซึ่งสูงกว่าสองเมตร มันเป็นของขวัญจากเฉียนโตวโตวเพื่อเอาใจเซียวหลิง

หลังจากที่เซียวเฟิงเข้ามาอย่างอ่อนโยนและปิดประตูเบา ๆ เขามองไปรอบ ๆ แต่ไม่พบเซียวหลิง อย่างไรก็ตาม มีผ้าห่มสีชมพูโค้งสูงอยู่บนเตียง เซียวเฟิงจึงเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังและดึงมันเปิดออก ตามที่คาดไว้ เซียวหลิงอยู่ในนั้น

เซียวหลิงสวมแต่เสื้อกล้ามลายปลาโลมาสีน้ำเงินบาง ๆ และกางเกงในผ้าฝ้ายลายหมี ผิวที่บอบบางของเธอได้สัมผัสกับอากาศ ซึ่งละเอียดอ่อนราวกับเครื่องเคลือบ ขาว และแพรวพราว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แพรวพราวยิ่งกว่าคือผมยาวสีทองเป็นประกายของเธอ

ผมยาวนุ่มสลวยสีบลอนด์ของเธอไม่ได้ถูกมัด มันกระจายไปตามไหล่เล็ก ๆ ลงมาจนถึงเอว เซียวหลิงนั่งอยู่กลางเตียงใหญ่ของเธอ ขณะที่ขาอ่อนของเธองอขึ้นและชิดกัน เธอกอดพวกมันด้วยแขนที่เพรียวบางและฝังหน้าของเธอไว้ที่หัวเข่า แม้ว่าเธอได้ยินว่าประตูเปิดเข้ามาและผ้าห่มถูกดึงขึ้น เธอก็ไม่มีการตอบสนองใด ๆ ราวกับนกกระจอกเทศ

“เซียวหลิง…”

เซียวเฟิงพูดอย่างลังเล แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเซียวหลิงอย่างไร ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาหลอกตัวเอง แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะจากไป คำพูดของตำรวจจอมปลอมนั่นย้ำเตือนเขาและย้ำเตือนเซียวหลิงด้วย

เซี่ยกวงเหว่ยถูกเขาบังคับให้ตาย และปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือ เซียวหลิงรู้ทุกอย่าง ไม่เพียงเท่านั้น เซียวหลิงยังอยู่ในที่เกิดเหตุในวันนั้นด้วย…

ตอนที่เซียวเฟิงบังคับเซี่ยกวงเหว่ย เซียวหลิงอยู่ในห้องทำงานของเซี่ยกวงเหว่ยและได้เห็นฉากนั้น…

ดังนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา เซียวเฟิงได้แต่หลอกลวงตัวเอง เซียวหลิงก็เช่นกัน คำพูดของตำรวจจอมปลอมปลุกคนทั้งสองให้ตื่นจากการสะกดจิตตัวเองและต้องเผชิญกับความจริง

ดังนั้นเซียวเฟิงจึงอยากฆ่าตำรวจปลอมสองคนนั้นเพราะพวกเขาพูดอะไรบางอย่างที่พวกเขาไม่ควรพูดออกมา หากไม่เป็นเช่นนั้นเซียวเฟิงและเซียวหลิงก็จะยังคงหลอกตัวเองและหลบหนีจากความเป็นจริง แม้ว่ามันจะขี้ขลาดจริง ๆ แต่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา

“ฉันรู้ว่านายจะพูดอะไร” เซียวหลิงไม่เงยหน้า ยังคงเอาหน้าซุกเข่าอยู่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เธอสูญเสียบุคลิกที่เย่อหยิ่งและผยองตามปกติของเธอไป กลับกัน ในตอนนี้กลายเป็นว่าเธอทำอะไรไม่ถูกและมีท่าทีที่อ่อนลงแทน

“ใช่ เธอรู้” เซียวเฟิงพูดอย่างเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรในตอนนี้

“ฉันเกลียดนาย” เซียวหลิงพูดต่อ

“เธอควรจะเกลียดฉัน” ดวงตาของเซียวเฟิงเยือกเย็นเล็กน้อย

“แม่ของฉันเสียไปตั้งแต่ฉันยังเด็กมาก พ่อเป็นญาติคนเดียวของฉัน แต่พ่อก็ยุ่งอยู่เสมอ ในหนึ่งเดือน เขามีเวลาให้ฉันแค่สองสามวันเท่านั้น แม้ว่าฉันจะรู้สึกแย่กับเขา แต่เขาก็คือพ่อของฉัน ทุกครั้งที่ฉันไปหาเขาในที่ทำงานของเขาคือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของฉันในรอบเดือน”

“แต่วันนั้น นายก็ปรากฏตัวมาเหมือนเพชฌฆาต นายบังคับพ่อของฉันให้ตายอย่างโหดร้ายและไร้ความปราณี”

“ฉันเกลียดนาย นายเอาญาติที่เหลือเพียงคนเดียวของฉันไป!”

เซียวหลิงก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เซียวเฟิง ดวงตาของเธอซึ่งสวยงามราวกับไพลิน ในตอนนี้เป็นสีแดงและบวม ทำให้เซียวเฟิงทุกข์ใจ ราวกับความรู้สึกที่ชายหนุ่มไม่สามารถพูดเป็นคำออกไปได้กำลังปิดปากอยู่

“แต่…ฉันก็เกลียดนายไม่ลง เพราะนายช่วยฉัน นายช่วยชีวิตฉันออกมาจากบ้านที่มีแต่เงามืดนั่น นำชีวิตใหม่มาให้ฉัน และให้ฉันได้อาศัยอยู่ในบ้านที่มีแสงแดดส่องถึงนี้” เซียวหลิงมองตรงไปที่เซียวเฟิง

“เซียวหลิง…” เซียวเฟิงเปิดปากของเขา

“นายต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อชดใช้ให้ฉัน อย่ายอมแพ้เด็ดขาด” เซียวหลิงกล่าว

“ฉันจะทำ…ฉันจะดูแลเธอไปตลอดชีวิตและตลอดไป” เซียวเฟิงพยักหน้า

“ฮือ…พี่โง่ ทำไมฉันถึงเกลียดนายไม่ได้ ภาพพ่อฉันในหัวเบลอมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่นายกลับชัดเจนขึ้น ทำไม ฮือ…” เซียวหลิงก็โยนตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของเซียวเฟิงและร้องไห้ออกมาด้วยความโกรธ น้ำตาที่ร่วงเหมือนฝน เต็มไปด้วยความเศร้า

เซียวเฟิงกอดร่างกายเล็ก ๆ ของเซียวหลิงอย่างอ่อนโยนโดยไม่พูดอะไรเลย และลูบหลังเธอเบา ๆ เพื่อปลอบโยนเธอ ปล่อยให้น้ำตาเปียกหน้าอกของเขา

จนกระทั่งเซียวหลิงเหนื่อยและผล็อยหลับไป เซียวเฟิงก็ค่อย ๆ วางเธอลงบนเตียง ห่มผ้าห่มให้ และออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ

“เซียวหลิงเป็นยังไงบ้าง” แต่ทันทีที่เขาออกมา หลิวเฉียงเหว่ยก็กำลังรอเขาอยู่ที่ทางเดิน พอเห็นเขาออกมาเธอก็ถาม

เซียวเฟิงทำท่าทางเพื่อให้เธอลดเสียงลง จากนั้นเปิดประตูห้องตรงข้ามและเดินเข้ามาหลิวเฉียงเหว่ยเดินตามหลัง

“เธอร้องไห้จนเหนื่อยและก็หลับไปแล้ว” เซียวเฟิงมองไปที่ห้องที่เขาไม่ได้กลับมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนและตอบ

“นาย…อธิบายไปอย่างชัดเจนไหม?” หลิวเฉียงเหว่ยลังเลและถาม เพราะเธอรู้ความจริง แทนที่จะใช้คำว่า ‘อธิบาย’ ในที่นี้ ควรใช้คำว่า ‘เปิดเผย’ จะถูกกว่า

“เซียวหลิงรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว” อย่างไรก็ตามเซียวเฟิงก็ส่ายหัว

“อะไรนะ? เซียวหลิงรู้อยู่แล้ว…เธอรู้สาเหตุการตายของเซี่ยกวงเหว่ย พ่อของเธออยู่แล้วงั้นเหรอ?” หลิวเฉียงเหว่ยตกใจและถามอย่างประหม่า

“ตอนที่เซี่ยกวงเหว่ยกระโดดตึกในวันนั้น เซียวหลิงได้ซ่อนตัวอยู่ในห้องทำงานของเซี่ยกวงเหว่ย” เซียวเฟิงไม่ได้พูดอะไรมาก แต่หลิวเฉียงเหว่ยผู้ซึ่งถูกเซียวเฟิงคุกคามในห้องทำงานเดียวกันสามารถจินตนาการถึงสถานการณ์ในเวลานั้นได้

นอกจากนี้ เธอยังรู้อย่างชัดเจนว่าวิธีที่เซียวเฟิงใช้กับเซี่ยกวงเหว่ยนั้นจะต้องโหดร้ายกว่าเธอ

“ถ้างั้น…” หลิวเฉียงเหว่ยไม่รู้จะพูดอะไร เธอดูลังเล

“ฉันไม่ต้องการที่จะได้รับการให้อภัยจากเซียวหลิง ฉันจะชดใช้ให้เธอมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และใช้ชีวิตของฉันเพื่อชดใช้ความเสียหายที่เธอได้รับ” อารมณ์ของเซียวเฟิงไม่ดี เขาทิ้งตัวลงบนเตียง “ตอนนี้ฉันแค่หวังว่าหลังจากตื่นนอน เซียวหลิงจะรู้สึกดีขึ้น”

“ถ้างั้นก็ต้องเป็นแบบนั้นล่ะนะ” หลิวเฉียงเหว่ยไม่มีทางเลือก เมื่อมองไปที่เซียวเฟิงซึ่งอารมณ์ไม่ดี เธออดไม่ได้ที่จะถามว่า “พ่อของเซียวหลิง…เซี่ยกวงเหว่ยถูกนายฆ่าจริง ๆ เหรอ?”

“แม้ว่าฉันจะไม่ได้ฆ่าเขาด้วยตัวเอง แต่ฉันก็บังคับเขาให้ตาย มันไม่ต่างกันเลย” เซียวเฟิงส่ายหัว ตอนนี้เขาเดาได้ว่าเซี่ยกวงเหว่ยเลือกที่จะกระโดดตึกเพราะต้องการปกป้องเซียวหลิง เขาไม่เพียงแต่ไม่อยากแสดงฉากนองเลือดที่เซียวเฟิงจะทำให้เซียวหลิงเห็นเท่านั้น แต่ยังต้องการแสดงความบริสุทธิ์ด้วยชีวิตของเขาและขอร้องให้เซียวเฟิงปล่อยเซียวหลิงซึ่งอยู่ด้วยในขณะนั้นไป

นั่นคือเหตุผลและไม่มีความหมายลึกซึ้งอื่น ๆ หรือ? อย่างเช่น เขาต้องการปกปิดความจริง?

เซียวเฟิงส่ายหัว ชายหนุ่มไม่สามารถคิดออกได้และเขาไม่มีทางที่จะขุดลึกลงไป

ยังไงเสีย…เซี่ยกวงเหว่ยก็ตายไปแล้ว จึงไม่มีหลักฐาน แถมยังมีเซียวหลิงด้วย นี่คือเหตุผลที่เซียวเฟิงไม่มีเบาะแสในขณะนี้ เพราะไม่มีร่องรอยให้เขาสืบหาอีกต่อไป สิ่งที่เขาสามารถทำได้คือ จับตัวผู้บงการผ่านบริษัทมิดซัมเมอร์หรือการแข่งขันระดับโลก

“นายเสียใจที่ทำแบบนี้ไหม?” จู่ ๆ หลิวเฉียงเหว่ยก็ถามขึ้นมา

“ถ้าเธอปล่อยให้ฉันทำอีกครั้ง ฉันก็จะยังคงบังคับให้เซี่ยกวงเหว่ยสารภาพอยู่ดี แต่วิธีการอาจไม่โหดร้ายเหมือนเมื่อก่อน และฉันจะไม่บังคับเซี่ยกวงเหว่ยให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง”

เซียวเฟิงส่ายหัว เขาต้องหาตัวผู้บงการไม่ว่าเขาจะจ่ายอะไรไปก็ตาม ทว่าเซียวเฟิง ซึ่งตอนนี้ได้ฟื้นฟูความเป็นมนุษย์ของเขาแล้ว ก็ไม่ได้โหดร้ายถึงขนาดจะทิ้งแผลใจให้กับเซียวหลิง

ตอนนี้เซียวเฟิงทำได้เพียงขอบคุณที่เซียวหลิงอายุยังน้อย และหวังว่าเธอจะค่อย ๆ ลืมเรื่องนี้เมื่อเวลาผ่านไป

เซียวเฟิงเอื้อมมือออกไปและหยิบหมวกเกมของเขาที่อยู่บนหัวเตียง เขาออกไปหนึ่งเดือน แต่ไม่มีฝุ่นบนหมวกเกมเลย แสดงว่ามีคนมาทำความสะอาดห้องของเขาอยู่เสมอ

นอกจากนี้ ข้าง ๆ หมวกเกมรุ่นเก่าของเขา ก็มีหมวกเกมสำหรับผู้หญิงตัวใหม่อยู่ด้วย เห็นได้ชัดว่าโกสต์คงใช้มาก่อน แต่โกสต์จากไปแล้ว ดังนั้นเซียวเฟิงจึงต้องเก็บมันไป

“นายจะเล่นเกมงั้นเหรอ? ฉันจะไปบอกให้จิ๋งจิ๋งคืนของสวมใส่ให้นาย” หลิวเฉียงเหว่ยเห็นเซียวเฟิงหยิบหมวกเกมขึ้นมาและถามทันที

“ฉันจะใช้เวลาสักสองสามวันเพื่อเก็บเลเวลให้ทันน่ะ ดังนั้น ฉันยังไม่ต้องการของสวมใส่ในตอนนี้ ให้เธอรีบไต่อันดับในอารีน่าไปก่อน ว่าแต่ ยังไม่มีข่าวเรื่องการแข่งขันในเซิร์ฟเวอร์เลยเหรอ?” เซียวเฟิงส่ายหัวและถาม

“ยังไม่มี แต่วันนี้จะมีการเปิดรายการอันดับความสามารถ ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับอารีน่าด้วย” หลิวเฉียงเหว่ยตอบหลังจากครุ่นคิด

“อันดับความสามารถ?” เซียวเฟิงหันไปมอง

“ใช่แล้ว จะเปิดตอนเที่ยงวันนี้ ก็น่าจะเปิดแล้วล่ะ” หลิวเฉียงเหว่ยพยักหน้า

“งั้นฉันก็ต้องเข้าสู่ระบบไปตรวจสอบ เธอไปทำธุระของเธอเถอะ แล้วก็ฝากบอกเฉียนโตวโตวกับจิ๋งจิ๋ง รวมถึงเธอด้วยว่าอย่าสร้างความขัดแย้งกับจืออี้ล่ะ” เซียวเฟิงสนใจอันดับความสามารถนั้น แต่จากนั้นเขาก็นึกบางอย่างได้และเตือนหลิวเฉียงเหว่ย

“อืม เดี๋ยว” หลังจากที่หลิวเฉียงเหว่ยพยักหน้า เธอก็ตะโกนขึ้นมาทันที

“เป็นอะไรไป มีอะไรอีกงั้นเหรอ?” เซียวเฟิงที่พร้อมจะสวมหมวกเกมหันมามองอีกครั้ง

“คือ…” หลิวเฉียงเหว่ยลังเล ดวงตาของเธอดูเย้ายวนและไม่กล้าที่จะมองเซียวเฟิงตรง ๆ “คือว่าเรื่องของเรา…”

“อะไร? เธอหมายถึงสัญญาการแต่งงานเหรอ? ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะพยายามยกเลิกมันให้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากเล็กน้อยตามแบบแผนของตระกูลจางก็เถอะ แต่ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด เธอต้องทนทุกข์ทรมานมาหลายปีภายใต้แรงกดดันของตระกูลจางใช่ไหมล่ะ?” เซียวเฟิงกล่าวอย่างเข้าใจ

“ไม่…” หลิวเฉียงเหว่ยกังวลทันทีที่ได้ยิน และแก้มที่สวยงามของเธอก็อดเกิดรอยแดงขึ้นมาไม่ได้ เธอพูดด้วยสายตาที่เหม่อลอย “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะคัดค้าน เสี่ยวหยูบอกฉันว่าการหมั้นครั้งนี้ถูกกำหนดโดยผู้อาวุโสของตระกูลจาง คงจะเป็นการยากที่จะยกเลิก แทนที่จะสร้างปัญหาให้กับนาย ฉันพยายามยอมรับมันก็ได้ เพราะถ้านายเป็นคนที่ฉันจะแต่งงานด้วย ฉัน…ก็ไม่มีปัญหา”

“เธอหมายความว่าไง? เธออยากติดพันกับฉันงั้นเหรอ? เซียวเฟิงตัวแข็ง ขมวดคิ้วและมองหลิวเฉียงเหว่ย เขาไม่เคยคิดว่าผู้หญิงที่ดูเหมือนนางฟ้าจะพูดคำเหล่านี้ได้

“ติดพันกับนาย!” แม้ว่าหลิวเฉียงเหว่ยจะเป็นนางฟ้า แต่เธอก็หงุดหงิดกับคำพูดของเซียวเฟิง “ฉันเป็นผู้หญิงไม่สมบูรณ์แบบเหรอ? ฉันไม่คู่ควรกับนายเหรอ?”

หลิวเฉียงเหว่ยจ้องที่เซียวเฟิงอย่างโกรธจัด เธออุทานออกมาหลังจากเรียกความกล้าหาญของเธอ เพราะเธอรู้สึกถึงวิกฤตเมื่อจืออี้มาเยือน สัมผัสที่หกของเธอซึ่งไม่เคยทำผิดพลาดเลยบอกกับเธอว่า ถ้าเธอยังไม่พยายามทำอะไร มันก็จะสายเกินไป!

หลิวเฉียงเหว่ยเชื่อสัมผัสที่หกของตัวเองเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะซื้อมิดซัมเมอร์กรุ๊ป ผูกมัดและดึงเซียวเฟิงมาอยู่เคียงข้างเธอด้วยค่าใช้จ่ายของตัวเอง ทั้งสองเรื่องนี้ก็ถูกตัดสินด้วยสัมผัสที่หกของเธอ ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์ว่าการตัดสินใจเหล่านี้ถูกต้อง ดังนั้นในตอนนี้ เธอจึงพูดในสิ่งที่เธอต้องการจะพูดโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีก!!