ตอนที่273 ระดมพล

จ้าวฝู่หยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งออกมา ก้มหน้าก้มตาเขียนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นให้ลูกชายของเขา

จ้าวเฉียนหยิบมาดูก็พบว่าเป็นชื่อของบริษัทแห่งหนึ่งกับรายชื่อใครบางคน

“พ่อ นี่คืออะไร?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้น

จ้าวฝู่ยิ้มตอบกลับไปว่า

“นี่คือชื่อบริษัทและคนที่ฉันตามหามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าแกต้องการโค่นตระกูลหัว ก็ต้องสานสัมพันธ์กับคนพวกนี้เอาไว้”

จ้าวเฉียนเข้าใจได้ในทันทีว่า รายชื่อบริษัทพวกนี้เป็นบริษัทที่ติดต่อกับบริษัทของตระกูลหัว และรายชื่อแต่ละคนน่าจะเป็นระดับผู้จัดการชั้นสูง แถมยังมีบางคนสามารถไปมาหาสู่ตระกูลหัวได้แล้วด้วย

ตราบใดที่จ้าวเฉียนต้องการโค่นตระกูลหัว เขาจำเป็นต้องใช้งานบริษัทพวกนี้เริ่มโจมตีเพื่อตัดต้นน้ำ ถ้ารากฐานถูกทำลายจนหมดสิ้น รับประกันได้เลยว่าตระกูลหัวจะถูกทำลายแน่นอน

จ้าววฝู่ตั้งคาวมหวังไว้สูงมากกับลูกชายคนนี้ โดยหวังว่าเขาจะช่วยสานฝันทำความปรารถนาของคุณปู่ให้กลายเป็นจริงได้ ทั้งนี้ยังช่วยขยับขยายบารมีของจ้าวเฉียน เพื่อใช้ในการปกครองตระกูลจ้าวต่อไป

แน่นอนว่าจ้าวเฉียนเองย่อมเข้าใจความหมายของพ่อเขาด้วยเช่นกัน ยามนี้จึงตระหนักถึงความรับผิดชอบที่เพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าตัว หลังจากตามสืบและดำเนินการอย่างลับๆ มาถึงสองชั่วอายุคน ในที่สุดก็ถึงเวลาลงมือจริงแล้วในรุ่นของเขา

ในเวลานี้เอง อวีกุ้ยเฟิงก็เคาะประตูเรียกจากด้านนอก กล่าวเสียงดังแจ้งขึ้นว่า

“จ้าวเฉียน เสี่ยวเจียงกำลังตามหาลูกอยู่ ถ้าคุยธุระเสร็จแล้วไปหาเธอหน่อย”

“อ่อ เข้าใจแล้วครับ”

จ้าวเฉียนตะโกนตอบกลับไป

จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราะลั่น กล่าวขึ้นว่า

“ไปดูก่อนเถอะว่าเธอเป็นอะไรรึเปล่า เรื่องตระกูลหัวช่างมันก่อนเถอะ พักหัวสมองบ้าง”

ถึงอย่างไร จ้าวเฉียนก็ขี้เกียจไปคุยกับหวานเจียงเช่นกัน เขาเบื่อหน่ายกับเธอพอแล้ว ดังนั้นเขาจึงตอบไปว่า

“ช่างเถอะพ่อ เอาเรื่องธุรกิจเป็นหลักดีกว่า”

แต่จ้าวฝู่กลับไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ โดยกล่าวติเตียนไปว่า

“ธุรกิจคือธุรกิจ ครอบครัวคือครอบครัว อย่าเอาสองเรื่องนี้มารวมกันสิ อีกอย่างตอนนี้แกก็รีบแต่งงานมีลูกได้แล้ว อาณาจักรธุรกิจของตระกูลจ้าวมันใหญ่กว่าที่แกคิดไว้มาก อย่างน้อยๆ แกต้องมีลูกสักห้าคน ไม่อย่างนั้นในอนาคตพวกแกดูแลกันไม่ไหวแน่นอน”

จ้าวเฉียนยิ้มแห้งกล่าวตอบไปว่า

“พ่อยังเห็นแค่ผิวเผินนะ นิสัยอย่างหวานเจียงเหรอจะยอมมีลูกตั้งห้าคน? นี่คิดจะให้พวกผมมีลูกกันหัวปีท้ายปีเลยเหรอ?”

จ้าวฝู่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของจ้าวเฉียนอีกแล้ว และกล่าวตอบไปว่า

“แม่ของแกในตอนสาวๆ หนักกว่าเสี่ยวเจียงของแกในตอนนี้อีก ดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

“อ้าว? แล้วทำไมพ่อกับแม่ถึงมีผมแค่คนเดียวล่ะ? ไหนว่าต้องมีอย่างน้อยห้าคน?”

จ้าวเฉียนสวนกลับด้วยคำถาม

จ้าวฝู่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“นี่คงเป็นโชคชะตา ปู่แกก็ตั้งความหวังอยากให้ฉันมีลูกสักห้าคน แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็เหลือแค่แก ส่วนพี่น้องพ่อคนอื่นๆ ก็มีลูกเป็นผู้หญิงกันหมด อย่างน้อยๆ ครอบครัวของเราตอนนี้ก็ต้องการแค่หลานชายที่จะมาสืบทอดธุรกิจสักสองสามคน ส่วนที่เหลือจะเป็นผู้หญิงก็ได้”

จ้าวเฉียนส่ายหัวพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ บอกลาพ่อของเขาและหันหลังเดินกลับห้องตัวเองไปทันที

หวานเจียงในตอนนี้กำลังกอดอกงอนจ้าวเฉียนอย่างหนัก พอเขาเดินกลับมาก็แยปากบ่นทันทีว่า

“นี่นายไม่สนใจฉันเลยจริงๆ เหรอ? ทิ้งฉันให้อยู่บ้านคนเดียวเกือบทั้งวัน ถ้าจะไปทำธุระอะไรก็พาฉันไปด้วยก็ได้หนิ? ฉันให้ความร่วมมือกับนายอยู่แล้ว แต่ไอ้ที่ออกไปไหนมาไหนคนเดียวมันหมายความว่ายังไงกัน?”

จ้าวเฉียนวางแผ่นกระดาษของจ้าวฝู่ไว้บนโต๊ะ และหันมายิ้มกล่าวว่า

“ถ้าจำไม่ผิด ฉันชวนเธอไปไหว้หลุมศพคุณย่าด้วยกันแล้วนะ แต่เธอเองไม่ใช่เหรอที่ปฏิเสธ? แล้วจะพูดว่าฉันไม่สนใจได้ยังไง?”

หวานเจียงกลอกตาใส่จ้าวเฉียน จากนั้นพลันเหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษบนโต๊ะ จู่ๆ เธอก็สนใจขึ้นมา

ทว่าจ้าวเฉียนรีบคว้ากระดาษแผ่นนั้นกลับขึ้นมือทันทีและกล่าวว่าข

“เธออ่านไม่ได้ นี่เป็นความลับทางธุรกิจของครอบครัวฉัน”

หวานเจียงขดริมฝีปากบึ้งและกล่าวตอบไปว่า

“ก็เผื่อฉันจะช่วยอะไรนายได้บ้างไง เลยกะจะหยิบมาดู ว่าไงให้ฉันช่วยไหมล่ะ?”

จ้าวเฉียนไม่สนใจฟังเธอแม้แต่น้อย เนื้อหาในกระดาษแผ่นนี้ไม่ว่ายังไงก็ห้าให้คนนอกดูโดยเด็ดขาด พอคิดได้แบบนั้นเขาหก็หยิบมือถือออกมาและถ่ายรูปเก็บไว้ จากนั้นก็เผากระดาษแผ่นนั้นทันทีต่อหน้าต่อตาหวานเจียง

ซึ่งการกระทำแบบนี้ยิ่งทำให้หวานเจียงสนใจเข้าไปใหญ่ เธอเอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่นายไม่เชื่อใจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงขนาดต้องเผาทำลายหลักฐานกันเลย? ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ถึงฉันจะไม่ชอบขี้หน้านาย แต่ฉันเล่นอะไรก็มีขอบเขตนะ”

จ้าวเฉียนส่ายหัวกล่าวกับหวานเจียงพร้อมน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“วันหลังห้ามหยิบจับสิ่งของส่วนตัวของฉันเด็ดขาดหากไม่ได้รับอนุญาต เข้าใจไหม?”

หวานเจียงปั้นหน้าบึ้งไม่มีความสุขเลย ขณะที่กำลังจะปริปากระเบิดอารมณ์ใส่ ทันใดนั้นจ้าวฝู่ก็โทรสายหาจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนรับสายทันทีและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ฮาโหลพ่อ ว่าไง?”

“แกรีบมาหาฉันเดี๋ยวนี้เลย! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

จ้าวฝู่ตะโกนลั่นพินิจดูแล้วกำลังทุกข์ร้อนใจอย่างหนัก

จ้าวเฉียนไม่กล้ารอช้า รีบวิ่งออกหาในบัดดล

“พ่อ! เกิดอะไรขึ้น!?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามทันทีด้วยความตื่นตูม

จ้าวฝู่กำหมัดแน่นเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธจัด เขากล่าวขึ้นว่า

“พวกบอดี้การ์ดที่แกส่งไปเฝ้าหลุมศพคุณย่าโทรมารายงานว่า ตอนนี้หลุมศพถูกทุบเละ! แถมอีกฝ่ายยังทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้อีก มันคือหัวเซียงชาน! แกรีบไปสั่งสอนมันเดี๋ยวนี้!”

“อะไรนะ?!”

จ้าวเฉียนคำรามลั่น ก่อนจะจากไปตอนนั้นจ้าวเฉียนเคยบอกหัวเซินซวนไปแล้วว่า ถ้าจะมาแก้แค้นก็ให้เล่นตามเกมอย่างยุติธรรม อย่าแว้งกัดกัน แต่ใครจะไปคิดว่าตระกูลหัวจะทำเรื่องไร้ยางอายขนาดนี้ได้ลง!

จ้าวเฉียนในตอนนี้โกรธจัด วิ่งออกไปตะโกนลั่นคฤหาสน์

“ลุงหวัง! ลุงหวังอยู่ไหน!”

ลุงหวังที่จ้าวเฉียนเรียกไปชื่อหวังเจ๋อหัวหน้าพ่อบ้านสกุลจ้าว

“คุณชาย! เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ?”

หวังเจ๋อรีบวิ่งมาหาทันทีด้วยความตกใจ

“โทรระดมพลบอดี้การ์ดทั้งหมดมา แล้วโทรหาอาเปา อาอันบอกให้พวกเขาเรียกรปภ.จากบริษัทกับพวกลูกเรือจากท่าเรือมาให้หมด! รวมพลกันที่นี่ก่อนมืด!”

สุ้มเสียงตะโกนของจ้าวเฉียนทั้งดุดันและแกร่งกร้าวอย่างยิ่ง ทำเอาหวังเจ๋อหวาดผวาไปชั่วขณะ ก่อนจะได้สติพยักหน้าตอบและอาสาเป็นผู้นำโทรรายงานบรรดาญาติๆ ของจ้าวเฉียนให้ระดมพล

อวีกุ้ยเฟิงที่กำลังเตรียมงานเลี้ยงมื้อค่ำในห้องครัว พอได้ยินเสียงตะโกนของลูกชายก็พลันรู้ได้ทันทีว่า ต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น เธอจึงวางทุกอย่างในมือและวิ่งออกมาหาทันใด

หวานเจียงเองก็ได้ยินเสียวงตะโกนนี้เช่นกัน จึงรีบวิ่งออกมาดูอย่างรวดเร็ว

อวีกุ้ยเฟิงเอ่ยถามขึ้นว่า

“ลูกแม่ เกิดอะไรขึ้น?”

จ้าวเฉียนกรนเสียงเรียบตอบกลับไปว่า

“ไม่มีอะไรครับแม่ เข้าครัวไปทำอาหารต่อเถอะ”

“จะบ้าเหรอ! จู่ๆ ก็เรียกระดมพลใหญ่โตขนาดนี้ แล้วแม่ยังจะอยู่เฉยได้อีกเหรอ?”

อวีกุ้ยเฟิงเอ่ยท้วงด้วยความเป็นห่วง

ในเวลาเดียวกัน จ้าวฝู่ก็เดินออกมา เขากล่าวกับอวีกุ้ยเฟิงอย่างใจเย็นว่า

“อย่าไปจี้ถามลูกมากเลย เรื่องนี้ปล่อยให้ลูกของเราจัดการเถอะ และผมก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปแทรกแซงเด็ดขาด ฝากโทรไปบอกสำนักงานเขตด้วยว่า คืนนี้ตระกูลจ้าวจะเคลื่อนไหว พวกเขาคงฉลาดพอที่จะรู้ว่าควรทำยังไงต่อ”

อวีกุ้ยเฟิงเข้าใจได้ในทันที เรื่องนี้ต้องรุนแรงอย่างมากจนถึงขึ้นระดับภาครัฐ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เธอไม่เพียงแต่โกรธจ้าวเฉียนเท่านั้น แต่เธอยังโกรธจ้าวฝู่ด้วยที่ยังนิ่งเฉยกับเหตุการณ์ในขณะนี้

ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่กล้าพูดอะไร และรับยกหูโทรแจ้งกับทางภาครัฐทุกระดับไว้ก่อนล่วงหน้า

จ้าวเฉียนยืนอยู่หน้าโถงใหญ่ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ สีหน้าดูแค้นอาฆาตราวกับยักษ์ คู่มือกำหมัดแน่น หัวใจดั่งถูกมีดคมกรีดจะเลือดซิบ หากวันนี้ไม่คิดบัญชีกับตระกูลหัวให้สาสม เขาก็ไม่ขอเป็นคนสกุลจ้าวแล้ว!

และนี่เป็นครั้งแรกที่หวานเจียงได้เห็นจ้าวเฉียนเป็นแบบนี้ ก่อนหน้าที่ทั้งคู่ทะเลาะกัน ความโกรธของจ้าวเฉียนเป็นแค่เศษเสี้ยวของในตอนนี้ก็ว่าได้ แค่ดูจากสีหน้าก็รู้แล้วว่าจ้าวเฉียนแค้นอาฆาตขนาดไหน

เธอย่างเท้าก้าวออกไปหาอย่างแช่มช้า เดินเข้าไปกอดแขนของจ้าวเฉียนด้วยความอ่อนโยนและเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบาขึ้นว่า

“ใจเย็นๆ ก่อนนะ ทุกปัญหามีทางแก้เสมอจริงไหม?”

จ้าวเฉียนหันศีรษะชำเลืองมองหวานเจียงเล็กน้อย คลี่ยิ้มบางให้และกล่าวตอบไปว่า

“ไม่มีอะไรหรอก เธอกลับไปพักที่ห้องก่อนเถอะ”

ต่อหน้าจ้าวเฉียนในตอนนี้ เธอไม่กล้าแม้แต่จะขัดคำสั่งและพยักหน้าเดินหันหลังกลับเข้าห้อง ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้อง เธอชะงักฝีเท้าอีกครั้งและหันมาพูดกับเขาเบาๆ ว่า

“ระวังตัวด้วยนะ”

หลังพูดจบ เธอก็เดินเข้าห้องไปโดยตรง

จ้าวเฉียนยังคงยื่นรออยู่แบบนั้นรอให้ทุกคนมาถึง