บทที่ 93 ประพันธ์ใหม่ Ink Stone_Fantasy
สารถีมีประสบการณ์สูงทีเดียว ลูเซียนไม่รู้สึกถึงความขรุขระของถนนลุ่มๆ ดอนๆ เลยแม้แต่นิด
ด้วยสารพัดเรื่องราวประดังประเดในหัว เมื่อลูเซียนหยุดคิด รถม้าก็มาถึงหน้าคฤหาสน์ของลอร์ดเว็นน์แล้ว
“ท่านอีวานส์ ถึงแล้วขอรับ ให้ข้าบอกทหารองครักษ์ให้ไหมขอรับ?” สารถีหันกลับมาถามลูเซียนอย่างสุภาพ สุภาพบุรุษชนชั้นสูงมักไม่คุยกับทหารองครักษ์ระดับล่างด้วยตัวเอง
“ไม่เป็นไร ขอบใจนะ” ลูเซียนยิ้ม “เพื่อนของข้าเป็นอัศวินฝึกหัดอยู่ที่นี่ เราไม่ถือชนชั้นกันหรอก”
เมื่อสามารถปลุกพลังแฝงจาก ‘พร’ ได้แล้ว ลูเซียนเหลือเพียงอีกขั้นเดียวที่จะได้ขึ้นชั้นเป็น ‘อัศวิน’ อย่างไรก็ตาม ในห้วงความคิด เขาและจอห์นเป็นสหายที่ดีต่อกันมาตลอด และไม่มีความแตกต่างทางชนชั้นวรรณะระหว่างกัน
วันนี้ เอียนกับดูราโกรักษาการณ์หน้าประตูทางเข้า ทั้งสองยืดอกตรงทันทีเมื่อเห็นรถม้าชั้นดีกับตราประจำตระกูล ‘กระทิงเพลิง’ พร้อมต้อนรับแขกผู้มาเยือน
ทั้งสองต่างประหลาดใจเมื่อเห็นลูเซียนอีกครั้ง ทั้งคู่ยังจำเขาได้ดี เท่าที่จำได้ ลูเซียนเป็นเพียงยาจกยากไร้ที่ไม่เคารพพวกเขาเท่าที่ควร แต่ตอนนี้ เขาสวมเสื้อขาวคลุมเสื้อสูทสีดำ ชายหนุ่มผู้นี้มีอากัปกริยาราวกับขุนนางชนชั้นสูง
ทั้งสองยังใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนลูเซียนมายืนอยู่ตรงหน้า “ขอ… ขออภัย ท่านมาหาจอห์นหรือขอรับ?”
“ใช่” ลูเซียนจำทั้งสองไม่ได้
เมื่อเอียนกำลังจะเข้าไปยังคฤหาสน์ ดูราโกถามด้วยความลังเลเล็กน้อย “ขออภัย ท่านคือ… ท่านอีวานส์ใช่ไหม?”
หลังจากความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของมหรสพดนตรีของวิกเตอร์ แม้แต่จอห์นซึ่งปกติเป็นชายหนุ่มที่ถ่อมตัวมากคนหนึ่ง ยังไม่อาจอดใจที่จะไม่เล่าเรื่องลูเซียนและคำชมเชยมากมายที่สหายรักของเขาได้รับจากแกรนด์ดยุก พระคาร์ดินัลหลวง และเจ้าหญิง
“ใช่ ข้าเป็นสหายของจอห์น” ลูเซียนตอบ
“ผลงานของท่าน ‘เพลงชะตาชีวิต’ ได้บรรเลงในงานเลี้ยงของท่านลอร์ดเว็นน์เมื่อหลายวันก่อน มันมหัศจรรย์มาก!” ดูราโกพูดกับลูเซียนด้วยใจระทึก “ข้าขออภัยเป็นอย่างสูงที่ข้าเคยทำตัวหยาบคายกับท่าน”
ชายร่างใหญ่กำยำคนนี้เป็นคนซื่อๆ และรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ ลูเซียนนึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องบาดหมางระหว่างพวกเขาก่อนหน้านี้ และค่อนข้างแปลกใจที่ดูราโกเองก็สนใจในดนตรี
แล้วลูเซียนก็นึกขึ้นมาได้ว่านครอัลโต้ เป็นเมืองแห่งเพลงสรรเสริญพระเจ้าจริงๆ
“ก็ดีแล้ว ข้าดีใจที่เจ้าชอบเพลงของข้า” ลูเซียนตอบอย่างสุภาพ
เอียนที่ยืนอยู่ข้างดูราโกได้แค่ยิ้มหน้าเจื่อนๆ
หลังจากจบงานมหรสพดนตรี ลูเซียนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือจากการปฏิบัติตนของผู้คนต่างๆ การขอโทษอย่างจริงใจของดูราโกและคำเยินยอทั้งหมดจุดประกายความคิดของลูเซียน การยกระดับสถานภาพทางสังคมอย่างกะทันหันทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลายเดือนที่ผ่านมากลายเป็นฝันที่อยู่ไกลลิบตา
“ท่านอีวานส์ ข้าขอเชิญท่านมาบ้านข้าได้ไหม?” ดูราโกถูมือประหม่าด้วยความตื่นเต้น
หาข้ออ้างต่างๆ นานา ลูเซียนปฏิเสธเขาอย่างสุภาพ แต่เขาก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
ไม่นาน จอห์นก็เดินตามหลังเอียนออกมา ท่าทางดูแปลกใจ “ลูเซียน! บ่ายนี้ ข้ากำลังจะกลับบ้านอยู่พอดี มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
“มี แต่จบเรื่องแล้ว ไม่ต้องห่วง” ลูเซียนดึงแขนจอห์น “เข้าไปในรถม้าก่อน”
สารถีชรามีไหวพริบพอที่จะรู้ว่าเขาไม่ควรฟังบทสนทนา เขาผูกม้าไว้กับเสาผูกม้าแน่นหนา เดินออกไปไกลจากรถม้า และสูบยาสูบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
เมื่อจอห์นฟังเรื่องที่ลูเซียนเล่า เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ข้อมือเขาซีดขาวขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจากเขากำหมัดแน่นมากจนตัวสั่นไปทั้งตัว เมื่อได้ยินว่าพ่อแม่ของเขาถูกตัดนิ้ว ฟันเขากัดแน่น อย่างไรเสียจอห์นไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เขายังคงเงียบและฟังอย่างตั้งใจ
“ข้าขอโทษจริงๆ จอห์น” ลูเซียนพูด ในหัวใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ก้มหน้าลง จอห์นไม่ได้ตอบในทันที
ลูเซียนรู้ว่าเพื่อนของเขาต้องการเวลาทำใจให้เย็นลง ให้หายจากความเจ็บแค้น เขานิ่งเงียบไปตามจอห์น
สักพักใหญ่ จอห์นก็เริ่มพูด
“ลูเซียน ไม่ใช่ความผิดเจ้า ข้าไม่โทษเจ้าหรอก”
นั่นเป็นสิ่งแรกที่จอห์นพูดกับลูเซียน แทนที่จะแสดงความโกรธแค้นออกมา จอห์นเลือกที่จะพูดให้เพื่อนสนิทสบายใจ ไม่ต้องรู้สึกผิด
ลูเซียนค่อนข้างแปลกใจและซาบซึ้งใจ “ขอบใจมาก จอห์น ที่เจ้าพูดมีความหมายต่อข้ามาก”
ขณะที่จอห์นกำลังจะลงจากรถม้าเพื่อไปขอลาพักงาน ลูเซียนหยุดเขาไว้
“เดี๋ยวก่อน จอห์น นี่ผงกุหลาบแสงจันทร์ยี่สิบกรัม” ลูเซียนหยิบถุงใบเล็กๆ ออกมายื่นให้สหายของเขา
จอห์นได้รับรู้ที่มาที่ไปของ ‘ผงกุหลาบแสงจันทร์’ หลังจากผ่านไปเกินกว่าสิบวินาที เขาก็คว้าถุงจากมือของลูเซียนด้วยความมุ่งมั่น
“ขอบใจนะ ลูเซียน ข้าจะปลุก ‘พร’ ให้สำเร็จ ข้าจะปกป้องครอบครัวและสหายของข้าให้ได้” จอห์นพูดน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ต้องรีบร้อน ทำตามคำแนะนำของลอร์ดเว็นน์ ค่อยๆ ศึกษาไป” ลูเซียนเสริม “เจ้าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้ไหม? ข้าโกหกเจ้าหญิงไปเรื่องที่มาของผงกุหลาบพวกนี้”
“เจ้ารู้จักข้าดี ลูเซียน ปากข้าปิดสนิทไม่ต่างจากคนตาย” จอห์นตบไหล่สหายของเขาและให้สัญญาจริงจัง
…
การปรากฏตัวของรถม้าตระกูลเฮย์นสร้างความฮือฮาให้กับเขตอะเดรอน ซึ่งเป็นเขตยากจนที่สุดของเมือง แม้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่อาจบอกชื่อตราประจำตระกูลใหญ่ๆ ของในนครอัลโต้ได้ แต่ก็จำใส่ใจไว้ตลอดถึงชื่อตระกูลขุนนางชนชั้นสูงที่ทรงอำนาจที่สุดสองสามตระกูล
โจเอล อะลิซ่า และไอเวิน ถูก ‘ศาสนจักร’ ปล่อยตัวกลับมาที่บ้านแล้ว พวกบาทหลวงไม่ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มากนัก
เมื่อเห็นจอห์นและลูเซียนลงมาจากรถม้า อยู่ๆ ไอเวินร้องไห้ออกมา ราวกับเด็กน้อยต้องการล้างความทรงจำอันโหดร้ายให้หายไปกับน้ำตา
จอห์นลูบหัวไอเวินเบาๆ ก่อนจะกอดเขาแน่นๆ “ไม่เป็นไรแล้วนะไอเวิน เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจ้าทำได้ดีมาก พระเจ้าคุ้มครองเรา”
ลูเซียนกอดลุงโจเอลกับป้าอะลิซ่า การขอโทษ ความกังวล และความดีใจต่างๆ ผสมปนเปกันในอ้อมกอดนี้
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ลูเซียน” โจเอลกับอะลิซ่าปลอบใจเขา “เจ้าก็เห็นนี่… เราปลอดภัยแล้ว”
การตกเป็นตัวประกันของพวกนอกรีตชั่วช้า ทั้งสองไม่คิดเลยว่าจะสามารถรอดชีวิตออกมาได้ พอถูกช่วยเหลือออกมา ทั้งสองรู้สึกขอบคุณ ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ ตอนนี้พวกเขาเข้าใจและรู้จักให้อภัยได้มากขึ้น เมื่อได้เผชิญหน้ากับความตายแล้วก็ไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไป
อะลิซ่าและโจเอลเล่าให้ลูเซียนฟังเรื่องที่ถูก ‘ศาสนจักร’ และ ‘หน่วยสืบราชการลับ’ ของราชรัฐสอบปากคำ เรื่องที่คณะบาทหลวงและหน่วยสืบราชการลับกังวลที่สุดคือเรื่องที่อะลิซ่าและโจเอลเล่าว่าพวกเขาหมดสติอยู่นอกห้องขัง แต่อัศวินกลับไปเจอทั้งสองอยู่ภายในห้องขังกับไอเวิน
ด้วยสายฟ้าคำรามดังสนั่นหวั่นไหวจากพลังของท่านหญิงคามิลทำให้พวกเขาสลบไสลในทันที ไม่มีตัวประกันคนไหนสามารถให้ข้อมูลที่มีประโยชน์เลย จนแล้วจนรอด คนจาก ‘ศาสนจักร’ และ ‘หน่วยสืบราชการลับ’ สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะตอนแรกพวกนอกรีตขังตัวประกันไว้ในห้องขังเพื่อไม่ให้หนีไป และต่อมา พวกเขาไม่มีเวลาพอที่จะกลับมาฆ่าตัวประกันทิ้งทั้งหมด
“พวกเราโชคดีมาก ขอบคุณพระเจ้า!” อะลิซ่าเล่าให้ลูเซียนฟังไป เช็ดน้ำตาไป
ตอนนั้นเอง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เป็นคอเรลล่าและทหารองครักษ์จากศาสนจักรคนหนึ่งที่ลูเซียนไม่รู้จัก
ลูเซียนโล่งอกขึ้นมาหน่อยที่เห็นศาสนจักรส่งอัศวินฝึกหัดมาเท่านั้น นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยจากศาสนาจักรจริงๆ
หลังจากการสอบปากคำไม่กี่คำตามขั้นตอนปกติแล้ว คอเรลล่าก็ยืนขึ้นขอบคุณลูเซียนในนามของ ‘ศาสนจักร’ “ท่านบิชอปชื่นชมสิ่งที่เจ้าทำมาก ถ้าไม่ได้ข้อมูลจากเจ้า เราอาจเกิดความสูญเสียใหญ่หลวง”
ตัวตนด้านดนตรีของลูเซียนทำให้ ‘ศาสนจักร’ แทบจะไม่มีทางหาความเชื่อมโยงระหว่างตัว ‘ศาสตราจารย์’ กับ ‘ที่ปรึกษาส่วนพระองค์’ ของเจ้าหญิง อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีเรื่องบังเอิญหลายเรื่องที่ลูเซียนเข้าไปพัวพัน ซึ่งทางศาสนจักยังหาคำอธิบายไม่ได้
…
ลูเซียนได้กลับมาใช้ชีวิตปกติในที่สุด ทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนดนตรีและศึกษาเวทมนตร์ เขายังขอให้โจเอลและครอบครัวย้ายไปอยู่กับเขาในบ้านหลังใหม่ชั่วคราว เพราะเขตเกซูปลอดภัยกว่าเขตอะเดรอน
ช่วงนี้ ลูเซียนไม่เคยชำเลืองมองที่รอยแตกกำแพงที่เขามักทิ้งข้อความลับสื่อสารกับพวกนักเวทฝึกหัดแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยความรอบคอบ เขาเลื่อนแผนการทำลายห้องทดลองเวทมนตร์ออกไปก่อนในตอนนี้
วันนี้ วิกเตอร์เริ่มสอนลูกศิษย์เรื่อง ‘แคนอน’ กลวิธีการประพันธ์เพลงทำนองสอดประสานที่ใช้ทำนองเลียนแบบกันที่เล่นตามห้วงเวลาที่ผู้ประพันธ์กำหนดขึ้น
ด้วยกฎเพียงไม่กี่ข้อ แม้แต่ผู้เริ่มต้นเรียนดนตรีขั้นพื้นฐานก็สามารถเข้าใจ ‘แคนอน’ ได้ดี
“จริงๆ แล้ว เจ้าเคยใช้ ‘แคนอน’ ไปแล้วใน ‘เพลงซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต’ โดยไม่รู้ตัว ลูเซียน” วิกเตอร์ออกความเห็นชี้แนะ “เหมือนว่าเจ้าเรียนรู้จากห้องสมุดของสมาคมมาเยอะเชียวนะ”
“ใช่… ขอรับ ข้าก็คิดเช่นนั้น ขอบคุณขอรับ อาจารย์วิกเตอร์” ลูเซียนตอบแบบเหม่อๆ
สมองของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความคิดว่าเขาจำเป็นต้องสร้างผลงานทางดนตรีให้มากพอ เพื่อให้สามารถจัดงานแสดงดนตรีของตัวเองตามความต้องการของไรน์ เมื่อแปดสิบปีก่อน บางคีตกวีสร้างผลงานเพลงที่คล้ายกับเพลง ‘แคนอนในบันไดเสียง’ หรือ ‘แคนอนและจิ๊กในบันไดเสียง’ ของโยฮัน พัคเค็ลเบิล ในโลกเดิมของลูเซียน อย่างไรก็ตาม เขาอาจประพันธ์เพลง ‘แคนอน’ ของพัคเค็ลเบิลใหม่ให้เป็นบทเพลงเปียโนคอนแชร์โต้ หรือการเดี่ยวเปียโน
แม้ว่าเขาก็อยากจะมีผลงานเพลง ‘ต้นฉบับ’ ในการแสดงดนตรีของส่วนตัวมากกว่านี้ แต่การเรียบเรียงเพลงใหม่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการร่นเวลาเพื่อให้มีบทเพลงมากพอให้เร็วที่สุด
……………………………………….