บทที่ 343 ชาตระหนักรู้ เจ้าใช้โอ่งต้มรึ

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 343 ชาตระหนักรู้ เจ้าใช้โอ่งต้มรึ

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับราชาเทพคุนยืนประชันหน้ากันกลางอากาศ

พลังไร้รูปตัดสลับระหว่างสองคน ทันใดนั้นมวลอากาศพังทลายลง เกิดเป็นรอยแยกสีดำหลายสาย

ศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มากมายกับชนรุ่นหลังเผ่าคุนจำนวนมาก ตอนนี้ต่างมองผู้อริยะสองคนด้วยดวงตาลุกวาว

พวกเขารู้ว่าสองคนนี้จะต้องกำลังใช้พลังจิตและกฎเกณฑ์ปะทะกันอย่างลับๆ แน่นอน ดังนั้นถึงได้แสดงลูกเล่นของตนต่อผู้แข็งแกร่งขุมอำนาจอื่น

นี่ คือการประชันของพลังและศักยภาพ!

ตอนนี้ระยะหลายพันจั้งรอบเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์และราชาเทพคุนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ หรืออาจพูดได้ว่าไม่มีใครเข้าใกล้ได้ เพราะพลังอำนาจในมวลอากาศรุนแรงเกินไป

ต่อให้เป็นพวกผู้อาวุโสสูงสุดเผ่าคุนระดับฝ่าด่านเคราะห์พวกนั้น ภายใต้อำนาจคุกคามนี้ก็ยังแทบจะรับไม่ไหว

พวกเขามองเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ด้วยความหวาดกลัว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

เจ้านั่นในตอนนั้น ตอนนี้แข็งแกร่งเช่นนี้แล้ว

ต้องรู้ว่าก่อนราชาเทพคุนจะฝึกวิชาคุนเผิงสมบูรณ์ ก็เป็นผู้แข็งแกร่งสุดยอดของเผ่าคุนแล้ว หากไม่เช่นนั้น ในเผ่าอสูรที่ยกย่องผู้แข็งแกร่งนี้ คงไม่มีทางดำรงตำแหน่งเจ้าเผ่าได้อย่างมั่นคง

กล่าวได้ว่านอกจากผู้อริยะคุนแก่ที่ใกล้จะสิ้นอายุขัยพวกนั้นแล้ว ราชาเทพคุนแทบจะไร้พ่ายในเผ่าคุนแล้ว

และหลังจากฝึกวิชาคุนเผิงสมบูรณ์ ศักยภาพของราชาเทพคุนก็ยกระดับไปอีกขั้น แทบจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังไม่อาจกำราบเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้

ไหนว่าตอนนั้นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับราชาเทพคุนสู้กันเจ็ดวันเจ็ดคืนยังยากจะตัดสินแพ้ชนะได้ไม่ใช่รึ

เหตุใดตอนนี้ราชาเทพคุนเพิ่มศักยภาพแล้ว ยังไม่อาจปราบเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้อีก นี่มันน่าเหลือเชื่อ!

“เป็นเพราะเปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์! เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์หาบทต้องห้ามในคัมภีร์จักรพรรดิเทพสวรรค์กลับมาได้ ทั้งยังเริ่มฝึกก่อนเจ้าเผ่า”

“มิน่า เดิมทีเมื่อหมื่นปีก่อนแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็เป็นหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แกร่งที่สุดในดินแดนบูรพาอยู่แล้ว เพียงแต่มรดกหายสาบสูญไปจำนวนมากถึงค่อยๆ ถดถอยลง”

“แม้วิชาคุนเผิงจะไร้พ่ายเป็นสากล แต่บทต้องห้ามคัมภีร์จักรพรรดิเทพสวรรค์เทียบกับวิชาคุนเผิงแล้ว ก็ด้อยกว่าครึ่งส่วนเท่านั้น เสมอกันได้จริงๆ”

“ช่วยไม่ได้ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสมอกับเจ้าเผ่าได้ เพียงเพราะเขาได้เปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์เร็วกว่า ขอแค่เจ้าเผ่าฝึกวิชาคุนเผิงต่อไปอีกหน่อย จะต้องเอาชนะเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้แน่”

“แต่พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็มีสิทธิ์ฝึกวิชาคุนเผิงเช่นกัน อีกทั้งบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยังอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์”

“พรวด เหมือนจะมีเหตุผล รังแกคุนแล้ว~”

……

พวกผู้อาวุโสเผ่าคุนที่เดิมทีพูดคุยกันคึกคักขึ้นฟ้าพลันหายใจไม่ออก

แก้ผ้าเอาหน้ารอดกันแล้ว

มีอะไรให้เปรียบเทียบได้กัน

ต่อให้ราชาเทพคุนเอาชนะเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แล้วอย่างไร

อีกฝ่ายก็ยังมีบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์บุตรแห่งโชคอย่างเสิ่นเทียนคอยช่วยอยู่!

ด้วยดวงชะตาและพรสวรรค์ของเจ้านี่ ขอแค่ให้เวลาเขาพันแปดร้อยปี เกรงว่าคงเป็นจักรพรรดิฮวงสืออีกคน

ถึงตอนนั้นจะเอาอะไรมาเปรียบเทียบ

กอดต้นขาเป็นปลาเค็มหลังก้นจักรพรรดิเสิ่นไม่ดีกว่าหรือ

ขณะที่ทุกคนครุ่นคิด ในที่สุดการปะทะกันของพลังระหว่างเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์และราชาเทพคุนก็ค่อยๆ สงบลง

สายฟ้าประกายเซียนรอบตัวเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อมเบาๆ เอ่ยเสียงเฉยชา “ในเมื่อเทียนเอ๋อร์ตกลงเป็นพันธมิตรมนุษย์กับเผ่าคุนแล้ว ข้าก็จะไม่คัดค้าน”

นัยน์ตาราชาเทพคุนขยับประกายปวดใจขึ้นมา แต่กลับยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็หวังว่าฝ่ายท่านและเผ่าข้าจะสร้างสัมพันธมิตรกันไปจวบจนชั่วนิรันดร์”

แม้ครั้งนี้จะเลือดออกไปไม่น้อย แต่ราชาเทพคุนก็มองว่าคุ้มค่า

ถึงอย่างไรตอนนี้โอรสสวรรค์ห้าดินแดนก็ปรากฏตัวขึ้น แดนลับและสมบัติสุดยอดที่ยากจะพานพบได้ในหลายร้อยปีพันปีปรากฏขึ้นมาอย่างถี่ๆ

นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีอะไร ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ถ้าปรากฏยุคทองคำเช่นนี้ ปกติหมายความว่ามหากลียุคใกล้เข้ามา ต้องมีคนต้านหายนะ

ในยุคเช่นนี้ การผูกมิตรกับผู้สูงส่งหนุ่มที่มีคุณสมบัติไร้พ่าย เป็นสิ่งจำเป็นต่อการคงอยู่ต่อไปของเผ่าพันธุ์

คุนซวีมองเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ลึกๆ ส่วนลึกในแววตามีความปีติยินดี

ดีที่ตอนนั้นข้าสู้กับเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์และได้รู้จักกัน มีความสัมพันธ์ที่ใช้ได้ ไม่เช่นนั้นวันนี้เกรงว่าคงยากจะจบเรื่องได้!

พี่ใหญ่ของสองขุมอำนาจใหญ่เจรจากันลงตัวแล้ว

ผู้อาวุโส ศิษย์และชนรุ่นหลังของสองฝ่ายต่างคิดว่าฝ่ายตนไม่เสียเปรียบ จึงยืดอกขึ้นด้วยความห้าวหาญมีเสน่ห์กัน วางมาดอวดดีว่า ‘ภูมิหลังข้าไร้พ่าย’

โดยเฉพาะบนชั้นหนึ่งของเรือเหาะเทพสวรรค์ ศิษย์เทพสวรรค์พวกนั้นติดตรา ‘กลุ่มสวรรค์พิทักษ์’

หลายคนยังชูแผ่นคำขวัญ ‘จุดสูงสุดแห่งเซียนโอหังต่อโลก’ เหมือนกลัวว่าเสิ่นเทียนจะไม่เห็น

ตรงนี้ เสิ่นเทียนได้แต่มุมปากกระตุกนิดๆ เอามือตบหน้าผาก

ไม่ต้องบอกเลย จะต้องเป็นฝีมือของพวกซ่งและหลิวแน่

จริงๆ เลย…นี่อยู่ทะเลอุดรนะ!

อยู่เงียบๆ หน่อยไม่ได้รึ

มาอวดดีในถิ่นคนอื่นเขาเช่นนี้ ไม่กลัวถูกทุบตีรึ

แต่ก็เขียนคำขวัญนี้ได้ไม่เลวเลย

ฮิๆๆๆๆๆ~

…….

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ลูบแขนเสื้อ บันไดเทพสีทองสว่างจ้าพลันยืดยาวจากใต้เท้าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ลงไปข้างเสิ่นเทียน

เสิ่นเทียนขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะพุ่งผ่านบันไดเทพทองไปยังเรือเหาะเทพสวรรค์ ชุดผ้าแพรมังกรขาวโบกสะบัดตามสายลม ดูลอยล่องเหนือธรรมดาเป็นพิเศษ

ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ประชันกับราชาเทพคุนกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนแล้ว เช่นนั้นตอนนี้ เสิ่นเทียนก็ดึงดูดสายตาของทุกคนไป

เขายืนอยู่ตรงนั้นเหมือนกับใจกลางของโลก

ไม่อยากเชื่อว่าโลกนี้จะมีบุรุษรูปงามเช่นนี้ น่าเหลือเชื่อ!

จางอวิ๋นซีสวมเกราะแสงสว่างพยัคฆ์ขาว ยืนหน้าสุดของศิษย์เทพสวรรค์ด้วยความสง่าผ่าเผย มองเสิ่นเทียนด้วยดวงตาปานสายน้ำ

ศิษย์น้อง ไม่ได้พบกันนาน!

เสิ่นเทียนบินกลับมาเรือเหาะเทพสวรรค์แล้วก็คารวะเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อน “ศิษย์เสิ่นเทียน ขอคารวะอาจารย์”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พยักหน้าอย่างเฉยชา อ่านอารมณ์ไม่ออก เพียงแต่สายฟ้าประกายเซียนบนผิวกายเขากระเพื่อมชัดเจนขึ้น “ไปคุยกับพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้าเถอะ!”

การเป็นผู้นำที่ดีก็ต้องมีกำลังหลักที่ยอมตายแทนได้ของตน

ในเมื่อให้เสิ่นเทียนเป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แล้ว เช่นนั้นจางหลงหยวนย่อมชี้แนะให้เสิ่นเทียนจัดการเรื่องความสัมพันธ์กับพวกศิษย์พี่ศิษย์น้อง

แต่มองจากผลงานที่ผ่านมาของเสิ่นเทียน ตัวเขามีเสน่ห์พิเศษอยู่แล้ว ทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคนเลื่อมใสกันหมดแล้ว

ถ้าไม่เช่นนั้น จากไปมากกว่าครึ่งปี ก็คงไม่มีทางที่กลุ่มสวรรค์พิทักษ์จะคึกคักกันเช่นนี้ได้

ตอนนี้ศิษย์ทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เจ็ดแปดส่วนร่วมกลุ่มสวรรค์พิทักษ์แล้ว

กระทั่งเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยังสงสัยว่าหากเสิ่นเทียนไม่ใช่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไป ศิษย์พวกนี้จะก่อจลาจลหรือไม่

ถึงอย่างไรตอนนี้เสน่ห์ของเสิ่นเทียนก็รุนแรงจริงๆ แทบจะเทียบเท่ากับเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเขาแล้ว

แน่นอนว่านี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิทธิพิเศษมากมายเช่น ‘ยันต์ระเบิดอัสนีหยินหยางหรือสถานีผลิตกระแสไฟพลังงานลมและน้ำ’ สิทธิพิเศษของกลุ่มสวรรค์พิทักษ์ยั่วยวนเกินไปจริงๆ

และเสิ่นเทียนที่มอบสิทธิพิเศษพวกนี้ให้ย่อมเป็น ‘มหาอริยะ’ ในใจศิษย์มากมายไปแล้ว

จะว่าไปต่อให้ผู้นำแข็งแกร่งกว่านี้ ก็แข็งแกร่งแค่ตัวผู้นำเองเท่านั้น

ให้ผลประโยชน์กับลูกน้องได้ต่างหากคือสิ่งสำคัญ!

………..

หลังจากเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับราชาเทพคุนหารือส่วนตัวกันแล้ว ก็ขับเรือเหาะเทพสวรรค์ออกจากหุบเหวสิ้นหวัง

เพราะตอนนี้บนเรือเหาะเทพสวรรค์มีผู้อาวุโสและศิษย์มากไปจริงๆ การอยู่ในถิ่นเผ่าคุนเป็นเรื่องเสียมารยาทมาก

ถ้าเป็นขุมอำนาจที่ฉุนเฉียวหน่อย ถึงขั้นอาจจะมองว่าเป็นการยั่วยุและประกาศสงครามได้

หากไม่ใช่เพราะต้องแสดงให้เสิ่นเทียนเห็นว่าเขาสำคัญ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะไม่ใช้วิธีล่วงเกินคุนมาเยือนเผ่าคุนสุญตาเช่นนี้เด็ดขาด

เรือเหาะบินขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ผู้อาวุโสจำนวนมากบนชั้นสองมองเสิ่นเทียนอย่างมีเมตตา ในแววตาทุกคนเต็มไปด้วยความชื่นชมและให้ความสำคัญ

ส่วนศิษย์มากมายบนชั้นหนึ่ง ตอนนี้คึกคักเจี๊ยวจ๊าวกว่าเดิม อยากจะเข้ามาล้อมเสิ่นเทียนใจจะขาด

“ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ แซ่หลิวคิดถึงท่านมากเลย!”

“ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ แซ่เจินคิดถึงท่านมากเลย!”

“ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็เช่นกัน!”

มีสามคนพุ่งออกมาจากกลางกลุ่มคน มองเสิ่นเทียนตาปริบๆ ก่อนตะโกนเสียงดัง “กลุ่มเด็กหนุ่มศิษย์สวรรค์พิทักษ์อยู่ที่ใด”

“จุดสูงสุดแห่งเซียน โอหังต่อโลก พยายามฝึกบำเพ็ญทุกวัน ติดตามศิษย์พี่จักต้องเป็นเซียน!”

กระบี่เซียนข้างหลังกลุ่มศิษย์เทพสวรรค์ออกจากกระบี่พร้อมกัน ไอกระบี่ขยับแสงสว่างพร่างพราวตัดสลับกันกลางอากาศ

กระบี่ล้ำค่านับพันนับหมื่นรวมเป็นอักษะใหญ่คำว่า ‘สวรรค์’ ดูสวยงามและทรงอานุภาพมาก

ขณะเดียวกันยันต์อัสนีกันน้ำหลายแผ่นพุ่งขึ้นฟ้า ยิงแสงเทพเจ็ดสี

ส่องสะท้อนทั้งเรือเหาะเทพสวรรค์ขยับแสงวาววับ

เสิ่นเทียนพูดด้วยความจนปัญญา “ศิษย์น้องซ่ง ศิษย์น้องหลิว อย่าทำอะไรที่มันโอ่อ่าเกินไปเช่นนี้ทุกครั้งที่ออกเดินทางได้หรือไม่”

เมื่อเอ่ยจบ เสิ่นเทียนก็มองศิษย์เทพสวรรค์พวกนั้น “ศิษย์น้องทุกท่านไม่ต้องตะโกน จะเจ็บคอเปล่าๆ เดินทางมาไกล ทุกคนเหนื่อยกันแล้ว แซ่เสิ่นจะต้มชาให้ทุกคนดื่มจะได้ชุ่มคอ”

พูดจบแล้วเสิ่นเทียนก็เริ่มยกของออกมาจากแหวนเก็บของ เช่น โต๊ะชา ถ้วยชา เหยือกชา…

คำพูดนี้ทำให้หลิวไท่อี่ เจินจื้อเจี่ยและสยงเหมิ่งมองหน้ากัน เวลานี้มีใบหน้าเศร้าสร้อยอย่างยิ่ง

เถ้าแก่ซางลูบเคราเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “คนหนุ่ม ยังหนุ่มเกินไปจริงๆ ไม่รู้จักน้ำใจของท่านปรมาจารย์สวรรค์เลย

ไม่ได้ยินที่ท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์บอกรึ อย่าทำอะไรที่มันโอ่อ่าเกินไป ‘เช่นนี้’ ทุกครั้งที่ออกเดินทาง เหตุใดถึงเน้นคำว่า ‘เช่นนี้’ พวกเจ้าลองตรึกตรองดูให้ดีๆ”

เวลานี้เถ้าแก่ซ่งไม่มีคราบพ่อค้าในร้านวิญญาณสวรรค์อย่างตอนแรกอีก เขาสวมชุดกระโปรงเมฆขาว เครายาวลอยล่อง แบกอาวุธวิญญาณกระบี่ยาวข้างหลัง กระทั่งมีลักษณะเหมือนคนแก่สุขภาพดีเป็นเซียนแท้จริง

เถ้าแก่ซ่งลูบเคราพลางยิ้ม “แม้แต่การประจบยังไม่มีลูกเล่นใหม่ ทุกครั้งก็เอาแต่ ‘จุดสูงสุดแห่งเซียน โอหังต่อโลก’ ทุกครั้งก็เล่นแต่กระบี่บินและยิงพลุ พวกเจ้าไม่เบื่อ แต่ท่านปรมาจารย์เซียนเบื่อแล้ว

การประจบต้องเน้นที่อะไร เน้นที่การสร้างสรรค์ มีเพียงประจบให้เกิดความรู้สึกแปลกใหม่และมีระดับชั้น ประจบในจุดที่ถูกต้องเท่านั้นถึงจะทำให้ท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์พอใจ

การประจบที่กระด้างและของเดิมเกินไป ไม่อาจทำให้ท่านปรมาจารย์สวรรค์ชื่นชอบได้แล้ว”

……

ซ่งฟู้กุ้ยพูดพลางเดินเนิบนาบมาหน้าเสิ่นเทียนที่กำลังจัดวางเครื่องช้าอยู่ “ศิษย์พี่ออกผจญภัยมานาน ทำงานหนักสร้างคุณความดีมากมาย แต่กลับคิดจะชงชาให้พวกศิษย์พี่ศิษย์น้อง นี่ทำให้แซ่ซ่งซาบซึ้งใจจนหลั่งน้ำตาจริงๆ”

เถ้าแก่ซ่งพูดพลางกระบอกตาแดงขึ้นมานิดๆ “แซ่ซ่งยินดีจะเป็นลูกมือของศิษย์พี่ ช่วยศิษย์พี่ชงชา”

อ้อ

ช่วยชงชารึ

หลังจากศิษย์น้องซ่งเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์ ความคิดและการตระหนักรู้ก็สูงขึ้นเรื่อยๆ

เสิ่นเทียนยิ้ม “ไม่ต้องชงชาหรอก มีศิษย์พี่ศิษย์น้องบนเรือเหาะตั้งเยอะ ถึงตอนนั้นศิษย์น้องซ่งก็ช่วยแจกจ่ายน้ำชาก็พอ”

เอ่ยจบแล้ว เสิ่นเทียนก็ประสานมุทรา

เหยือกชาที่เดิมทีมีขนาดเท่าฝ่ามือขยายใหญ่ขึ้นเป็นร้อยเท่า จนมีขนาดเท่าโอ่งน้ำ

อึกๆๆ น้ำแร่วิญญาณเทใส่เหยือกชายักษ์เหมือนกับไม่ต้องใช้เงินแล้ว

แม้คุณภาพของน้ำแร่วิญญาณพวกนี้จะไม่ถือว่าล้ำค่าอะไรมาก แต่เผาไปอึดใจเดียวโอ่งใหญ่เช่นนี้ก็ค่อนข้างกินเงินเลย

ถ้าคำนวณจริงๆ มูลค่าของน้ำแร่วิญญาณโอ่งนี้คงพอๆ กับอาวุธวิญญาณระดับสูงชิ้นหนึ่ง กระทั่งยังสูงกว่าไม่น้อย

บนเรือเหาะชั้นสอง ผู้อาวุโสแต่ละคนมองน้ำแร่วิญญาณที่เดือดพล่านพลางทำเสียงจิ๊ๆ แอบถอนหายใจ คนหนุ่มสมัยนี้รวยกันจริงๆ!

น้ำแร่วิญญาณคุณภาพระดับนี้ แม้แต่ตอนที่พวกเขาใช้ยังปวดใจกันนิดๆ ถ้าไม่ใช่เพราะห่วงภาพลักษณ์ ก็อยากจะลงไปขอดื่มสักสองถ้วยจริงๆ!

ช่างเถอะๆ ถึงอย่างไรเราก็เป็นผู้อาวุโส จะไปแย่งพวกเด็กๆ ดื่มชาได้อย่างไร!

พวกผู้อาวุโสส่ายหน้า อดยิ้มไม่ได้ เราก็ต้องมีเกียรติ

…..

วินาทีต่อมา เสิ่นเทียนนำใบชาออกมา

นั่นคือใบชาสีม่วง เปล่งแสงสว่างจ้า บนนั้นยังมีท่วงทำนองมรรคลอยอยู่รางๆ

แม้ท่วงทำนองมรรคพวกนี้จะค่อนข้างเข้าใจยากและขาดหายไปบ้าง แต่ตอนที่มันปรากฏขึ้นก็ยังดึงดูดสายตาของทุกคน

กระทั่งบนชั้นสองของเรือเหาะ ยังมีผู้อาวุโสหลายคนซวนเซ เกือบจะหัวปักลงมา

จะโทษว่าเหล่าผู้อาวุโสมีจิตใจไม่มั่นคงไม่ได้ นี่เป็นเพราะเสิ่นเทียนไร้มนุษย์ธรรมเกินไป

นี่มันใบชาตระหนักรู้ในตำนานเชียวนะ!

ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะใช้โอ่งต้ม

……………………