บทที่ 217 ลงโทษเพื่อไต่สวน

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 217 ลงโทษเพื่อไต่สวน
ฉีเฟยอวิ๋นจะกล่าวอะไรได้อีก นางขี้เกียจจะสนใจเขาแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและมองออกไป หนานกงเย่เรียกนางไว้ : “อวิ๋นอวิ๋น”

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะไปเยี่ยมเสด็จอาใหญ่เจ้าค่ะ”

กล่าวจบฉีเฟยอวิ๋นก็เดินจากไป ด้วยสภาพจิตใจที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก

บางทีหนานกงเย่คงไม่ได้ตั้งใจ แต่ฉีเฟยอวิ๋นยังปวดใจกับองค์หญิงใหญ่อยู่

เด็กถูกทำร้าย รู้ทั้งรู้ว่าศัตรูคือใคร ยังจะมาปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกับพวกเขา

เรื่องในครั้งนี้ ทำให้องค์หญิงใหญ่โกรธเกรี้ยวอย่างแน่นอน

ครั้นฉีเฟยอวิ๋นมาถึงคุกใหญ่ก็หยุดยืนอยู่หน้าประตูชั่วครู่ ภายในเป็นห้องไต่สวนโดยเฉพาะ ด้านบนมีตัวอักษรสามพยางค์เขียนไว้ว่าเรียกไต่สวน

ปกติแล้วประตูของที่นี่จะปิดสนิท ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งเคยเห็นด้านในเป็นครั้งแรก

ซึ่งไม่แตกต่างไปจากที่ทำการปกครองเมือง ด้านบนมีโต๊ะมีเก้าอี้ องค์หญิงใหญ่นั่งอยู่ภายใน มีขุนนางที่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีแดงสองคนยืนประกบข้าง ด้านล่างมีคนคอยยืนขนาบทั้งสองข้าง

ห้องนี้ค่อนข้างใหญ่ ภายในยังมีอุปกรณ์ไต่สวนหลากหลายชนิด เห็นแล้วน่าตกใจไม่น้อย

ทันทีที่ฉีเฟยอวิ๋นปรากฏตัวอยู่หน้าประตู องค์หญิงใหญ่มองไปทางนาง และกล่าวว่า : “เข้ามาเถอะ”

ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่เกรงใจ สาวเท้าเข้าไป นางเดินตามหลังเว่ยหลินชวนเข้าไป

“มานั่งข้างกายข้า” องค์หญิงใหญ่ออกคำสั่ง ฉีเฟยอวิ๋นจึงเดินไปนั่งลงข้างกายขององค์หญิงใหญ่

องค์หญิงใหญ่จัดแจงเครื่องแต่งกายและกล่าวว่า : “มาคนเดียวสินะ”

ไม่นานคนที่อยู่ด้านล่างก็พาคนผู้หนึ่งเข้ามา ดูท่าทางน่าจะเป็นชินอ๋องไหนสักคน แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้จัก

อีกฝ่ายมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น ซึ่งเขากลับรู้จักฉีเฟยอวิ๋นดี

ฉีเฟยอวิ๋นใบหน้าเศร้าหมอง ครั้นเห็นแววตาเหยียดหยามของอีกฝ่าย เขาต้องรู้จักนางอย่างแน่นอน ว่าแต่นางเคยไปล่วงเกินใครกันนะ เหตุใดถึงได้มีคนที่ไม่ต้อนรับนางเอาเสียเลย

“ข้าขอถามเจ้า เจ้ามีส่วนร่วมในการวางยาพิษกับท่านอ๋องเย่ใช่หรือไม่?”

“เสด็จอาใหญ่ ลูกไม่รู้เรื่องพ่ะย่ะค่ะ”

ชุ่นชินอ๋องแสดงสีหน้าไร้เดียงสา

องค์หญิงใหญ่หยิบป้ายคำสั่งและโยนลงไปบนพื้น : “ลงมือเถอะ ข้าไม่ค่อยมีความอดทนนัก ไม่ใช่คนที่อ่อนโยนเช่นนั้น ไต่สวนพวกเจ้าก็ต้องมาเกลี้ยนกล่อมพวกเจ้า ถามเจ้า เจ้าก็ไม่ยอมพูด เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูด

เฆี่ยนด้วยคานไม้หนึ่งร้อยครั้ง”

ฉีเฟยอวิ๋นมองตามไป นี่ตั้งใจจะให้ถึงตายเลยหรือ?

“เสด็จอาใหญ่ ลูกคงทนไม่ไหว ได้โปรดเสด็จอาใหญ่ทรงเมตตา ลดจำนวนลงหน่อย ลูกไม่รู้เรื่องจริง ๆ” ชุ่นชินอ๋องถึงกับคุกเข่าลง สีหน้าทุกข์ระทม

องค์หญิงใหญ่ไม่สนใจ : “มาถึงที่นี่ ยังไม่เคยได้ยินว่ามีคนออกไปในสภาพดี แม้แต่ฝ่าบาทข้าก็ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา แล้วนับประสาอะไรกับพวกเจ้า”

ชุ่นชินอ๋องทุกข์ใจอย่างมาก : “เสด็จอาใหญ่ ท่านอ๋องเย่เป็นหลานของท่าน แล้วลูกไม่ใช่หรือ?”

“ปากเก่งนี่ ตบปาก”

ท่านใดนั้นก็มีคนถือคานไม้เดินออกไป ชุ่นชินอ๋องรีบกล่าวขึ้นว่า : “เสด็จอาใหญ่ ได้โปรดไว้ชีวิตลูกด้วย ลูกไม่ทราบจริง ๆ ลูกผิดไปแล้ว”

“ผิดได้ แต่คานไม้คงจะไม่ใช้งานไม่ได้ ตบปากยี่สิบครั้ง”

คนถือคานไม้รุดขึ้นหน้า ส่วนคนอื่นคุมตัวเขาไว้ ชายฉกรรจ์มือหยาบกร้านสลับกันตบตีซ้ายขวา ตีจนปากของชุ่นชินอ๋องสั่น มีเลือดสดไหลออกมาจากมุมปาก ตีจนฟันหลุดออกมาสองซี่

ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนเหงื่อผุดเต็มฝ่ามือ

นี่คือการไต่สวนตรงไหนกัน นี่มันคือการฆ่าคนชัด ๆ!

ครั้นเอ่ยถึงหนานกงเย่ก็คงถูกทรมานให้รับสารภาพ เดิมทีไม่ได้จะให้เจ้าสารภาพ ต่อให้โดนตบจนเป็นเช่นนี้ ก็คงกล่าวอะไรไม่ได้!

ที่องค์หญิงใหญ่กล่าวเมื่อครู่ ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด

ครั้นชุ่นชินอ๋องโดนตบปากจนครบ เจ้าตัวซวนเซเล็กน้อย นางมองไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา บัดนี้โดนตบจนเลือดกกปาก แม้แต่คานไม้ก็ยังเปื้อนไปด้วยเลือด

ชุ่นชินอ๋องล้มลงไปกับพื้น คนที่อยู่ด้านข้างเดินขึ้นมา ลากชุ่นชินอ๋องออกไปเฆี่ยน การเฆี่ยนในครั้งนี้ ชายผู้ห้าวหาญต่างผลัดเปลี่ยนเวียนกันเฆี่ยน เฆี่ยนจนพื้นเจิ่งนองไปด้วยเลือด ไม่ว่าจะเฆี่ยนก้นหรือเฆี่ยนเอว ต่อให้ต้องเฆี่ยนหลัง คนที่โดนเฆี่ยนย่อมปวดร้าวรานถึงภายใน

ฉีเฟยอวิ๋นคิดจะออกปากพูดว่าเหตุใดถึงต้องเฆี่ยนกันถึงตายเช่นนี้ นางเป็นหมอ คงทนเห็นภาพเหล่านี้ไม่ได้

แต่ก็ต้องทนฝืนไม่ยอมปริปากเอ่ยออกไป

หลังจากที่ชุ่นชินอ๋องโดนเฆี่ยนจนครบก็ถูกลากกลับเข้าไปในห้องคุมขัง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นเร็วรัวดังตึก ตึก

“คนต่อไป” ครั้นองค์หญิงใหญ่กล่าวจบ ก็ลากอีกคนเข้ามา

คนที่โดนลากเข้ามาในยามนี้เห็นเลือดเจิ่งนองเต็มพื้น ใบหน้าจึงซีดเผือดลงทันที

“เสด็จอาใหญ่”

กั่วชินอ๋องกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

“ข้าขอถามเจ้า เรื่องที่ท่านอ๋องเย่วางยาพิษ เจ้ามีส่วนร่วมด้วยหรือไม่?”

“ไม่พูดใช่หรือไหม?”

“เสด็จอาใหญ่ ไว้ชีวิต…”

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นกั่วชินอ๋องกำลังจะร้องไห้ ท่าทางบริสุทธิ์ไม่เหมือนคนชั่ว เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางองค์หญิงใหญ่ที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ มิน่าล่ะทุกคนถึงกลัวนาง บางทีจักรพรรดิอวี้ตี้อาจจะเคยโดนมาก่อน

บุตรชายของนางสิ้นใจ บุตรสาวออกเรือนไปยังเมืองอื่น ต่อให้คนเหล่านี้จะคุกคามนางก็คงจะคุกคามไม่ได้ นางปฏิบัติอย่างยุติธรรมโดยไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น

ยิ่งฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังองค์หญิงใหญ่ก็ยิ่งเหมือนอู่เจ๋อเทียน*เข้าไปทุกที

จากนั้นก็หันหน้าไปมองกั่วชินอ๋อง ซึ่งเวลานี้กั่วชินอ๋องตกใจกลัวจนตัวสั่นงันงกไปทั้งตัว

ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก ถึงอย่างไรก็เป็นชินอ๋อง จะไม่มีความเย่อหยิ่งได้อย่างไร

“เฆี่ยนเถอะ”

องค์หญิงใหญ่โยนป้ายคำสั่งออกไป และออกคำสั่ง คนที่อยู่ด้านข้างจึงเดินขึ้นหน้า

เว่ยหลินชวนเหมือนจะรู้จักกั่วชินอ๋อง จึงกล่าววิงวอน : “จงลิ่ง ปกติแล้วกั่วชินอ๋องมีความเมตตาต่อทุกคน ทั้งยังมีร่างกายอ่อนแอ หากเฆี่ยนเช่นนี้…”

องค์หญิงใหญ่มองไป : “แล้วเจ้าคิดว่าควรเฆี่ยนเท่าไหร่ดีละ?”

“ห้าสิบครั้งก็พอพ่ะย่ะค่ะ แค่นี้ก็เกินข้อจำกัดแล้ว” เว่ยหลินชวนคิดพิจารณาอยู่ชั่วครู่

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังองค์หญิงใหญ่ ยามนี้องค์หญิงใหญ่ได้หยิบป้ายคำสั่งและโยนลงไปบนพื้น : “กั่วชินอ๋องรู้ความจริงแต่ไม่รายงาน ไม่ให้ความร่วมมือ ถูกเฆี่ยนหนึ่งร้อยห้าสิบครั้ง จั่วจงเจิ้งเว่ยหลินชวนเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัว ถูกเฆี่ยนหนึ่งร้อยห้าสิบครั้ง”

ฉีเฟยอวิ๋นตื่นตกใจ นั่งไม่เป็นสุขจนเกือบตกเก้าอี้

ครั้นเห็นเช่นนั้น เว่ยหลินชวนจึงรีบคุกเข่าลงทันที

“จงลิ่ง ข้าน้อยขอรับไว้เองสองร้อยครั้ง เฆี่ยนกั่วชินอ๋องหนึ่งร้อยครั้งก็พอพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงใหญ่ไม่สนใจ : “เฆี่ยน”

คนที่เฆี่ยนเดิมทีไม่สนใจผู้ใด ลากทั้งสองคนมาคนละด้าน ขยับแขนและเฆี่ยนทันที

แรกเริ่มทั้งสองคนยังอดทนได้แต่หลังจากนั้นสีหน้าค่อย ๆ แย่ลง

เว่ยหลินชวนที่บอกว่าอีกฝ่ายคงทนไม่ได้ ผลสุดท้ายเขาเองที่ล้มลงไปก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นเว่ยหลินชวนถูกลากไปทิ้งไว้ด้านข้าง เดิมทีนางไม่ได้อยากเข้าไปรักษาเขา ต่อให้นางอยากจะช่วยเขาก็ไม่กล้า

กั่วชินอ๋องถูกเฆี่ยนยังพอมีเรี่ยวแรง กระทั่งถูกลากออกไป

เลือดเจิ่งนองเต็มพื้น อกสั่นขวัญแขวนไม่น้อย

ฉีเฟยอวิ๋นกลับอยากออกไปจากที่นี่ แต่นางก็ไม่กล้า

ผลลัพธ์ที่คิดอยากจะออกไปก็คงเหมือนกับเว่ยหลินชวน ฉีเฟยอวิ๋นสีหน้าเศร้าหมองลง

หลังจากนั้นก็ยังมีการเฆี่ยนตีอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีใครยอมรับเรื่องวางยาพิษ

ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะต้องมีคนตายแน่นอน

หลังจากที่กำลังเฆี่ยนอยู่นั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏกาย ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังผู้หญิงที่ถูกพาเข้ามา

ผู้หญิงคนนั้นย่อกายทำความเคารพ : “เสด็จอาใหญ่เพคะ”

“พระชายาเฉิงชินอ๋อง”

องค์หญิงใหญ่ยังคงนิ่งสงบ ฉีเฟยอวิ๋นกำลังครุ่นคิด ผู้หญิงก็ต้องถูเฆี่ยนด้วยหรือ เหตุใดถึงได้มีผู้หญิงปรากฏตัวเช่นนี้?

“หม่อมฉันเป็นตัวแทนของท่านอ๋องเพคะ”

พระชายาเฉิงชินอ๋องมองอย่างเงียบสงบ ในขณะที่กล่าวก็ยังนิ่งสงบ

แต่ฉีเฟยอวิ๋นมีภูมิคุ้มกันมากพอ ไม่ได้รู้สึกดีกับผู้หญิงมากมายนัก

องค์หญิงใหญ่กล่าว : “เรื่องที่ท่านอ๋องเย่วางยาพิษ เจ้ารู้หรือไม่?”

พระชายาเฉิงชินอ๋องลังเลเล็กน้อย : “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ”

“ข้าคงจะเฆี่ยนเจ้าไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจให้เจ้าไปจากที่นี่ได้ ต่อให้ข้าปล่อยตัวเจ้าไป เกรงว่าคงจะมีคนไม่ยอมให้เจ้าจากไป”

“เสด็จอาใหญ่เชิญลงโทษได้เลยเพคะ”

พระชายาเฉิงชินอ๋องรู้ว่าไม่อาจไปจากที่นี่ได้ จึงคุกเข่าลง

องค์หญิงใหญ่หยิบป้ายคำสั่งและโยนไปบนพื้น : “เบิกแท่งไม้บีบนิ้ว”

ฉีเฟยอวิ๋นอึ้งงันไป แท่งไม้บีบนิ้วคืออะไร เป็นวิธีการลงโทษหรือ?

*อู่เจ๋อเทียน ก็คือบูเช็กเทียนเป็นผู้นำทั้งด้านการปกครองและการทหาร