ลอง? ลองอย่างไร เตียงคู่จะนอนสามคนได้อย่างไร ผู้ใดอย่าได้หวังนอนหลับลง

 

 

“เหอะๆ ท่านนอนเองเถิดพวกเรานั่งขัดสมาธิพอแล้ว นั่งขัดสมาธิพอแล้ว” จิ่งเหิงปัวหัวเราะแห้งเสียงหนึ่ง คิดอยู่ว่าต้องบอกให้เจ็ดสังหารส่งเตียงเข้ามาสักหลังไหม?

 

 

“ข้าสำเร็จวรยุทธ์แล้ว ไม่ต้องใช้” อินอู๋ซินพลิกกายเพียงครั้ง กระโจนขึ้นเชือกแผ่วเบา จิ่งเหิงปัวแทบนึกว่าเซียวเหล่งนึ่งปรากฏตัวอีกครั้ง สายตาแพรวพราวรอชมสาวสวยนอนตะแคงบนเชือก สุดท้ายอินอู๋ซินพลิกตัวครั้งหนึ่ง ก่อนห้อยหัวลงมา

 

 

จิ่งเหิงปัวร้อง “อึ่ก” แทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง

 

 

“เตียงนั้นดีนัก อย่าปล่อยเสียเปล่า” อินอู๋ซินเอ่ยว่า “พวกเจ้าสามคน บนร่างต่างมีบาดแผลเรื้อรัง ของสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อพวกเจ้า”

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูอิงไป๋…เขามีแผลเรื้อรังด้วย?

 

 

แต่ในทางกลับกัน บนร่างกายนักสู้คนไหนไม่มีแผลเก่าเล่า

 

 

“ท่านเอ่ยว่าท่านฝึกฝนคนเดียว แล้วเหตุใดจึงเป็นเตียงคู่?” จิ่งเหิงปัวแหงนหน้ามองอินอู๋ซิน นางดูท่าทางคล้ายค้างคาวขาวที่ห้อยหัว ดวงตาเย็นชาปานเครื่องแก้วหันหาร่างกายส่วนล่างของคนอื่น จิ่งเหิงปัวรู้สึกแค่ว่าคนคนนี้ไม่ไหวแล้ว

 

 

“หากข้าเอ่ยแล้วกลัวว่าในใจพวกเจ้าจะถือ” อินอู๋ซินเอ่ยตามอารมณ์ว่า “นั่นมิใช่เตียงคู่ เดิมทีเป็นโลงศพ ขุดหยกเนื้ออ่อนทั้งก้อนเป็นรูปร่างมนุษย์ บรรจุศพที่ผ่านการจัดการแล้ว สามารถรักษาศพให้ไม่เน่าเปื่อยเป็นพันปี หยกเนื้ออ่อนไม่ใช่ของหาง่ายขนาดนั้น ข้าขุดสุสานนับมิถ้วนถึงได้ค้นพบสิ่งนี้ จากนั้นเปิดโลงศพออก เปลี่ยนเป็นเตียงแทน”

 

 

จิ่งเหิงปัวสั่นเทิ้ม เตียงนี้คนตายเคยนอน คนอื่นเคยนอน นางยอมนั่งขัดสมาธิดีกว่า

 

 

ทว่าอิงไป๋พลันจูงมือของนางไว้ เอ่ยว่า “เตียงนี้มีประโยชน์ต่อท่านยิ่งนัก ไปนอน”

 

 

จิ่งเหิงปัวถูกเขาจูงมือไว้ อดจะชะงักไม่ได้

 

 

อิงไป๋คล้ายเริ่มรู้สึกตัวจนได้ แข็งทื่อเล็กน้อย

 

 

มือของนางอยู่ในฝ่ามือเขา นุ่มนวลราวไร้กระดูก ทว่ายังรู้สึกได้ว่าตรงง่ามนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เกิดรอยด้านเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง อาจด้วยเพราะช่วงนี้หมั่นเพียรฝึกวรยุทธ์ รอยด้านกระจ้อยนั้นแข็งขืนต้านทานฝ่ามือเขา ซ้ำยังคล้ายต้านทานเบื้องลึกภายในใจ เสียดสีจนเริ่มกระด้าง

 

 

แต่นางรู้สึกว่าฝ่ามือเขาอบอุ่น ผิวพรรณละเอียดเกลี้ยงเกลา ตรงข้อนิ้วคล้ายร้อนผ่าวเป็นพิเศษ

 

 

ชะงักงัน จากนั้นสองคนชักมือออกพร้อมกัน

 

 

อิงไป๋ไอโขลก คล้ายหวังหยิบกระบอกสุรามาดื่มสุรากลบเกลื่อน ทว่าไม่รู้ว่ากระบอกสุราไปที่ใดแล้ว

 

 

เผยซูพลันแค่นเสียง สาวเท้าก้าวเข้ามา คว้าจิ่งเหิงปัวผลักไปบนเตียง เอ่ยว่า “คิดมากขนาดนั้นด้วยเหตุใด? มีประโยชน์เจ้าจงไปนอน”

 

 

จิ่งเหิงปัวยังนึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่นั้น ยืนเซ่อซ่าถูกเขาผลักล้มลง พอนอนลงไปร้องโอ๊ยออกมา รู้สึกพะอืดพะอมเหลือเกิน…เตียงโลงศพหลังนี้แต่ก่อนขัดเงาเป็นเค้าโครงร่างกายห่อหุ้มศพไว้ ฉะนั้นจึงมีพื้นผิวนูนเว้าสอดคล้องกับทรวดทรงร่างกาย ตอนนี้พอนอนลงไป ก้นตกลงไปในส่วนเว้า เกิดภาพลวงตาคล้ายกลายเป็นศพถูกขังไว้กะทันหัน สำคัญยิ่งกว่านั้นคือหยกนี้คล้ายมีแรงดูด นางถูไถอยู่สองรอบ แต่ลุกขึ้นมาไม่ได้ชั่วขณะ

 

 

เผยซูโหวกเหวกโวยวายฉวยโอกาสนอนลงข้างกายนาง แขนขาแผ่กว้าง หรี่ตาถอนใจเอ่ยว่า “ไม่เลวๆ เตียงนี้สบายจริง…”

 

 

คำว่า ‘ด้วย’ ยังไม่ได้ออกจากปาก อิงไป๋ก็เหินเข้ามาแล้ว เอื้อมมือเพียงครั้งหิ้วเขาไว้ โยนลงไปบนพื้น

 

 

เผยซูกลิ้งไปตามพื้นดุจลาป่าแล้วลุกขึ้น ผมตั้งชัน ร้องว่า “อิงไป๋ เจ้าอย่ารังแกกันเกินไป…”

 

 

อิงไป๋นอนลงข้างจิ่งเหิงปัวแล้ว หันหน้ากวักนิ้วให้เขาอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ผู้แพ้คู่ควรนอนพื้น”

 

 

“แน่จริงมาสู้กันอีกรอบ” เผยซูกระแทกกำปั้นลงบนพื้น หลุมลึกปรากฏบนพื้นดังครืนเสียงหนึ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นทันที นางไม่อยากให้ที่ซุกหัวนอนเพียงหนึ่งเดียวถูกทำลายอีกครั้ง จากนั้นค้างแรมกลางลานพระราชวังในสามวันนี้

 

 

“อย่าแย่งกันๆ ข้านอนพื้น เตียงนี้เจ้าสองคนนอนไป”

 

 

พอประโยคนี้ออกจากปาก นางขนลุกขนพอง รู้สึกว่าอาจเป็นไปได้ว่ามีตรงไหนผิดปกติ?

 

 

จินตนาการสักหน่อย สายตาคู่จิ้นของนางเจิดจ้าพราวแพรวอีกครั้งทันที

 

 

ความคิดดี!

 

 

หยกขาวแกนทองคำนอนเตียงเดียวกัน! คู่จิ้นที่มีความวายขนาดไหน ฉากเด็ดที่มีความวายขนาดไหน! โครงเรื่องที่ทำให้เลือดจิ้นของสาววายเดือดพล่านขนาดไหน!

 

 

เฮ้ยๆ ลองคิดสิว่าอิงไป๋เผยซูคู่นี้เต็มไปด้วยความวายอยู่แล้ว ร่วมเรืองนามทั่วหล้า ร่วมชื่นชมเนิ่นนาน ร่วมเห็นอกเห็นใจ ร่วมพลาดพลั้งเสียดาย เดิมเป็นโครงเรื่องในตำนานอยู่แล้วนะ! หลายปีต่อมาเขาเกิดใหม่ คนหนึ่งหลังได้ยินข่าวพลันติดตามพันลี้มาพบหน้าสักครั้ง อีกคนหนึ่งได้ยินนามพลันพุ่งเข้ามาต่อสู้…โคตรเร่าร้อน!

 

 

ทั่วหน้านางวุ่นวายคล้ายเปิดเผยข้อมูลสำคัญอะไรบางอย่าง บุรุษทั้งสองมองนางปราดเดียว เอ่ยเสียงเดียวกันเป็นครั้งแรก

 

 

“หุบปาก!”

 

 

“เช่นนั้นพวกเจ้าผลัดกันนอนข้างกายข้าคนละหนึ่งชั่วยามสิ…” จิ่งเหิงปัวคิดว่าของดีต้องแบ่งเท่ากัน เตียงนี้มีประโยชน์ต่อทั้งสองคน แน่นอนว่าควรแบ่งกันนอน

 

 

“หุบปาก!”

 

 

ไอ้ผู้ชายเอาใจยากไม่รู้ชั่วดีสองคนนี้!

 

 

จิ่งเหิงปัวล้มตัวนอนอย่างหงุดหงิด จะนอนไม่นอนก็ช่าง อย่างไรเสียในห้องนี้มีชายสองหญิงสอง ที่จริงเตียงนี้ก็กว้าง ใครจะนอนข้างนางอย่างไรก็ได้

 

 

“บนร่างนางมีกลิ่นเหม็นสาบ ข้าไม่อยากเข้าใกล้นางแล้ว!” หลังจ้องตากับอิงไป๋อยู่เนิ่นนาน เผยซูยอมแพ้อีกครั้ง เดินไปทางขั้นบันไดพลางบ่นอุบอิบเสียงเดียว ลากพรมผืนหนึ่งออกมาปูรองบนพื้นแล้วนั่งขัดสมาธิ

 

 

จิ่งเหิงปัวเริ่มง่วงนอนแล้ว คร้านจะสนใจพวกเขา ห่วงแต่หลับตานอน เตียงนี้แตกต่างจริงแท้ ทั้งที่ไม่มีฟูกนอนอะไรเลย แต่พอนอนแล้วรู้สึกอ่อนนุ่ม อากาศรอบด้านเบาบางปานเขม่าควัน โชกโชนและเก่าแก่ แทรกกลิ่นยารำไร ไม่หอม แต่ทำให้รู้สึกสบายใจ

 

 

ลมหายใจของผู้ชายข้างกายทำให้รู้สึกสบายใจเช่นกัน เป็นลมหายใจอบอุ่นชนิดหนึ่ง แม้แปลกหน้าแต่หนักแน่น นางสะลึมสะลือคิดว่าพออิงไป๋ไม่ดื่มเหล้ากลิ่นเหล้าก็ไม่แรงขนาดนั้นแล้ว พลางเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว

 

 

คล้ายหลับฝัน ในฝันเห็นเงาอาภรณ์ขาวราวหิมะเงาหนึ่งกอดเข่าเฉื่อยเนือยอยู่ไกลออกไป ข้างหลังเป็นภูเขาสูงตระหง่าน วิมานเก้าชั้นฟ้าซ่อนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก

 

 

บางคนเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “อยู่สุดขอบฟ้า หรือว่าอยู่ตรงหน้า”

 

 

นางกล่าวอย่างสะลึมสะลือว่า “อยู่ทุกแห่งหน”

 

 

ไกลออกไปมีคนหัวเราะเหอะๆ

 

 

นางลืมตาทันที รู้สึกว่านอนไปได้ไม่นาน ซ้ำยังรู้สึกว่าเมื่อครู่ได้เห็นความฝันสำคัญครั้งหนึ่ง แต่แค่พริบตาเดียวจดจำสาระสำคัญของความฝันนั้นไม่ได้เลย นางลืมตาท่ามกลางความมืดมิดชั่วครู่ คิดว่าข้างกายยังมีคนหนึ่งนอนอยู่ แต่ตอนนี้ความรู้สึกของคนนี้หายไปแล้ว อดจะเอียงศีรษะเล็กน้อยไม่ได้

 

 

หน้าเตียงแสงจันทร์เหน็บหนาว คนนั้นหายไปจริงด้วย

 

 

นางตกใจกำลังคิดจะลุกขึ้น มองเห็นอิงไป๋เข้ามาจากนอกประตู บนร่างปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งหนึ่งชั้น คล้ายอยู่นอกห้องสักพัก

 

 

เวลานี้อิงไป๋ออกไปทำอะไร ไปปลดทุกข์เหรอ?

 

 

นอกจากทั้งสองคนแล้ว ลมหายใจในห้องเงียบสงบ แต่นางรู้ว่าพวกเขาตื่นอยู่แน่นอน

 

 

เผยซูนั่งขัดสมาธิอยู่ปากประตู อินอู๋ซินห้อยหัวอยู่บนเชือก สองคนนี้เห็นเหตุการณ์ข้างนอกได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง อิงไป๋ออกไปไม่ได้ทำอะไรแน่นอน มิฉะนั้นสองคนนี้คงต้องลงมือแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าบางครั้งคนที่ปรากฏตัวข้างกายนาง ต่างถูกเมฆหมอกปกคลุม ลึกลับซับซ้อน

 

 

อิงไป๋กลับมานอนลงข้างกายนางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางได้กลิ่นเหล้าบนร่างของเขา พลันนึกได้ว่าเขาคงออกไปดื่มสุรา

 

 

แต่อิงไป๋ดื่มสุราทุกที่ทุกเวลาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำไมต้องหลบออกไปเป็นพิเศษ?

 

 

นางคิดไปคิดมา ก็หลับไปอีกครั้ง

 

 

เมื่อลืมตาอีกครั้งคือรุ่งสาง ข้างกายไม่มีใคร ได้กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยมา

 

 

ท่ามกลางกลิ่นหอมอาหารมีกลิ่นประหลาดรำไร จากนั้นนางได้ยินเสียงร้องด่าของเผยซูว่า “เป็นไปได้อย่างไร กลิ่นใดกัน?”

 

 

จิ่งเหิงปัวจำแนกกลิ่นนี้เล็กน้อย ดวงตาสว่างวูบ ร้องเรียกว่า “เฟยเฟย!”

 

 

ก้อนขนสีม่วงอ่อนกระโจนขึ้นบนเข่านาง สัตว์ประหลาดน้อยกะพริบดวงตากลมโตอย่างอ่อนโยนไร้เดียงสา หางขนยาวคลอเคลียบนใบหน้านาง

 

 

จิ่งเหิงปัวดีใจมาก เมื่อวานนางทิ้งเฟยเฟยไว้ที่โรงเตี๊ยม นึกไม่ถึงว่าเจ้าตัวนี้จะตามมาเอง เฟยเฟยมีจมูกสุนัขตั้งแต่ตอนไหน?

 

 

กลิ่นคุ้นเคยนั้นยังคงอยู่กลางอากาศ ซ้ำยังเข้มข้นยิ่งขึ้นตามการเข้าใกล้ของเผยซู นิ้วมือนิ้วหนึ่งหิ้วเฟยเฟยขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาของเผยซูขบเขี้ยวเคี้ยวฟันชะโงกเข้ามา จ้องสัตว์ประหลาดน้อยด้วยความสงสัยท่วมท้น เอ่ยว่า “บนร่างข้ามีกลิ่นเหม็นสาบประหลาดได้อย่างไร เจ้าคงไม่ใช่ต้นเหตุกระมัง?”

 

 

เฟยเฟยค่อยๆ กะพริบดวงตาม่วงเรืองงดงามอย่างไร้เดียงสา ยกกรงเล็บเกาหน้า แสดงท่าทางว่ามันไม่รู้เรื่องใดทั้งนั้น

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ…ของเหลวในร่างกายเฟยเฟยมีหลายชนิด มันสามารถขับของเหลวในร่างกายที่มีสรรพคุณแตกต่างกันหลายชนิดตามความต้องการของตัวเองได้อย่างน่ามหัศจรรย์ กลิ่นชนิดหนึ่งเป็นกลิ่นเหม็นสาบรำไร ติดทนนานหลายวันคล้ายการผายลมของเพียงพอนไซบีเรีย กลิ่นชนิดนี้คนอื่นได้กลิ่นน้อยตัวเองได้กลิ่นมาก ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งรุนแรง รมกลิ่นจนเจ้าตัวจะอาเจียนเสียให้ได้

 

 

น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือกลิ่นชนิดนี้เป็นพิษร้ายต่อมนุษย์ แน่นอนว่าจำกัดแค่คนธรรมดาที่ไม่มีวรยุทธ์

 

 

จิ่งเหิงปัวพอใจกับเผยซูที่ “กลิ่นหอมกรุ่นเตะจมูก” อย่างยิ่ง รู้สึกว่าสัตว์ประหลาดน้อยกับนางแค่มองตาก็เข้าใจโดยแท้ เมื่อคืนนี้เผยซูเพิ่งด่าว่านางเหม็นสาบ เช้านี้ตนเองเปื้อนกลิ่นเหม็นสาบทั่วร่าง ชอบอกชอบใจจริงเลย จุ๊บๆ

 

 

อาหารถูกส่งมาแล้ว ไม่รู้ว่าจั้นซินหยิ่งผยองหรืออยากแสดงความไม่สนใจไยดีของตนเอง อาหารเช้าถูกส่งมาจากห้องเครื่องวังหลวงตั้งแต่เช้าตรู่ ปริมาณครบครัน แม้แต่ชามกับตะเกียบยังเตรียมไว้สี่ชุด

 

 

แต่ทุกคนแสดงท่าทางไม่สนใจ ไม่มีใครหวั่นไหวกับความดุร้ายที่ผู้นำเผ่าจั๋นอวี่แสดงให้เห็น ชาววังที่มาส่งอาหารยืนอยู่ข้างหนึ่งไม่ยอมจากไป คล้ายอยากเห็นว่าพวกนางกล้ากินหรือไม่ จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้ว นางไม่สนใจว่ากล้ากินอะไรหรือไม่ แต่เวลากินข้าวมีคนคอยมองอยู่ข้างๆ ขนาดนี้ขวางหูขวางตาจริงๆ

 

 

เผยซูมองนางปราดเดียว คว้าจานหนึ่งใบคว่ำลงบนศีรษะของขันทีนั้น

 

 

“ข้าแสนชิงชังคนคอยเฝ้ายามกินข้าว! เจ้านึกว่าเจ้าเป็นสุนัขหรือ? ไสหัวไป!”

 

 

ชาววังที่มีหมั่นโถวทั่วศีรษะทั้งกลิ้งทั้งคลานถอยออกไป รอบด้านพลันสงบเงียบ จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ เห็นว่าคนชั่วต้องเจอคนชั่วจัดการ นอกจากเผยซูที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว เรื่องแบบนี้คนอื่นทำไม่ได้หรอก

 

 

เผยซูนั่งลงข้างกายจิ่งเหิงปัว คว้าทัพพีไว้ ยกชามของนางมา เอ่ยทั้งตามใจทั้งไม่สะทกสะท้านทั้งตามทำนองคลองธรรมยิ่งนักว่า “คู่หมั้น ข้ามาตักโจ๊กให้เจ้า เจ้าชอบกินโจ๊กข้นหรือจาง นี่! ซาบซึ้งหรือไม่? ชั่วชีวิตนี้ข้าเคยอ่อนโยนขนาดนี้กับเจ้าเท่านั้น…เฮ้ย! ไอ้แมวชั่ว!”

 

 

เฟยเฟยพลันเดินผ่านตรงหน้าเขา สะบัดหาง ขนเส้นหนึ่งร่วงลงชามโจ๊ก

 

 

ก่อนเผยซูจะโมโหสะบัดมือเขวี้ยงชามออกไป เงาขาวของเฟยเฟยกะพริบวูบหายไปแล้ว

 

 

“เจ้าเลี้ยงแมวชั่วเละเทะเกะกะอะไรของเจ้า!” เผยซูอารมณ์ร้ายเช่นเคย พลันไร้อารมณ์แสดงน้ำใจไมตรี สะบัดมือตักโจ๊กให้ตนเองด้วยความโมโห ซ้ำยังตั้งใจตักส่วนน้ำข้าวแสนอร่อยของโจ๊กลงชามตนเอง ส่วนที่เหลืออยู่เป็นน้ำแกงจืดจางทั้งนั้น

 

 

เขายกชามขึ้นกำลังจะกิน เงาขาวกะพริบวูบ เฟยเฟยปรากฏตัวอีกครั้ง กระโจนผ่านเหนือศีรษะเขาพลางเกาก้นเล็กน้อย ขนสีม่วงเส้นหนึ่งใต้หางที่ส่งกลิ่นเหม็นสาบเช่นเดียวกันร่วงลงในชามเผยซูอีกครั้ง

 

 

“แมวชั่ว!”

 

 

เผยซูพุ่งออกไปไล่สังหารเฟยเฟยแล้ว เงาขาวเงาม่วงกะพริบวุ่นวายทั่วลานกว้าง

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกคัก เป็นสุขอย่างยิ่ง นางได้เห็นเฟยเฟยจงใจเป็นศัตรูกับคนอื่นครั้งแรกเลยนะ สัตว์ประหลาดน้อยเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่เคยหาเรื่องคนอื่นก่อน ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นมันหยอกล้อเผยซูแบบนี้ คราวนี้เป็นอะไรไป?

 

 

ยิ้มแย้มปรีดาชมความสนุกสนานพลางรีบแบ่งของดีที่เหลืออยู่ ผลักเปี๊ยะงาดำราดน้ำเชื่อมให้อิงไป๋ ซ้ำยังเรียกอินอู๋ซินที่ยังห้อยหัวอยู่ลงมากินโจ๊ก

 

 

อินอู๋ซินร่วงลงมาแผ่วเบา มองดูบนโต๊ะ ผลักขนมกรอบเกล็ดหิมะไว้ฝั่งหนึ่ง เอ่ยว่า “ขนมนี้ไส้ดอกไม้ มีประโยชน์ต่อการกำจัดกลิ่นประหลาดบนร่างเผยซู แบ่งไว้ให้เขาเถิด”

 

 

จิ่งเหิงปัวร้องอืมพยักหน้า แทะกระดูกอ่อนทอดพลางปรายตามองนางจากข้างบนชามแวบหนึ่ง…เอาใจใส่เผยซูเหลือเกินนะ ซ่อนความในใจอะไรไว้หรือเปล่า? หญิงวัยกลางคนอายุสี่สิบแปดที่ชะลอวัยไม่แก่ชรากับชายหนุ่มหล่อเหลาอายุยี่สิบกว่าที่เย่อหยิ่งดื้อรั้น ซ่อนเรื่องลับลมคมในอะไรไว้หรือเปล่า?

 

 

มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาบดบังสายตาซุบซิบของนางไว้ เสียงเฉื่อยเนือยดังอยู่ข้างหูนางว่า “เคี้ยว”

 

 

จิ่งเหิงปัวเคี้ยวดัง กร๊อบ ในทันที ขนมกรอบหอมเต็มปาก นางพยักหน้า กล่าวด้วยเสียงอู้อี้ว่า “อืม ไม่เลวกงอิ้นเจ้ากินด้วย…”

 

 

นางชะงักทันที ทั่วร่างเย็นเยียบ

 

 

มือที่ส่งมาถึงข้างปากพลันแข็งทื่อเช่นกัน

 

 

อินอู๋ซินเงยหน้างงงัน จ้องทั้งสองคนเขม็ง สายตาแปลกประหลาด

 

 

ครู่หนึ่งนี้อากาศคล้ายเยือกแข็ง

 

 

หลังผ่านไปครู่ใหญ่จิ่งเหิงปัวถึงค่อยๆ หันหน้า นางหันหน้าลำบากเหลือเกิน คล้ายกลัวว่าหันมาแล้วจะคอหักหรือกลัวว่าหันมาแล้วจะเห็นวิญญาณ

 

 

ท่าทางบางอย่างเคยชินลึกซึ้งเข้ากระดูก ยังคงไม่อาจลืมเลือนแม้ร่อนเร่พเนจรยาวนาน ชั่วครู่นั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง เชื่อฟังเพียงเสียงเรียกร้องของหัวใจ