ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 137 ลำคลองที่ตื้นเขิน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

การสอบใหญ่ในปีนี้ ขั้นตอนการประลองยุทธ์ก็ใช้เพื่อคัดเลือกนักเรียนออก ป่าต้มเวลากับคลองฉวี่เจียงสำหรับคนจำนวนมาก ล้วนแต่เป็นคูน้ำตามธรรมชาติที่ยากเกินไป สำนักการศึกษากลางนำขั้นตอนนี้ ไปแพร่งพรายให้กับสำนักฝึกหลวง ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อถึงได้เตรียมการมาก่อนแล้ว เพื่อช่วยเฉินฉางเซิงเข้าไปยังด่านการต่อสู้สุดท้าย ถึงแม้จะรู้ว่าเขาจะเอาอันดับแรกประกาศแรกเป็นสิ่งที่เพ้อฝัน แต่ทว่าพวกเขายังคงปรารถนาจะทำบางอย่าง ทุ่มเทบางอย่างออกไป เพียงแค่เมื่อทำการเตรียมการ พวกเขาก็เหมือนกับคนอื่น ต่างก็คิดว่าองค์หญิงลั่วลั่วจะมิได้เข้าร่วมการสอบใหญ่

ด้วยเหตุนี้พวกเขามิได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าองค์หญิงลั่วลั่วจะยื่นมือมาจับมือของเซวียนหยวนผ้อไว้

“พวกเจ้ามิได้คิดหรือว่าเพราะเหตุใดข้าถึงเข้าร่วมการสอบใหญ่ ข้าก็เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง พวกเจ้าไม่คิดหรือว่าข้าสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง เช่นนั้นทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังเสียจริงๆ”

เมื่อเอ่ยออกมาลั่วลั่วจ้องมองเซวียนหยวนผ้อกับถังซานสือลิ่ว ดวงตาของหญิงสาวประหนึ่งดวงดาวที่สุกสว่าง จะมีความรู้สึกผิดหวังได้อย่างไร

กล่าวประโยคนี้จบ กระโปรงของนางขยับเล็กน้อย มือน้อยที่จับมือของเซวียนหยวนผ้อ พลันออกแรงทันที

ได้ยินเสียงโอ๊ยดังขึ้น เซวียนหยวนผ้อก็หายไปจากทุ่งหญ้า กลายเป็นเงาสีดำที่อยู่กลางท้องฟ้า

เนื่องด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นฉับพลัน เดิมทีเขามิได้เตรียมใจไว้ ร้องเสียงหลงอยู่กลางอากาศ ดึงดูดสายตาของผู้เข้าสอบที่อยู่ริมฝั่งคลองเป็นจำนวนมาก

คลองฉวี่เจียงที่อยู่ในสวนแสงสุริยะ ผิวน้ำกว้างขวางที่สุด ระหว่างป่ากว้างใหญ่กับทุ่งหญ้าในป่าโล่ง อย่างน้อยก็ห่างกันหลายสิบจั้ง

ภายใต้สายตาของคนนับไม่ถ้วน เซวียนหยวนผ้อแผดเสียงก้องทะลุอากาศไป มือไม้กวัดแกว่งสะเปะสะปะ ปรากฏเป็นภาพเส้นโค้งยาวๆ แล้วร่วงหล่นลงยังทุ่งหญ้าฝั่งทิศใต้

สองฝั่งคลองฉวี่เจียงทั่วทั้งผืนเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงร้องอลหม่านของเขา คล้ายกับว่าได้ยินเสียงเขาร้องว่าท่านแม่เลือนราง

เสียงโครมดังขึ้น

ทุ่งหญ้าฝั่งทางทิศใต้ของคลองฉวี่เจียงสั่นสะเทือนขึ้นครั้งหนึ่ง มีฝุ่นตลบอบอวล ทุ่งหญ้าต้นฤดูใบไม้ผลิที่มีสีเหลืองเล็กน้อยถูกแยกออก โคลนสีดำประหนึ่งละอองน้ำเซ็นไปทั่วทิศทาง

เซวียนหยวนผ้อเหมือนกับก้อนหินก้อนหนึ่ง กลิ้งไปหลุนๆ

หลังจากนั้นชั่วครู่ ฝุ่นละอองค่อยๆ ร่วงลง เซวียนหยวนผ้อยืดตัวยืนขึ้น ปัดฝุ่นละอองกับเศษหญ้าบนร่างกาย ท่าทางงุนงงมองไปรอบๆ มองเห็นท่าทางที่ตกลงมาแล้วจะดูเลอะเลือนไปบ้าง แต่ก็มิได้รับบาดเจ็บใดๆ

มองเห็นภาพนี้ นักบวชพระราชวังหลีกับบรรดานักเรียนที่เข้าสอบที่อยู่สองฝั่งลำคลองร่างกายสั่นไหวไร้วาจา ในใจครุ่นคิดร่างกายของหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้แท้จริงแล้วใช้สิ่งใดทำ คาดไม่ถึงว่าจะแข็งแรงจนถึงระดับนี้

โก่วหานสือกับจวงห้วนอวี่และคนอื่น สายตามองไปยังทิศทางป่าริมฝั่ง จ้องมองไปยังร่างกายที่เล็กกะทัดรัดนั่น ท่าทางสลับซับซ้อนแปลกประหลาด

สมภาคภูมิอันดับสองของประกาศชิงอวิ๋นจริงๆ องค์หญิงลั่วลั่วใช้แรงโยนออกไปตามสบาย แท้จริงแล้วเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

ฝั่งทางเหนือของคลองฉวี่เจียง ลั่วลั่วจ้องมองถังซานสือลิ่ว คิ้วสวยเป็นแพยกขึ้น ใช้สายตากล่าวตักเตือน

ถังซานสือลิ่วรีบออกห่างจากเฉินฉางเซิง พลางเอ่ยออกมา “ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือ”

เขาไม่อยากเป็นดังเช่นเซวียนหยวนผ้อที่ถูกโยนข้ามลำคลอง ถูกโยนแล้วเกิดปัญหานั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งสำคัญก็คือไม่น่าดูอย่างยิ่ง

“เช่นนั้นข้าไปก่อนแล้ว”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยกับเฉินฉางเซิง เวลานี้เองเขาถึงเพิ่งจะรู้สึกตัว ตอนเตรียมการกับเซวียนหยวนผ้อสองคนลืมว่ายังมีองค์หญิงลั่วลั่วอยู่ ตอนนี้ถึงแม้องค์หญิงลั่วลั่วลงมือ ก็คงจะไม่ต้องให้ตนได้กังวลสิ่งใดอีก เขาเพียงกังวลว่าองค์หญิงลั่วลั่วจะโยนคนจนติดเป็นนิสัย มิได้คำนึงความคัดค้านของตนเองมือก็ยืนออกมาเช่นนี้แล้ว ราวกับว่ากระโจนลงสู่คลองฉวี่เจียงเพื่อวิ่งหนีก็มิปาน

ถึงแม้ท่ากระโดดข้ามจะดูจนตรอกเล็กน้อย สภาพร่างกายจะดูแล้วตลกขบขัน แต่เมื่อเหยียบลงคลองฉวี่เจียง ก็สง่าผ่าเผยขึ้นมาอีกครา

เก็บเมฆสนธยา

กระบี่เวิ่นสุ่ยยังคงอยู่ในฝัก อยู่ข้างเอวของเขา เขาใช้หนึ่งในสามกระบวนท่าแห่งเวิ่นสุ่ยด้วยมือเปล่า

มีพลังปราณร้อนแผดเผาสายหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาก็ปกคลุมฝั่งทางทิศเหนือ ชัดเจนว่าท้องฟ้ายังคงเป็นเวลาเช้า ทว่ากลับประหนึ่งปรากฏเวลายามเย็นขึ้นมา

ร่างกายของเขาปรากฏอยู่ในยามสนธยา เปลี่ยนเป็นแสงสีทองหนึ่งแสงบนผิวลำคลอง พุ่งทะยานไปหลายสิบจั้งฉับพลัน ชั่วพริบตาก็ถึงฝั่งทิศใต้ของคลองฉวี่เจียง

นอกจากลูกศิษย์ทั้งสี่ของพรรคกระบี่หลีซาน วันนี้เขาเป็นผู้เข้าสอบหนึ่งเดียวที่ใช้เพลงกระบี่ข้ามลำคลอง

มองภาพนี้ สีหน้าของจวงห้วนอวี่เปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง กวนเฟยไป๋กับเหลียงปั้นหูก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย

หลังจากคืนสุดท้ายของการชุมนุมไม้เลื้อยจนถึงขณะนี้ เป็นระยะเวลาไม่กี่วัน พลังของถังซานสือลิ่วกลับเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เหนือความคาดหมายของคนจำนวนมาก คิดไปถึงเมื่อการเปลี่ยนการจัดอันดับของประกาศชิงอวิ๋น หอความลับสวรรค์ได้ประเมินหนุ่มน้อยเวิ่นสุ่ยผู้นี้ พวกผู้เข้าสอบที่ยืนอยู่ฝั่งทิศใต้ของทุ่งกว้าง จิตใจสับสน ครุ่นคิดนิ่งเงียบ หรือว่าเมื่อเขามุมานะบากบั่นฝึกบำเพ็ญเพียรขึ้นมาก็จะสามารถเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกของประกาศชิงอวิ๋นได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ

“อาจารย์ เสียมารยาทแล้ว” ลั่วลั่วเดินไปยังด้านหน้าของเฉินฉางเซิง ทำความเคารพพลางเอ่ยออกมา

นางไม่เข้าใจว่าร่างกายหลังจากชำระล้างกระดูกสำเร็จของเฉินฉางเซิงมีพลังแข็งแกร่งถึงระดับไหน คิดแล้วก็คงไม่ไกลจากเซวียนหยวนผ้อ แต่ว่าเวลานี้นอกจากโยนเขาข้ามไปก็คิดวิธีอื่นไม่ออกแล้ว อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ถังซานสือลิ่วคิดจะทำมาก่อน คงจะคิดถึงวิธีอื่นมาบ้างแล้ว เพียงแต่นางเป็นนักเรียนจะต้องจับอาจารย์โยนข้ามไปราวกับเป็นเด็กน้อย จึงอดกังวลไม่ได้ว่าอาจารย์จะไม่ยินดี

เฉินฉางเซิงยังมิทันได้เอ่ยสิ่งใด เพราะว่ามีผู้คุมสอบท่านหนึ่งรีบเร่งมาห้ามการกระทำของลั่วลั่วเสียแล้ว

นักบวชพระราชวังหลีผู้นั้นเอ่ยกับลั่วลั่วด้วยความตื่นตระหนก “องค์หญิง ท่านกระทำเช่นนี้ จะฝ่าฝืนกฎระเบียบของการสอบใหญ่ ด้วยเหตุนี้…”

ลั่วลั่วสังเกตเห็นทุ่งหญ้าทางฝั่งทิศใต้ มีนักเรียนหนอนหนังสือของสำนักต้นไหวกำลังกล่าวอะไรบางอย่างกับนักบวชผู้คุมสอบ จึงเข้าใจบางอย่างรางๆ นางจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยด้วยความไม่ยินดี “ก่อนหน้านี้ข้าฟังกฎระเบียบของการประลองยุทธ์ มิได้มีข้อนี้เสียหน่อย อีกทั้งข้าได้โยนคนข้ามไปแล้วคนหนึ่ง หรือว่าจะไม่นับคะแนนกัน”

เมื่อตอนคิดวางแผนจัดการสอบใหญ่ในปีนี้ เดิมทีมิได้คิดถึงการโต้ตอบเช่นนี้ของสำนักฝึกหลวง ผู้คุมสอบมิกล้าเอาผิดกับลั่วลั่ว แต่กลับรู้สึกว่านี่แท้จริงแล้วขัดต่อข้อห้ามในการให้ความช่วยเหลือกันในการสอบใหญ่ของนักเรียนหลายสำนักในหลายปีที่ผ่านมา ยิ่งผนวกกับนักเรียนผู้นั้นของสำนักต้นไหว มีคนผู้เข้าสอบจำนวนมากเอ่ยถึงข้อสงสัยนี้ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกลำบากใจ

ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็มีการตัดสินมาจากตำหนักประจักษ์อักษร ในเมื่อเซวียนหยวนผ้อถูกองค์หญิงลั่วลั่วโยนข้ามคลองฉวี่เจียง ผู้คุมสอบมิได้ประกาศกฎระเบียบก่อนหน้านี้ เช่นนี้จึงยอมรับได้ แต่ถัดจากนี้ ห้ามนักเรียนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อาศัยเพียงแค่พลังของตนข้ามลำคลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ห้ามใช้ศาสตราวุธใดๆ ทั้งสิ้น

ชัดเจนยิ่งนักว่าบุคคลดังเช่นม่ออวี่กับเจ้าสำนักจวนราชวังหลี ต่างก็คิดได้ว่าองค์หญิงลั่วลั่วจะต้องนำกระดุมพันลี้ติดตัวมาด้วย นางจะต้องมอบกระดุมพันลี้ให้แก่เฉินฉางเซิงเป็นแน่ ไม่ต้องเอ่ยว่าข้ามคลองฉวี่เจียง ถึงแม้เพียงแค่ชั่วพริบตาจะไปปรากฏที่แม่น้ำวั่งชวนก็ไร้ปัญหาใดๆ

ลั่วลั่วโมโหอย่างยิ่ง เอ่ยออกมา “ข้าอยากจะดูนัก ว่ามีใครกล้ายุ่งกับข้า”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ นางไปจูงมือของเฉินฉางเซิง

เป็นเวลาที่กระบวนท่าเก็บเมฆสนธยาของถังซานสือลิ่วข้ามลำคลองด้วยความสง่าผ่าเผยพอดี มีเสียงระฆังดังมาจากป่ากว้าง มีความหมายว่าเวลาได้สิ้นสุดลง เวลานี้ผู้เข้าสอบที่ยังอยู่ในป่าวงกตได้ถูกคัดออกแล้ว ต่อจากนั้น ยังมีพวกนักเรียนที่ยังอยู่ทางฝั่งทิศเหนือ เพื่อเข้าสู่การทดสอบ กลับทะยานลงสู่ลำคลองสีเขียวเข้ม

ริมลำคลองมีเหลือเพียงแค่เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วสองคน

นอกจากพวกเขา ก็เป็นนักบวชของพระราชวังหลีหลายสิบคน นักบวชเหล่านั้นไม่กล้าห้ามปรามนาง จึงทำได้เพียงขอร้องอยู่ข้างๆ

เฉินฉางเซิงพูดเกลี้ยกล่อมนาง “ข้ามีวิธีข้ามลำคลอง เจ้าไม่ต้องกังวล”

ไม่มีคนสังเกตเห็น เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ได้เก็บกระดุมพันลี้เข้าไปในแขนเสื้อเงียบๆ เพียงแค่ว่าเขามิได้โกหก อาจารย์ซินบอกใบ้หัวข้อก่อนหน้านี้แล้ว เขาจะไม่ได้เตรียมตัวได้อย่างไร อีกทั้งตามระดับวิทยายุทธ์ของเขาตอนนี้ อย่างน้อยเขามีสามวิธีข้ามลำคลอง เพียงแต่มันเป็นไม้ตาย เขาจะต้องเหลือไว้ใช้เมื่อการต่อสู้ครั้งสุดท้าย

ลั่วลั่วเบิกตากลมโต มองเขาเอ่ยถามจริงจัง “อาจารย์ ท่านมั่นใจได้จริงๆ หรือไม่”

เฉินฉางเซิงยื่นมือไปขยี้ศีรษะของนาง เอ่ยว่า “แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าไม่ใช่ว่าเชื่อมั่นข้าที่สุดหรอกหรือ ถ้าหากแม้แต่ข้ามลำคลองนี้ยังทำมิได้ แล้วข้าจะเอาประกาศแรกอันดับแรกได้อย่างไร”

นักบวชพระราชวังหลีเหล่านั้นเห็นท่าทางที่สนิทสนมของเขากับองค์หญิงลั่วลั่วก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเขา ยิ่งไร้วาจาเอื้อนเอ่ยออกมา แต่เมื่อเห็นองค์หญิงลั่วลั่วคล้ายกับว่าถูกพูดให้จำยอม สุดท้ายแล้วจึงวางใจ ออกห่างจากริมลำคลอง กลับไปยังตำแหน่งของตน รอคอยการต่อสู้สุดท้ายมาถึง

แต่ไหนแต่ไรมาลั่วลั่วเชื่อฟังเฉินฉางเซิงมาตลอด ในเมื่อเขาตัดสินใจเช่นนี้ นางก็มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก เดินไปยังบนก้อนหินริมลำคลอง ย่อเข่างอเล็กน้อย หลังจากนั้นใช้พลัง

ได้ยินเพียงแค่เสียงแกร๊กดังกังวาน ครึ่งล่างของก้อนหินเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำแตกเป็นสองส่วนจากตรงกลาง

ในท้องฟ้ามีเสียงแผดร้องแสบแก้วหู

บนทุ่งหญ้าทางฝั่งทิศใต้คลองฉวี่เจียง ประหนึ่งมีระฆังไร้รูปร่างถูกตี มีเสียงตึงดังขึ้น

นั่นเป็นเสียงท้องฟ้าถูกกระทบ

ชายกระโปรงยกขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นร่วงลง

ลั่วลั่วปรากฏอยู่บนทุ่งหญ้า ข้างใต้กระโปรงมีฝุ่นละอองเกิดขึ้นเป็นสองระลอก ราวกับดอกไม้ก็มิปาน

นักบวชพระราชวังหลีกับพวกผู้เข้าสอบ มองภาพนี้ อ้าปากค้างเล็กน้อย ตกตะลึงจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก ที่จริงแล้วแข็งแกร่งถึงเพียงนี้

ลั่วลั่วมิได้ใส่ใจสายตาตกตะลึงที่ร่วงหล่นบนร่างกายของตน เวลาแรกเมื่อมาถึงก็หันกายไปมองยังฝั่งตรงข้าม ในตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ

นางเชื่อมั่นในพลังของเฉินฉางเซิงมาตลอด จนขนาดกล่าวได้ว่ายกย่องศรัทธา นางคิดว่าอาจารย์จะต้องมีสิ่งของมากมายซุกซ่อนอยู่ แต่ทว่านางยังคงเป็นห่วง เพราะว่านางคิดไม่ออก อาจารย์ใช้วิธีใดข้ามมา

ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อถลันมาข้างกายนาง ทอดสายตามองไปยังฝั่งตรงข้าม

โก่วหานสือ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ย จวงห้วนอวี่ ชีเจียน…ทั้งหมดนี้ต่างได้ผ่านการประลองยุทธ์แล้วทั้งสิ้น ล้วนแต่ปรากฏอยู่ที่ริมลำคลอง จ้องมองไปยังฝั่งตรงข้าม

เฉินฉางเซิงตัวคนเดียวโดดเดี่ยวยืนอยู่ทางนั้น

แม้แต่ลั่วลั่วยังเป็นห่วง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนอื่น

ไม่มีใครเข้าใจ ว่าเฉินฉางเซิงจะใช้วิธีอะไรข้ามลำคลอง

ถึงแม้จะชำระล้างกระดูกสำเร็จ ถึงแม้พลังจิตจะแข็งแกร่ง แต่หากพลังปราณแท้ของเขาไม่เต็มเปี่ยมพอ ก็ไร้หนทางจะทะลวงผ่านเส้นเขตแดนของธรรมชาติได้

มีผู้เข้าสอบบางคนเผยท่าทางดีอกดีใจ

หนอนหนังสือทั้งสี่ของสำนักต้นไหวท่าทางเงียบนิ่ง ทว่าสายตากลับดูถูกและเย้ยหยัน

ศิษย์น้องของวัดพยัคฆ์ลำธารของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

ทั่วทั้งต้าลู่ต่างรู้ดี เฉินฉางเซิงจะเอาอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ ถ้าหากแม้แต่ด่านข้ามลำคลองยังผ่านไม่ได้ ก็คงจะกลายเป็นเรื่องตลกขบขันจริงๆ

กวนเฟยไป๋อยู่ๆ ก็เอ่ยออกมา “ข้าหวังว่าเขาจะผ่านมาได้”

ชีเจียนกับเหลียงปั้นหูพยักหน้าติดกัน

โก่วหานสือกล่าวออกมา “เดิมทีข้ามิได้กังวลว่าเขาจะข้ามมาไม่ได้”

ชีเจียนและพวกเขาทั้งสองหันกายมองศิษย์พี่ รู้สึกไม่เข้าใจ

โก่วหานสือเอ่ยว่า “ผู้ที่มีอุดมคติสูงส่งกว้างไกลจะไม่มองข้ามรายละเอียดปลีกย่อยใดๆ เขาจะเอาประกาศแรกอันดับแรก แล้วจะข้ามลำคลองที่ตื้นเขินสายนี้ไม่ได้อย่างไรกัน”

เวลานี้เอง เฉินฉางเซิงสุดท้ายก็ขยับแล้ว

ภายใต้สายตาที่จับจ้องนับไม่ถ้วน เขาไม่ได้เดินไปทางคลองฉวี่เจียง แต่แหงนหน้ามองไปยังท้องฟ้าสีคราม

ในก้อนเมฆสีขาวของต้นฤดูใบไม้ผลิ ราวกับว่าเขากำลังหาสิ่งใดอยู่

ตอนนี้ มีเสียงนกกระเรียนดังมาจากที่ไกลๆ