บทที่ 251 ชีพจรมังกรหยินปรากฏ
ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องมองปี้เซียวเสว่อยู่แสนนาน และยิ้มเยาะอยู่ภายในใจ: “คิดว่าได้รับการคุ้มครองจากหลัวซิวก็ไม่เป็นอะไรแล้วงั้นหรือ?”
“พี่รอง ได้ยินว่าสมาชิกระดับสูงของตระกูลมีใจที่จะรับหลัวซิวผู้นี้เข้ามา หรือว่ามันจะรู้เรื่องร่างแห่งเสวียนหยิน และคิดที่จะชิงเอาหยวนหยินของนางไป?” อีกสองคนที่เหลือใช้ตัวสำนึกสื่อสารกับชายหนุ่มที่เป็นผู้นำ
“ถึงยังไงหยวนหยินของปี่เซียนเสว่ก็ยังคงอยู่ แต่เพื่อเป็นการเผื่อไว้ หาโอกาสแย่งนางกลับมาแล้วค่อยว่า ส่วนหลัวซิวผู้นั้น รอหลังจากที่ออกไป ไม่ว่ามันจะตอบรับคำเชิญของราชวงศ์หรือไม่ ท่านทวดสามจะต้องลงวิชาสยบวิญญาณกับมันเป็นแน่ มีโอกาสสั่งสอนมันอีกเยอะ”
ชายหนุ่มที่เป็นผู้น้ำกล่าวอย่างเย้ยหยัน จากนั้นทั้งสามคนก็หันหลังจากไป เพื่อตามหาหินหยินในที่อื่น
หลัวซิวคอยสังเกตศิษย์ตระกูลฝานทั้งสามคนที่จากไปอยู่ตลอดเวลา และแอบตั้งมั่นอยู่ภายในใจ เมื่อไหร่ที่เห็นพวกมันอยู่เพียงลำพัง จักต้องจัดการพวกมันให้หมดสิ้นเป็นแน่
ขอบเขตของแอ่งนั้นไม่ใหญ่นัก จากที่ผู้คนได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถูกขุดจนแทบจะไม่เหลือชิ้นดี
หลัวซิวมาค่อนข้างจะช้าไป แต่อาศัยแรงสัมผัสที่มีต่อหินหยิน ก็ได้ค้นพบหินหยินจำนวนร้อยกว่าก้อน ในนั้นมีอยู่สิบกว่าก้อนที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ในระดับชั้นกลาง
เขาเชื่อว่าเมื่อมีหินหยินพวกนี้แล้ว เพียงพอที่จะให้เข้าบรรลุถึงแดนฝึกจิตขั้น 7
ในตอนที่เขาเก็บหินหยินอยู่นั้น ก็ไม่ได้ปล่อยให้มังกรไร้ร่างอย่างหลงหมิงอยู่นิ่งเฉย อาศัยพลังที่สามารถควบคุมปริภูมิได้ของมัน ก็ได้ค้นพบหินหยินหลายสิบก้อน นับว่าได้ผลลัพธ์ที่ไม่เลว
ทันใดนั้นเอง บริเวณใจกลางแอ่งได้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมา ปราณหยินสีดำเหมือนดั่งสสารได้พุ่งออกมา และเกิดระเบิดขึ้น นักยุทธ์สิบกว่าคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงถูกปราณหยินกลืนกินไปในทันที ร่างกายมลายหายไป กายจิตดับสูญ
ทุกคนต่างตกใจหน้าถอดสี วิ่งหนีออกไปทั้งสี่ทิศ ปราณหยินสีดำที่พุ่งออกมาจากใจกลางแอ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนดั่งทะเลสีดำ แพร่กระจายไปทั่วแอ่งน้ำ
หลัวซิวและปี้เซียนเสว่เองก็ลอยตัวขึ้นไปในอากาศ ไม่นานแอ่งด้านล่างก็ถูกปราณหยินสีดำทับถม กลายเป็นเหมือนดั่งทะเลสาบสีดำ
“เป็นปราณหยินที่เข้มข้นและบริสุทธิ์จริง ๆ” หลัวซิวก้มมองลงไป ดวงตาเฉียบขาด
เพียงแต่พลังของปราณหยิกก้อนนี้แข็งแกร่งจนเกินไป อาศัยผลการฝึกตนของเขาในตอนนี้ไม่สามารถที่จะซึมซับกลั่นแปรเพื่อเพิ่มพลังได้
“ใต้ที่แห่งนี้น่าจะมีชีพจรมังกรหยินอยู่!” หลงหมิงพลันเอ่ยขึ้น
ชีพจรมังกร เป็นของประหลาดอย่างหนึ่งที่ฟ้าดินให้กำเนิดขึ้น แบ่งเป็นชีพจรมังกร Attr และชีพจรมังกรไร้ Attr
ชีพจรมังกรไร้ Attr เกิดจากการรวมตัวกันของพลังฟ้าดินจิต เกิดมีจิตวิญญาณขึ้นมาสามารถลอยตัวอยู่ในใต้ดินลึกได้ แพร่กระจายพลังฟ้าดินจิตที่บริสุทธิ์ออกมา
ในสมัยโบราณ ผู้แข็งแกร่งยอดยุทธ์ได้ใช้พลังจิตอันลึกล้ำกำหนดชีพจรมังกร เพื่อสร้างเป็นที่ตั้งของสำนัก กลายเป็นแดนวิเศษในการฝึกตน
ส่วนชีพจรมังกรที่มีพลัง Attr นั้น ก็ล้ำค่าและพบได้ยากกว่าชีพจรมังกรไร้ Attr ตัวอย่างเช่นชีพจรมังกรทองนั้นเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของพลังจิตธาตุโลหะ ชีพจรมังกรเขียวเกิดจากการรวมตัวกันของพลังจิตธาตุไม้……
ชีพจรมังกรหยิน ก็เกิดจากการรวมตัวของปราณหยิน ผ่านการวิวัฒนาการของกาลเวลาที่ไม่รู้จบ ทำให้มีจิตวิญญาณขึ้นมา
ตามที่หลงหมิงได้กล่าวมานั้น ได้มีการกล่าวขานมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ยอดยุทธ์ของสำนักไท่เสวียนได้กำหนดชีพจรมังกรสายหนึ่ง ถึงได้สร้างค่ายกลขนาดใหญ่กลายเป็นแดนหยินสุดขั้ว บุกเบิกแดนปริศนา
ในแดนปริศนา สิ่งที่ล้ำค่าจนไม่สามารถประเมินได้นั้นไม่ใช่สมบัติที่อยู่ข้างใน แต่เป็นชีพจรมังกรหยินที่ถูกค่ายกลใหญ่กำหนดอยู่สายนี้!
ชีพจรมังกรนั้นหายาก หรือต่อให้หาพบก็ยากที่จะกำราบ ชีพจรมังกรที่มีจิตวิญญาณสามารถกลืนและคายพลังจิตเพื่อฝึกตนได้ ชีพจรมังกรที่แข็งแกร่งนั้นแม้แต่ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ไม่อาจต้านทานได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกำราบให้ยอมจำนน
มีเพียงยอดยุทธ์ในสมัยโบราณ ถึงมีคุณสมบัติพอที่จะกำราบชีพจรมังกร และสร้างแดนวิเศษเพื่อการฝึกตนขึ้นมา
หลัวซิวเองก็ได้รู้จากปากของหลงหมิง สิ่งที่เรียกว่ายอดยุทธ์ในสมัยโบราณ ก็คือผู้ที่มีผลการฝึกตนอยู่เหนือแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์นั่นเอง
ในปัจจุบัน อย่าวว่าแต่ยอดยุทธ์เลย ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่หลัวซิวเคยได้ยินมานั้น ก็คือนายท่านที่ประจำตำแหน่งอยู่ในตำหนักจื่อ มีผลการฝึกตนในแดนมกุฏยุทธ์
ครืนนน……
เสียงคำรามอึกทึกดังสนั่นมาจากใต้ดิน ราวกับมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มหึมาเลื่อนผ่านไป กระจายพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน
ในผู้คนทั้งหมด มีเพียงหลัวซิวที่ทราบว่า มีมังกรขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ใต้พื้นพิภพแห่งนี้!
ยิ่งไปว่านั้นในสมัยโบราณยังมีตำนานว่า ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มังกรในหมู่อสุรกาย เป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์มังกรได้ฝึกตนตามรูปร่างของชีพจรมังกร ถึงได้กลายเป็นร่างมังกร กำเนิดเป็นเผ่าพันธุ์มังกรขึ้นมา
เรื่องเล่าต่าง ๆ ในสมัยโบราณทำให้หลัวซิวเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ชีพจรมังกรหยินที่อยู่ใต้พื้นพิภพตัวนี้ ตนไม่สามารถสั่นคลอนได้
คนอื่น ๆ ไม่รู้เรื่องชีพจรมังกรหยินเลยสักนิด เห็นว่าสถานที่แห่งนี้ได้ถูกปราณหยินมหาศาลทับถม นึกว่าจะมีสมบัติบางอย่างปรากฏสู่โลก ล้วนรวมตัวกันสำรวจอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
หลัวซิวไม่คิดจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ถ้าหากชีพจรมังกรหยินที่อยู่ใต้ดินตนนั้นนอนตื่นและเกิดหาวขึ้นมา เกรงว่าผู้คนที่อยู่ตรงนี้ทุกคนคงต้องถูกพุ่งฉีดจนตาย
ในตอนที่หลัวซิวพาปี่เซียนเสว่จากไป พวกราชวงศ์ตระกูลฝานก็ได้รีบตามไปทันที
อีกฝ่ายคิดว่าฝีมือในการปกปิดกลิ่นไปของตนนั้นล้ำเลิศ แต่กลับถูกหลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตได้อย่างชัดเจน
ศิษย์ตระกูลฝานที่ขัดขวางเขาในเมื่อก่อนหน้านี้ก็ได้รวมอยู่ในนั้นเช่นเดียวกัน อาจเป็นเพราะไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับหลัวซิวได้ ดังนั้นถึงได้เรียกกำลังสนับสนุนมาอีกสี่คน
บนเนินเขาเตี้ย ๆ ที่ห่างออกไปหลายสิบลี้ หลัวซิวลอยตัวลง และหยิบเอาธงค่ายออกมาจากแหวนเก็บของ และได้ตั้งค่ายกลสามค่ายติดต่อกันลงที่บริเวณใกล้เคียง
เมื่อได้เห็นการเคลื่อนไหวของหลัวซิว ดวงตางดงามของปี้เซียนเสว่เปล่งประกาย คาดเดาแผนการของหลัวซิวออก
หลังจากที่ตั้งค่ายกลเสร็จ หลัวซิวยืนอยู่บนยอดเขา รอนักยุทธ์ทั้งเจ็ดของราชวงศ์ตระกูลฝานที่สะกดรอยตามมา
ไม่นานหลังจากนั้น คนของราชวงศ์ตระกูลฝานก็มาถึง เห็นหลัวซิวยืนอยู่บนยอดเขาและกำลังมองมาทางนี้ รู้ว่าอีกฝ่ายได้พบเห็นตนเข้าให้แล้ว ดังนั้นทั้งหมดจึงปรากฏตัวออกมา
คนที่นำหน้า ยังคงเป็นชายหนุ่มคนเดิม ผลการฝึกตนคือฝึกจิตขั้นหก
แต่ว่าในทั้งเจ็ดคนนี้ ชายหนุ่มผู้นี้กลับไม่ใช่คนที่มีผลการฝึกตนสูงสุด แต่เป็นชายวัยกลางคนสองคนที่มีผลการฝึกตนในแดนฝึกจิตขั้น 9
เป็นที่ประจักษ์ว่าชายหนุ่มผู้นี้พอจะมีฐานะในราชวงศ์ตระกูลฝานอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นละก็ผู้ฝึกจิตขั้น 9 ทั้งสองคงไม่ใช้เขาเป็นผู้นำ
“หลัวซิว เจ้าคนนั้นคือองค์ชายสามแห่งตระกูลฝาน ฝานโหยว่หลี่” ปี้เซียนเสว่สื่อสารกับหลัวซิวผ่านทางตัวสำนึก
หลัวซิวยักคิ้ว คิดไม่ถึงว่าในกลุ่มคนตระกูลฝานที่เข้ามาในแดนปริศนา จะมีองค์ชายท่านหนึ่งอยู่ด้วย
องค์ชายท่านหนึ่งในประเทศเทียนหวู เกียรติยศของฐานะนั้นเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ และว่ากันว่าเมื่อองค์ชายตระกูลฝานออกมาด้านนอก จะมีผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์คอยติดตามคุ้มครอง
เพียงแต่ที่นี่คือแดนปริศนา ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ขึ้นไปไม่สามารถเข้ามาได้ ฐานะขององค์ชายสามตระกูลฝานก็จะต้องลดลงเป็นอย่างมาก
“องค์ชายสามพาคนสะกดรอยตามมาตลอดทาง ไม่ทราบว่าคิดอะไรกับข้าอยู่หรือ?” ยืนอยู่บนยอดเขา หลัวซิวมองดูผู้คนทั้งเจ็ดที่ยืนอยู่กลางอากาศอย่างเย็นชา น้ำเสียงไร้ซึ่งความเกรงใจ
“บังอาจ! เจ้าก็แค่ประชาชนคนต่ำต้อยผู้หนึ่ง อย่าคิดว่าหนานหรงชินหวาง ชื่นชมเจ้าเพียงเล็กน้อยก็กล้ายโสโอหัง” ศิษย์ผู้ฝึกจิตขั้น 7 ของตระกูลฝานคนหนึ่งตวาดขึ้นมา หลัวซิวขมวดคิ้วมองดูคนผู้นั้น และกล่าวอย่างเย็นชา: “ข้าพูดกับองค์ชายของเจ้า เจ้าเป็นตัวอะไรกัน?”
“เจ้า!……” ศิษย์ตระกูลฝานผู้นั้นมีท่าทางโมโห
“เหอะ ๆ ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าคือองค์ชาย แล้วยังกล้าไม่เคารพข้า? ในเมื่อเจ้าได้ถูกเชื้อเชิญจากราชวงศ์แล้ว จะต้องรู้ว่า ต่อไปเจ้าต้องเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของข้า” ฝานโหยว่หลี่ยิ้มกล่าว
“ตอนนี้ข้าไม่ใช่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่มีแผนการที่จะเข้าร่วมราชวงศ์ตระกูลฝานของพวกเจ้า” หลัวซิวยิ้มเยาะ
“หือ?” ฝานโหยว่หลี่ได้ยินดังนั้น แววตาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ในอาณาเขตประเทศเทียนหวู ยังไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธคำเชิญของราชวงศ์ตระกูลฝาน”