“พ่อชุย ลูกชายของนายเป็นคนดีเลยนะ”

“นั่นสิ ลูกโตแล้ว รู้เรื่องกับเขาแล้วด้วย”

“……”

“นี่จ้าวเสี่ยวลิ่วพูดแบบนี้กับแกสินะ?” คุณพ่อชุยถามลูกชาย

“ก็ต้องเป็นจ้าวเสี่ยวลิ่วอยู่แล้ว เจ้าเด็กนั้นไม่ได้ทำเรื่องดี ๆ อะไรเลย!” อารองชุยสรุปแบบตรง ๆ “หลานชาย เธออย่าไปฟังเขาเด็ดขาดเลยนะ เขาเป็นคนนอก พวกเราต่างหากล่ะที่เป็นคนในครอบครัว เข้าใจไหม?”

ชุยต้าเองก็เริ่มจะหงุดหงิดแล้ว เอะอะก็ครอบครัวเดียวกัน แต่นอกจากเอาเปรียบแล้วก็ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย!

“อารอง เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของผมเอง หรือว่าผมไม่ควรจะมีครอบครัว? ไม่ควรแต่งงานเหรอครับ?” ชุยต้าถาม “อาจะบอกให้ผมเป็นโสดตลอดชีวิตเลยหรือไง งั้นผมจะไปบอกในทีมเดี๋ยวนี้แหละว่าไม่ซื้อที่ดินแล้ว เงินนั้นผมจะเอามาให้อารอง ของทั้งหมดในบ้านอาก็เอาไปให้หมดเลย พอใจหรือยัง?”

อารองชุยหน้าแดงครู่หนึ่งก่อนจะกลายเป็นสีขาวซีด “หลานชายทำไมพูดแบบนี้ อาหมายความแบบนั้นเหรอ อา…”

“ถ้าไม่ได้หมายความแบบนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ที่ดินนั้นผมซื้อไปแล้ว ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าผมจะสร้างบ้าน อารอง ถ้าอามีเงินก็เอามาให้ผมยืมหน่อยสิ ผมมีเงินไม่พอ!” ชุยต้าพูด

อารองชุยรีบพูด “ฉันจะไปมีเงินได้ยังไงกัน! ข้าวยังไม่ได้ซื้อเลย ฉันจะไปมีเงินได้ไง!” เขาพูดว่าไม่มีเงินอยู่สองสามรอบก็ลุกขึ้นเดินออกไป

ทุกคนถึงกับตกใจ นี่คือชุยต้าเหรอ?

ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนที่แม้แต่ถูกโม่หินบดก็ยังไม่สามารถทำให้ผายลมออกมาด้วยซ้ำ ทำไมถึงไล่อาตัวเองออกไปแบบนี้ได้แล้วล่ะ?

นี่เขาโดนเจ้าหกจ้าวล้างสมองไปแล้วสินะ!

คุณพ่อชุยเห็นน้องชายโกรธจนเดินออกไป เขาก็ไม่มีความสุขแล้ว เอ่ยตะคอกด้วยไฟสุมทรวง “แกยังเห็นฉันเป็นพ่ออยู่หรือเปล่า? ดูแกพูดกับอารองของแกสิ แกอยากมีเมียขนาดนั้นเลยเหรอ? ดูอนาคตที่ริบหรี่นั่นของแกซะก่อนเถอะ!”

ชุยต้ายิ้มด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “ถ้าพ่อคิดว่าอารองดีพ่อก็ตามเขาไปสิ ผมไม่ได้ห้ามสักหน่อย!”

พูดจบเขาก็เดินไปดูกระต่าย

คุณพ่อชุยถอดรองเท้าทำท่าจะทุบตีลูกชาย ทุกคนจึงรีบช่วยกันห้ามและโน้มน้าวใจ

จนกระทั่งคุณพ่อชุยใจเย็นลงแล้ว จึงรีบกลับไป ไม่ได้มีส่วนร่วมในบ้านหลังนี้ คุณพ่อชุยคนนี้ท่าจะป่วยแล้วล่ะ!

คุณพ่อชุยเองก็เป็นคนที่มีความสามารถในการเผชิญหน้าคน เมื่อทุกคนไปแล้วก็มีท่าทางสลดลง

ตั้งแต่ลูกชายของเขาเลี้ยงกระต่ายตามจ้าวเหวินเทา เขาก็รู้สึกว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านของเขาแล้ว หลังจากด่าด้วยคำหยาบคายไม่กี่คำ ก็สาวเท้าเดินไปที่บ้านอารองชุย

ชุยเอ้อถามพี่ชายตัวเอง “พี่ใหญ่ พี่ซื้อที่ดินแล้วจริง ๆ เหรอ?”

“ซื้อแล้ว” ชุยต้าให้อาหารกระต่ายพลางกล่าว “นายก็อย่าไปคาดหวังอะไรในตัวพ่อเลย พ่อกับอารองจิตใจเหมือนกัน เขาไม่สนใจพวกเราหรอก ไม่งั้นแม่ก็คงไม่ตาย”

ชุยเอ้อเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง “พี่ใหญ่ ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าพี่จะสร้างบ้านจริง ๆ เหรอ?”

“สร้างสิ!” ชุยต้าหยุดป้อนอาหาร จากนั้นจึงพูดตอบกลับมา

เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะสร้างบ้านในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า แต่เมื่อสักครู่คำพูดของอารองชุยทำให้เขาตัดสินใจได้ ถ้าต้องมาคิดถึงอารองสู้ไปอดอยากปากแห้งเพื่อสร้างบ้านยังจะดีเสียกว่า จะได้ตัดความคิดของอารองที่จะเอาเปรียบได้อย่างสมบูรณ์ด้วย!

เมื่อนึกถึงเรื่องที่จะขอยืมเงินเมื่อสักครู่ อารองก็ร้อนใจขึ้นมา

ถูกต้อง หลังจากนี้ใช้วิธีนี้เพื่อรับมือกับอารองของเขาดีกว่า!

“พวกเราต้องเรียนรู้จากพี่หกเยอะ ๆ ดูชีวิตของพี่เขาตอนนี้สิดีจะตายไป!” ชุยต้านึกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ของเขาได้รับอิทธิพลมาจากจ้าวเหวินเทา จึงนำมาสอนน้องชายของเขา

ชุยเอ้อกล่าว “มีคนบอกว่าเขาเองก็ใช้ชีวิตแบบอด ๆ อยาก ๆ ไม่ใช่เหรอ? ถึงเวลานั้นถ้าเจ้าหนี้มาทวงถึงบ้านก็จบเห่สิ?”

ชุยต้าเยาะเย้ย “พวกเขาพูดมาเป็นปีแล้ว แต่นายดูสิว่ามีเจ้าหนี้ไปหาพี่หกถึงหน้าบ้านหรือยัง? แล้วนายก็หันไปดูคนที่พูดพวกนี้สิ พวกเขาได้ใช้ชีวิตดี ๆ ที่ไหนกันล่ะ? มีแต่คนขี้อิจฉาคนที่ประสบความสำเร็จทั้งนั้นแหละ!”

“ก็จริง” ชุยเอ้อลองคิดดูแล้วก็เห็นตามจริง “พี่ใหญ่ซื้อที่ดินที่ไหนเหรอ?”

ชุยต้ายิ้ม เขาพูดอย่างพึงพอใจ “ที่ตงเหลียง หลังจากนี้ฉันจะไปเป็นเพื่อนบ้านของพี่หกแล้ว!”

ตอนนี้จ้าวเหวินเทากำลังนอนเล่นอยู่กับเสี่ยวไป๋หยาง ระหว่างนั้นก็พูดกับภรรยาของเขาเกี่ยวกับเรื่องของชุยต้าด้วย

“เจ้าเด็กนี่เก่งจริง ๆ บอกว่าจะซื้อที่ดินก็ซื้อเลย!” จ้าวเหวินเทาพูดพลางถอนหายใจ เขาคิดว่าชุยต้าจะยื้อเวลาไปเรื่อย ๆ เสียอีก

“เขามีเงินเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่ถามขณะจัดการกับผ้าอ้อมลูก

“ก็ค้างจ่ายนั่นแหละ” จ้าวเหวินเทากล่าว “เขาก็ต้องทำแบบนี้แหละ ไม่งั้นเงินที่ได้มาเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นคงได้ถูกอารองของเขาฮุบไปหมด โอ๊ย นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้เห็นอาแท้ ๆ เป็นแบบนี้ วัน ๆ เอาแต่เอาเปรียบพี่ชายกับหลาน คุณว่านี่เป็นคนแบบไหนกัน?”

“นี่คุณบอกให้ชุยต้าทำแบบนี้ใช่ไหมคะ?” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

จ้าวเหวินเทาหัวเราะหึหึ “ผมก็แค่ทนดูไม่ได้ เป็นหนุ่มโสดทั้งบ้าน ยากจนจนไม่มีให้กินอิ่มท้อง แถมยังมีอารองที่เป็นพวกโลภไม่รู้จักพออีก ลากได้สักหน่อยก็ลากออกมาเถอะ ที่สำคัญคือเขาเชื่อฟังด้วยนะ ถ้าไม่ฟังผมก็คงขี้เกียจจะสนใจแล้ว”

“อันที่จริงคุณเองก็อยากให้เขามาช่วยคุณดูแลกระต่ายสินะคะ” เย่ฉูฉู่ทำท่าทางราวกับฉันไม่รู้การแสดงออกของคุณเลย

“ภรรยาผมทำไมถึงได้ฉลาดขนาดนั้นเนี่ย” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม

เขาไม่ใช่คนดีเลิศเลอแบบนั้นอยู่แล้ว เขาห่วงตัวเองเสมอ ไม่ได้สนใจเรื่องของคนอื่น ที่เอาใจชุยต้าเพราะชุยต้าเป็นคนนิสัยดี ให้เขาดูแลกระต่ายให้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่

“ผมไม่เรียกให้เขามาดูให้เปล่า ๆ หรอก ผมก็ให้เงินค่าจ้างเหมือนกัน รออีกสองปีจัดการเรื่องภรรยาให้เขา เขาก็จะมีครอบครัวแล้ว ครอบครัวเนี่ยยังไงก็ต้องมีผู้หญิงดูแล ไม่งั้นก็จะถูกคนนอกจูงจมูกได้” จ้าวเหวินเทากล่าว “ภรรยาของเขาคนนี้ต้องเก่ง ยิ่งเก่งยิ่งดี!”

เย่ฉูฉู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เธอพูดอย่างขบขัน “คุณจะเป็นพ่อเขาอยู่แล้วนะคะ”

“ชิ ผมเก่งกว่าพ่อเขาอีก ผมกล้าพูดได้เลยว่าพ่อของเขาไม่เคยคิดแบบนี้แน่นอน!” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยสีหน้าโอ้อวด

หลังจากงานเลี้ยงฉลองครบเดือนของเสี่ยวไป๋หยาง จ้าวเหวินเทาก็เริ่มเก็บเกี่ยวข้าวโพด

การหักข้าวโพดเหนื่อยกว่าตัดดอกทานตะวันเสียอีก ตัดดอกทานตะวันยังใช้มีดได้ แต่การหักข้าวโพดต้องใช้มือ ข้าวโพดในที่ดินหลายหมู่ทำเอาปวดแขนจนระบมไปหมด

จ้าวเหวินเทาเก็บทั้งวันก็รู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่ได้ มันทำให้การหาเงินของเขาล่าช้าเกินไป ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถเอาข้าวโพดไปขายได้ในทันที แต่ผักฤดูใบไม้ร่วงทางฝั่งหมู่บ้านไท่ผิงสามารถขายได้เลย

ตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ผักฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่ตลาดพอดี เขาจึงใช้เคียวตัดต้นข้าวโพดโดยตรง จากนั้นก็ลากข้าวโพดกลับมาที่บ้านทั้งฝักและต้น!

เขาใช้เวลาทั้งเช้าและเย็นเพื่อตัดฝักข้าวโพดออกจากต้น ถึงอย่างไรท้ายที่สุดก็ต้องตัดต้นข้าวโพดกลับมาอยู่ดี

“จ้าวเสี่ยวลิ่ว เธอทำแบบนี้ กลับไปก็ยังต้องเสียเวลาทำงานสองรอบ สู้หักข้าวโพดในไร่เลยไม่ดีกว่าเหรอ” ยายหยางเห็นก็พูดขึ้น

“ไม่มีเวลาแล้วครับ ผมต้องไปขายของอีก!” จ้าวเหวินเทากล่าว

“ตอนนี้เห็นเธอเอาแต่ขายของ แล้วข้าวโพดไม่ใช่เงินเหรอ?” ยายหยางกล่าว

“ข้าวโพดก็เป็นเงินนั่นแหละครับ แต่กว่าจะขายได้เงินก็ต้องรอฤดูใบไม้ผลิปีหน้า” จ้าวเหวินเทากล่าว

ข้าวโพดทางฝั่งนี้มีคนต้องการน้อยมากหากเก็บหลังฤดูใบไม้ร่วง ราคาก็ถูกกดจนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เพราะข้าวโพดเปียก จึงทำให้ขึ้นราง่าย แต่เมล็ดข้าวโพดจะไม่ร่วงจากฝัก

นอกจากนี้ ข้าวโพดเมื่อเปียกชื้นจะทำให้น้ำหนักมาก คนที่รับซื้อข้าวโพดจึงคิดว่าไม่คุ้ม

รอหลังจากผ่านฤดูหนาวจนข้าวโพดแห้งแล้ว มันก็จะหลุดเป็นเม็ด ไม่เพียงแต่จะไม่ขึ้นรา มันยังไม่มีน้ำหนักจากน้ำเมื่อชั่งน้ำหนัก โดยพื้นฐานคนที่รับซื้อข้าวโพดจะซื้อตอนฤดูใบไม้ผลิ แน่นอนว่าตอนนั้นราคาก็จะเพิ่มสูงด้วย

จ้าวเหวินเทาตัดข้าวโพดกลับมาใช้เวลาไปหนึ่งวัน จากนั้นก็ขับรถไปขนผักฤดูใบไม้ร่วง หลังเย่ฉูฉู่กล่อมเสี่ยวไป๋หยางแล้วเธอก็เรียกไฉไฉมาช่วยดู ส่วนตัวเองออกไปปอกเปลือกข้าวโพด

ต้องทำเวลาในการปอกเปลือกข้าวโพด หากใช้เวลานาน เธอก็เป็นกังวลว่าจะขึ้นรา

เย่ฉูฉู่หยิบมีดมา เธอปอกเปลือกด้วยมือ จากนั้นใช้มีดตัดข้าวโพดออกจากต้น แบบนี้ช่วยประหยัดแรงได้

ตอนแรกก็ดูทุลักทุเลนิดหน่อย แต่หลังจากตัดไปได้สิบกว่าฝักก็เริ่มชินมือแล้ว

หลังปัด ๆ สองครั้งแล้วจึงปอกเปลือก ใช้มีดกะเทาะเม็ดข้าวโพดออกจากฝัก และโยนซังข้าวโพดทิ้งไปข้างหลัง เธอใช้เท้าเตะต้นข้าวโพดไปข้าง ๆ แล้วหยิบอันต่อไปมาทำ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มีข้าวโพดกองอยู่หนึ่งกอง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เหมือนชุยต้ารู้นิสัยของอารองดีเลยหาทางสกัดช่องทางเกาะกินด้วยการรีบสร้างบ้านเลยค่ะ

งานเก็บข้าวโพดนี่ถือว่าเป็นงานหนักเหมือนกันนะคะ แล้วขอบใบก็คมบาดทีคันคะเยออีก

ไหหม่า(海馬)