ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 21 ร่วมเดินทาง

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ดังคาด เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่เยียนหรานก็ออกเดินทางไปแล้ว หลิงหลงตื่นแต่เช้า ไปส่งนางถึงนอกหมู่บ้านวั่งเซียน ก่อนจะกลับมาด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์

 

ยามนั้นพวกจงหมิ่นเหยียนก็ตื่นแล้ว กำลังกินอาหารเช้าและสนทนากับจ้าวเหล่าต้า หลิงหลงมองซ้ายมองขวาไม่เห็นเสวียนจี อดถอนใจไม่ได้กล่าวว่า “เสวียนจียังไม่ตื่นตามคาด”

 

จงหมิ่นเหยียนกินโจ๊กไปคำหนึ่ง แค่นเสียงขึ้นว่า “หากวันไหนนางรู้ว่าควรตื่นเช้า พระอาทิตย์ก็คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว!”

 

หลิงหลงถลึงตาใส่เขา ยู่ปากกล่าวว่า “เจ้าชอบเอาแต่หาเรื่องเสวียนจี น่ารังเกียจจริง!” กล่าวจบตนเองก็วิ่งเข้าไปในห้องปลุกเสวียนจี ลากออกมากินอาหารเช้า

 

หลังอาหารเช้า อวี่ซือเฟิ่งควักแผนที่ออกจากอกเสื้อ กล่าวเบาๆ ว่า “ออกจากหมู่บ้านวั่งเซียนไปทางตะวันออก น่าจะเป็นป่าเขารกร้างไร้ผู้คน พวกเราไม่จำเป็นต้องเดินผ่าน ให้เหินกระบี่ไปเขาเกาซื่อซานเลย ละแวกนั้นมีทะเลสาบหงเจ๋อ ได้ยินว่าทิวทัศน์งดงามที่สุด”

 

หลิงหลงได้ยินว่ามีเรื่องน่าสนุก ย่อมพยักหน้าไม่หยุด หรูอี้ยิ้มกล่าวว่า “ที่นั่นมีเมืองจงหลี นับว่าเป็นเมืองใหญ่มีชื่อด้วยนะ หมิ่นเหยียน ปกติพวกเจ้าบำเพ็ญเพียรอยู่บนเขาแรกอรุณ ไม่เคยไปที่ที่มีสีสันรุ่งเรืองกระมัง”

 

จงหมิ่นเหยียนพยักหน้า “อาจารย์กำชับมา ผู้บำเพ็ญเพียรต้องใจนิ่งดุจน้ำ ไม่ละโมบในแสงสีโลกียะ”

 

“เจ้าหกอย่าได้ไม่มีอันใดก็เอาแต่อ้างอาจารย์กำชับมา! ในเมื่อออกมาแล้วก็ควรเที่ยวให้พอ หรูอี้ เมืองจงหลีมีอะไรน่าสนุกบ้าง”

 

หลิงหลงกล่าวออกไป จงหมิ่นเหยียนแสร้งทำเป็นใบ้ ทำท่าเชื่อฟังไม่โต้แย้ง

 

หรูอี้ยิ้มกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าเดือนสองของทุกปี ที่นั่นจะมีงานพิธีใหญ่ ผู้คนทั่วทั้งเมืองก็จะออกมากันหมด ครึกครื้นมาก นับดูวันแล้ว แม้ว่าพวกเราไปเร็วสองสามวันก็ไม่เป็นไร”

 

พอหลิงหลงได้ยินว่ามีเรื่องสนุกให้ชม ไหนเลยจะนั่งติด ยัดข้าวสองสามคำเข้าปากรวดเดียว ยัดจนเต็มปาก เช็ดปากแล้วก็คิดจะกลับไปเก็บของเดินทาง เสวียนจีเห็นนางเร่งรีบเช่นนี้ก็คิดว่ามีเรื่องเร่งด่วนอันใด จึงรีบยัดแผ่นแป้งย่างที่เหลือใส่ปากตาม ปรากฏยัดเข้าไปเต็มปากติดคอแทบตาย รีบยกมือทุบโต๊ะทีหนึ่ง

 

“ช้าๆ หน่อย มานี่ ดื่มน้ำก่อน” อวี่ซือเฟิ่งรีบส่งชาให้ถึงริมฝีปากนาง นางกลืนลงไปทีละนิด เห็นสีหน้านางผ่อนคลายขึ้นก็ยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า “เหมือนเด็กน้อยไม่โตเสียที ไหนเลยมีคนกินข้าวเหมือนเจ้า”

 

เสวียนจีกว่าจะกลืนของในปากลงไปได้ก็ไม่ง่าย ยามนี้จึงได้เบิกตาโตมองเขา กล่าวเบาๆ ว่า “มีเรื่องด่วนอันใด อีกสักครู่พวกเราจะไปไหนกัน”

 

อวี่ซือเฟิ่งได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนแรง เห็นหน้าผากนางมีเศษดอกฝ้ายคิดอยู่ อดปัดให้นางไม่ได้ กล่าวอ่อนโยนว่า “เมื่อไรที่เจ้าตั้งใจฟังคนอื่นเขาพูดกัน เช่นนั้นพระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกจริงๆ”

 

กล่าวจบ เห็นนางยังคงมองตนเองด้วยอาการงุนงงจึงกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ว่าไปไหน เจ้าสนใจแค่คอยตามข้าก็พอ”

 

นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ทำเอาเขาอมยิ้มเล็กน้อย “…ขอเพียงไม่กลัวข้าเอาเจ้าไปขาย”

 

ระยะนี้ซือเฟิ่งแปลกมาก เสวียนจีกลับห้องไปเก็บของพลางย้อนคิดเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ได้พบเขามา เหมือนว่าเขาไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ยังคงรู้อะไรมากมาย ทำอะไรมีหลักมีการ แต่ก็เหมือนว่าเปลี่ยนไปมาก มักจะกล่าววาจาที่ฟังแล้วเหมือนกระจ่างแต่ก็เหมือนไม่กระจ่าง แม้ห่างกันไปสี่ปี นางก็ยังคงรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดแตกต่าง แต่บางทีสำหรับเขาแล้ว อาจยังมีบางอย่างไม่เหมือนเดิมกระมัง

 

หลิงหลงที่ตรงข้างๆ ก็เก็บของตนเองเสร็จนานแล้ว เข้ามาช่วยนางเก็บของคล่องแคล่ว เห็นนางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ ห่อเสื้อผ้าชุดหนึ่ง ห่อไปห่อมา ห่อเป็นก้อนเศษผ้าไปแล้ว อดเย้าแหย่นางไม่ได้ “เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่ มา บอกพี่มา”

 

นางทำท่าทางเหมือนว่าข้าเป็นผู้รู้ใจเจ้า ดึงมือเสวียนจีมานั่งข้างๆ ส่งสายตาวิบวับส่องประกาย

 

เสวียนจีลังเลครู่หนึ่ง กล่าวว่า “หลิงหลง เจ้ารู้สึกไหมว่าซือเฟิ่งเหมือนเปลี่ยนไปมาก”

 

หลิงหลงรู้นานแล้วว่านางจะกล่าวถึงซือเฟิ่ง น้องสาวตนเรื่องอื่นยังพอได้ แต่เรื่องพวกนี้ราวกับเด็กน้อยสามขวบ จึงได้หยอกไปว่า “เปลี่ยนตรงไหน เจ้าว่ามาก่อน”

 

“ราวกับเขาชอบพูดวาจาที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ท่าทางก็เหมือนไม่เหมือนเมื่อก่อน…หรือว่าข้าคิดมากไปเอง” เสวียนจีกังวลมากว่าตนเองจะคิดมากเกินไป

 

หลิงหลงอดลอบยิ้มไม่ได้ ทำหน้าตาเป็นการเป็นงาน “เป็นเจ้าคิดมากไปจริงๆ ข้าว่าซือเฟิ่งไม่เห็นต่างอันใดกับเมื่อก่อนเลย หรือเจ้าไม่ชอบเขาแล้ว”

 

“เป็นไปได้อย่างไร!” เสวียนจีรีบปฏิเสธแก้ตัว “ข้า…ข้าชอบเขามาก! ซือเฟิ่งเหมือนรู้ทุกเรื่อง เป็นทุกเรื่อง ร้ายกาจยิ่ง และยังดีต่อพวกเรามากเช่นนั้น จะไม่ชอบเขาได้อย่างไรกันเล่า”

 

หลิงหลงถอนหายใจ “เช่นนั้น…อาจเพราะเขาไม่ชอบเจ้าแล้ว”

 

เอ๊ะ หรือว่านี่คือความจริง เสวียนจีพลันระลึกได้ เพราะตนไม่ได้ติดต่อเขานานสี่ปี ดังนั้นเขาเลยโมโหมาก ดังนั้นคืนวันนั้นเขาจึงได้พูดจาแปลกประหลาดเช่นนั้น ดังนั้น…ท่าทีเขาจึงได้เปลี่ยนไป!

 

หลิงหลงเห็นนางบิดเสื้อตนเองไปมาเป็นก้อนเกลียวก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา หากยังฝืนทนไว้ ยิ้มถอนหายใจกล่าวว่า “ว่าไปแล้ว ตอนนี้เขายังไม่ยอมถอดหน้ากากก็ดูห่างเหินจริง อาจเพราะตำหนิที่เจ้าไม่เขียนจดหมายถึงเขาตั้งสี่ปีกระมัง เอาเถอะ เสวียนจี เรื่องนี้ไม่อาจฝืนใจ วันหน้าเจ้าก็อย่าได้ไปยั่วให้ซือเฟิ่งโมโหอีก พูดคุยกับเขาให้มากหน่อย ผู้ชายน่ะ ต้องการให้ผู้หญิงเอาใจจึงจะรู้สึกสบายใจ จำไว้ เอาใจเขาให้มาก เข้าใจไหม”

 

ที่แท้เป็นเช่นนี้ !อืม เอาใจเขา เอาใจเขา…

 

ในที่สุดก็เก็บของเสร็จ ขอบคุณและอำลาคนบ้านตระกูลจ้าวที่พยายามรั้งทุกคนให้อยู่ต่อ ทั้งห้า เหินกระบี่ร่วมเดินทางไปทางตะวันออก ไปยังเมืองจงหลี

 

เหินกระบี่ท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม เน้นย้ำการทำจิตให้ผ่องใส ไม่เช่นนั้นก็จะร่วงจากกระบี่ได้ง่าย ความสูงหลายหมื่นจ้าง รสชาติยามตกลงไปย่อมไม่น่าทนรับได้ เมื่อก่อนเสวียนจีเหินกระบี่เร็วที่สุด ทั้งสูงทั้งมั่นคง เพราะในใจนางแต่ไรมาก็ไม่เคยมีความคิดที่ทำให้จิตไม่ผ่องใส แต่วันนี้ไม่รู้ทำไม ยิ่งเหินยิ่งช้ายิ่งต่ำ หลายครั้งก็ตัวเอียงเกือบร่วงจากกระบี่ ทำเอาอวี่ซือเฟิ่งตกใจจนต้องมาคอยอยู่ข้างๆ ตลอด พลางหันกลับไปเรียกหลิงหลง “วันนี้เสวียนจีท่าทางไม่ค่อยดี หลิงหลง เจ้ามาพานางเหินไหม”

 

ในใจหลิงหลงมีพิรุธ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ดึงจงหมิ่นเหยียนเหินไปข้างหน้าก่อน หรูอี้เห็นเด็กสาวพวกนี้มีความในใจก็ไม่อยากยุ่งด้วย จึงแสร้งทำเป็นหูตึง บินล่วงไปก่อนอย่างรวดเร็วไร้เงา

 

“เอาเถอะ เจ้ามานี่”

 

อวี่ซือเฟิ่งดึงเสวียนจีมาอยู่ด้านหลังตนเอง ก่อนจะค่อยๆ เหินต่อไปอย่างมั่นคง เหินไปได้ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่านางกำแขนเสื้อตนแน่น นิ้วมือบิดไปมา ทำเอาลวดลายบนแขนเสื้อเขาบิดเป็นเกลียว เขาอดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าคิดอันใดอยู่”

 

เสวียนจีอึกอักเป็นนาน ในที่สุดก็เงยหน้า ดวงตาส่องประกาย ถามจริงจังว่า “ซือเฟิ่ง ข้าควรเอาใจเจ้าเช่นไร เจ้าจึงจะเบิกบานใจ”

 

เขาพลันนิ่งอึ้งไปทันที ฝ่าเท้าเหนือกระบี่เกือบลื่น ทั้งสองเกือบร่วงลงไป

 

เหตุใดถามเช่นนี้?! อวี่ซือเฟิ่งงุนงงมาก ก้มหน้ามองเสวียนจี ท่าทางนางเอาจริงเอาจังเหมือนเป็นคำถามทั่วไปดังคาด ในใจเขายิ้มเฝื่อน สีหน้านิ่ง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ผู้ใดสอนเจ้าเช่นนี้”

 

เสวียนจีคิดว่าเขายังคงไม่พอใจ รีบดึงแขนเสื้อเขากล่าวว่า “ซือเฟิ่ง สี่ปีที่ไม่ได้เขียนจดหมายหาเจ้าข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าโมโหได้หรือไม่ หรือว่าเจ้าด่าทอข้าสองคำเถอะ ตีข้าสองทีก็ไม่มีปัญหา!”

 

ใบหน้าใต้หน้ากากยิ้มเล็กน้อย กล่าวหยอกล้อว่า “ทุบตีด่าทอสองสามที ก็ทำให้ความโมโหสี่ปีของข้าหายไปหรือ”

 

เช่นนั้นให้ทำเช่นไร เสวียนจีไร้หนทางยิ่ง

 

“ข้า…ก็ไม่มีของมีค่าใดจะชดใช้ให้เจ้าได้”

 

เขายังคงยิ้ม “เงินซื้อความทรงจำสี่ปีได้หรือ”

 

ยามนี้นางไร้วาจาอย่างแท้จริงแล้ว

 

ลมจากรอบทิศพัดมาพร้อมกัน ผมนางปลิวมาระต้นคอเขาทำเอาเขาชาวาบ นางไม่ตั้งใจเช่นนี้เสมอ ไม่ตั้งใจทำผิด ไม่ตั้งใจทิ้งรอยแค้นไว้ ทำเอาคนอื่นหัวหมุนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ตนเองกลับไม่ใส่ใจ ราวกับไม่รับรู้

 

บางครั้งก็ควรจะลงโทษนางสักหน่อย ให้นางเข้าใจว่าตนเองได้ทำอะไรลงไป

 

แต่…

 

มืออ่อนนุ่มนิ่มของนางเกาะแขนราวกับลูกแมวตัวน้อยที่ถูกทอดทิ้ง เพียงแต่ยังไม่ร้องเหมียวๆ สภาพน่าสงสารเช่นนั้นเพียงพอที่จะทำให้คนหวั่นไหว

 

ทำไม่ลงจริงๆ

 

แม้รู้อยู่ว่าเบื้องหลังความน่าสงสารนี้ เป็นความไม่ตั้งใจเสมอและตลอดไป แต่ก็ทำไม่ลง

 

อาจเป็นดังที่อาจารย์กล่าวมา เขาประสบกับมารในชีวิต แม้แต่คิดดิ้นรนก็ไม่มีหนทาง ยินยอมพร้อมใจปล่อยให้มารเข้าแทรก

 

เขาพลันพลิกมือกุมมือนางไว้แน่น กระซิบว่า “เสวียนจี จริงๆ แล้วข้าไม่เคยโกรธเจ้าแม้แต่น้อย ขอเพียงเป็นเจ้า…สี่ปีนั้นไม่เป็นไร สี่ปีหรือสี่สิบปีแล้วอย่างไร!”

 

ในที่สุดเขาก็กล่าววาจาที่เก็บซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจออกมา กล่าวจบก็เหมือนในอกมีกระต่ายโลดเต้นโครมคราม รออยู่เป็นนาน เด็กสาวด้านหลังไม่กล่าวอันใด เขาได้แต่หันกลับไปมองนาง กลับเห็นนางก้มหน้าครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเงยหน้ายิ้มสดใส “สี่สิบปีนานไปแล้ว ซือเฟิ่ง วันหน้าพวกเราแม้สี่วันก็อย่าได้แยกจากกัน”

 

จริงหรือ

 

ลำคอเขาตีบตัน กล่าวอันใดไม่ออก