บทที่ 982 หัวที่หายไป

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

ไอหมอกมืดปกคลุมไปทั่วทางเดินทั้งเส้น บดบังการมองเห็นส่วนใหญ่ของทั้งสอง หลิงม่อลองเปิดไฟฉาย แต่กลับพบว่าไม่สามารถส่องสว่างไปได้ไกลมาก พอเห็นว่าไม่ค่อยมีประโยชน์ เขาจึงซุกไฟฉายเก็บในกระเป๋า อาศัยเพียงแสงที่ลอดออกมาเล็กน้อยเพื่อมองสำรวจรอบด้าน

“ไม่คิดเลยว่าแม้แต่ลำแสงก็ยังทะลุผ่านไม่ได้…”

ไอหมอกมืดเหล่านี้ความจริงเหมือนถูกสร้างขึ้นโดยมีฝุ่นละอองเป็นส่วนประกอบ หากอยู่ในนี้นานหน่อยยังได้กลิ่นคาวจางๆ ทำให้รู้สึกลำคอแห้งฝืดอีกด้วย

“พวกเรารีบหน่อยดีกว่า ไม่รู้ว่าไอหมอกพวกนี้ส่งผลกระทบอะไรต่อร่างกายหรือเปล่า”

ดูจากปรากฏการที่ไอหมอกพวกนี้ปรากฏอยู่ทุกที่ที่สัตว์ประหลาดฝูงนั้นไป คาดว่ามันคงเป็นสิ่งที่ออกมรจากตัวสัตว์ประหลาดพวกนั้นแน่นอน แค่คิดว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางอากาศที่สัตว์ประหลาดพวกนั้นปล่อยออกมา สีหน้าของทั้งสองพลันแย่ลงทันใด

โดยเฉพาะสวี่ซูหาน หลังจากที่ตอบรับเสียงเบา เธอก็อดดึงแขนเสื้อหลิงม่อไม่ได้ ที่ทำแบบนี้หนึ่งเพราะจะได้ช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที สองเพราะ…เพราะเธอกลัว

พวกเขาเดินกลับเส้นทางเดิมได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่เนื่องจากไอหมอกสีดำ เส้นแบ่งเขตที่เคยมองเห็นได้เลือนรางจนมองไม่ชัด เธอทำได้เพียงกะระยะทางจากความจำว่าตอนนี้พวกเขาเดินกลับมาถึงบริเวณทางเดินช่วงนั้นแล้ว แต่กลับไม่แน่ใจว่าก้าวเดินเข้าไปหรือยัง…สถานการณ์ที่ไม่สามารถแน่ใจอะไรได้เลยอย่างนี้ กลับทำให้เธอลนลานยิ่งขึ้น

“ฉันจะจูงมือเธอแล้วกัน” อยู่ๆ หลิงม่อก็พูดขึ้น

“หา?” สวี่ซูหานอึ้งงัน ไม่นานก็ทำหน้าอึกอัก…ถูกมองออกซะแล้ว? แต่ถึงจะจูงมือ เธอก็ยังกลัวอยู่ดี…

“ไม่งั้นแขนเสื้อฉันคงถูกเธอดึงขาดแน่ๆ” หลิงม่อพูด พลางพลิกมือคว้าข้อมือสวี่ซูหาน “อย่างนี้ดีกว่าเยอะ”

“นายพูดน้อยลงหน่อยจะตายไหม…” สวี่ซูหานคิดในใจ

“อีกเดี๋ยวอาจมืดกว่านี้ ถึงตอนนั้นคงต้องพึ่งเธอมองหาทิศทางแล้วล่ะ สถานที่ที่เรากำลังจะไปนี้ อาจไม่ใช่ทางเดิน แต่เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้างขวาง” หลิงม่อบอก

“ฉันว่านายพูดให้น้อยลงจริงๆ เถอะ…” ถึงแม้ในใจคิดอย่างนี้ แต่สวี่ซูหานกลับถามออกไปว่า “นายรู้ได้ยังไง?”

“ความรู้สึกบอก” หลิงม่อตอบ “พอเจ้า ‘โอเบลิสก์’ เข้าไปในนั้นมันก็รับรู้ได้ถึงตัวตนของสัตว์ประหลาดพวกนั้น แต่กลับมองไม่เห็น นั่นแสดงว่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นจะต้องรวมตัวกันอยู่จุดเดียว ไม่ได้กระจายตัวกันอยู่ทั่วทางเดิน อีกอย่างเมื่อกี้เธอน่าจะรู้สึกได้แล้ว ขอเพียงพวกเราหลบเข้าไปในซอกมุม พวกมันก็จะไม่เห็นเรา นั่นหมายความว่าระหว่างที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง พวกมันจะกระจายตัวกัน และจะเลือกพื้นหรือไม่ก็เพดาน เอาเป็นว่าพวกมันจะเลือกจุดที่สามารถเคลื่อนไหวเป็นเส้นตรงมากได้ที่สุด”

“งั้นก็หมายความว่าพวกมันไม่สามารถเบียดตัวรวมกันได้ตลอดเวลา ใช่ไหม? และดูจากดวงตาของพวกมัน พวกมันก็น่าจะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์อยู่…บวกกับจำนวนแล้ว…พวกมันต้องการพื้นที่ที่ใหญ่มากจริงๆ ตามคาด แต่ว่าในท่อน้ำทิ้งจะมีที่แบบนั้นอยู่ด้วยหรอ?” สวี่ซูหานทำหน้าครุ่นคิด พลางถาม

“มีสิ” หลิงม่อนึกถึงบ่อน้ำที่หุ่นซอมบี้ของเขาเจอ

ทั้งสองก้าวเดินไปข้างหน้าอีกระยะหนึ่ง ขณะเดียวกันรอบด้านเริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ

เดิมทีแสงไฟฉายในกระเป๋าของหลิงม่อยังพอส่องลอดออกมาได้บ้าง แต่ไม่นานแม้แต่จุดที่อยู่ห่างออกไปแค่ครึ่งเมตรก็ยังมองไม่เห็นแล้ว ไม่ใช่แค่เลือนราง แต่มันมืดจนมองไม่เห็นเลย

ทั้งสองมองหน้ากัน พร้อมใจกันเงียบอย่างไม่ได้นัดหมาย

เห็นชัดว่า พวกเขาได้เดินเข้ามาในทางเดินช่วงนั้นอย่างไม่รู้ตัวแล้ว และเวลานี้พวกเขาก็กำลังเดินเข้าไปใกล้จุดศูนย์กลางของพื้นที่นี้อย่างช้าๆ

ไม่นาน พวกเขาก็จะเจอศพของเจ้า ‘โอเบลิสก์’ แล้ว…

พอตกอย฿ในสถานการณ์อย่างนี้ ก็ดูเหมือนว่าเวลาจะเดินช้าลงถนัดตา และเมื่อระยะทางสั้นลง ความกดดันที่ทั้งสองแบกรับไว้ก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ หลิงม่อยังไม่ได้กลั้นหายใจ แต่ดูจากแรงบีบจากฝ่ามือของเขา เห็นชัดว่าเขากำลังระวังภัยอย่างเต็มที่  สวี่ซูหานเองก็อดตึงเกร็งร่างกายไปทั้งตัวไม่ได้ เธอกลัวว่าจะมีอะไรกระโจนออกมาจากความมืดอย่างไม่ทันตั้งตัว

“สวบ…”

สวี่ซูหานรู้สึกราวหนังหัวแทบระเบิด ปากของเธอถูกหลิงม่อปิดไว้ทันที ขณะเดียวกันไฟฉายถูกปิดทันที

ทั้งสองหยุดเดินพร้อมกัน สายตาเพ่งมองไปยังข้างหน้าเขม็ง

ข้างหน้า…มีบางสิ่ง…

ในตอนนั้น สวี่ซูหานรู้สึกเหมือนมือของหลิงม่อขยับเล็กน้อย เธอรีบเงยหน้ามองหลิงม่อ พบว่าเขากำลังส่งสายตาให้เธอ

พอมองตามสายตาหลิงม่อลงไปใต้เท้า สวี่ซูหานพลันอึ้งงันไปทันที

เลือด…เลือดกองโต เลือดวพกนั้นกระทั่งไหลรวมกันเป็นแอ่งเลือดขนาดย่อม…หลิงม่อคงเห็นมันก่อนที่จะปิดไฟฉายแล้ว ส่วนเธอเพราะถูกหลิงม่อยืนขวางไว้ จึงไม่ทันสังเกตเห็น

แต่เลือดมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน?

“ใช่แล้ว เจ้าสัตว์ประหลาดที่ถูกบั่นคอตัวนั้น!”

ตอนที่หลิงม่อกระชากมือถือกลับมา หัวของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นก็ลอยพุ่งออกมาด้วย เพียงแต่ตอนนั้นสถานการณ์เร่งรีบ เธอเลยไม่ทันมองว่าหัวของมันลอยไปทางไหน ตอนนี้พอมาเห็น คาดว่าที่นี่คงเป็นนจุดสุดท้ายที่หัวของมันหยุดอยู่แล้วล่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นหากแค่กลิ้งผ่าน คงไม่มีทางมีเลือดอยู่กองโตขนาดนี้

และเหตุผลที่หลิงม่อส่งสายตาให้เธอดูมันก็เพราะ…

ใช่แล้ว หัวของมันหายไป!

หัวของเจ้าสัตว์ประหลาดที่เดิมควรอยู่ตรงนี้ ตอนนี้กลับหายไปแล้ว…

หลิงม่อวิเคราะห์ผิดพลาดงั้นหรอ? สัตว์ประหลาดพวกนั้นไม่ใช่ไม่กิน แต่มีนิสัยชอบพักอาหารไว้ก่อนแล้วค่อยกิน?

สวี่ซูหานกำลังครุ่นคิด แต่ถูกหลิงม่อดึงแขนเบาๆ และมืออีกข้างหนึ่งของเขาก็ปล่อยปากเธอให้เป็นอิสระแล้ว

สวี่ซูหานรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อฝ่ามือที่กำลังห่างออกไปของเขา…ถึงกินไม่ได้ แต่ขอแค่ได้ดมใกล้ๆ ก็ยังดี…

พอนึกถึงตรงนี้เธอก็อดกลัวขึ้นมาไม่ได้ ดีที่เธอยังมีแรงเหลือล้น ถ้าไม่อย่างนั้นหากหมดแรงจนกลายสภาพเป็นหิวโหยอย่างเจ้า “โอเบลิสก์” นั่นแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะยังควบคุมตัวเองได้หรือเปล่า แต่โชคดีที่หลิงม่อแข็งแกร่งกว่าเธอหลายเท่า…

“เดี๋ยวก่อน! นี่มันใช่เรื่องที่ควรดีใจไหมเนี่ย!” สวี่ซูหานพลันได้สติ

เวลานี้หลิงม่อจูงมือเธอก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ทั้งสองย่ำเท้าลงในโคลนอย่างเบาที่สุด และเดินตามเสียงที่ดังมาจากข้างหน้าไปเรื่อยๆ

ก่อนหน้านี้เพราะตกใจ แต่ตอนนี้พอสงบจิตสงบใจแล้วเงี่ยหูฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง สวี่ซูหานพบว่าเสียงนี้เทียบกับเสียงที่ได้ยินก่อนหน้านี้ เหมือนจะมีจุดแตกต่างที่บอกไม่ถูกอยู่บางส่วน…เสียง “สวบสาบ” ก่อนหน้านั้นเหมือนเสียงฝ่าเท้าหรือฝ่ามือของสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่ยันบนผนัง แต่เสียงในตอนนี้กลับเหมือนมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวในโคลนตม…เสียงแรกอื้ออึงแสบหู เสียงหลังกลับฟังดูเงียบขรึม ทั้งจังหวะยังช้ากว่าอย่างเห็นได้ชัด

สวี่ซูหานเงยหน้ามองหลิงม่อ ไม่นานก็เข้าใจวัตุประสงค์ของเขา เขากำลังตามไป เพื่อดูว่ามันคืออะไรกันแน่…

ต้องยอมรับว่า สวี่ซูหานทึ่งในความกล้าของหลิงม่อมากจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นเธอ เกรงว่าคงไม่สามารถตัดสินใจได้เร็วขนาดนี้ ไม่ว่าจะเรื่องที่ย้อนกลับมา หรือเรื่องที่เดินตามไปในตอนนี้ก็ตาม…แต่คิดดูอีกทีก็ไม่แปลก ถ้าหากไม่มีความกล้าเลยซักนิด เขาคงไม่กล้าอยู่ร่วมกับซอมบี้ตั้งหลายตัวขนาดนั้น…

“มัวคิดเรื่องนี้ทำไมเนี่ย เราก็เป็นซอมบี้ไม่ใช่หรอ…” สวี่ซูหานคิดอย่างดูแคลนตัวเอง

ตอนนี้พวกเขาเดินมาข้างหน้าได้หลายเมตรแล้ว เสียง “สวบสาบ” นั้นก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เช่นกัน

เพียงแต่มีไอหมอกสีดำบดบัง พวกเขาจึงมองเห็นไม่ชัด อย่างมากก็ทำได้แค่กะระยะห่างจากเสียงที่ได้ยินเท่านั้น

สวี่ซูหานเองก็เคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับบางสิ่งอย่างกะทันหัน หรือว่าเหยียบโดนอะไรเข้าอย่างไม่ตั้งใจ

ตอนนั้นเอง หลิงม่อดึงมือเธอเบาๆ อีกครั้ง จากนั้นก็ทำสัญญาณมือห้ามส่งเสียง

พอเห็นท่าทางนี้ของเขา สวี่ซูหานก็เข้าใจทันที ดูเหมือนว่าเขากำลังเตรียมลงมือทำอะไรบางอย่างแล้ว…

แม้ถูกความมืดมิดรายล้อมอยู่อย่างนี้ ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่มีข้อได้เปรียบเลยซักนิด อย่างน้อยหลิงม่อก็ยังมีพลังจิตอยู่…

คิดถึงตรงนี้ สวี่ซูหานจึงขยับฝ่ามือเบาๆ เพื่อบอกเขาว่าเธอเห็นแล้ว

ทว่าเข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่ใกล้พวกเขาเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว สวี่ซูหานก็ยังอดตระหนกตกใจไม่ได้อยู่ดี

ขนาดเธอยังเป็นอย่างนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหลิงม่อที่กำลังเตรียมตัวลงมือจะขนาดไหน ถึงแม้สีหน้าท่าทางของหลิงม่อไม่เปลี่ยนไป แต่ตอนนี้เขากลับกลั้นหายใจ ฝ่ามือก็เริ่มมือเหงื่อซึมออกมา

สวี่ซูหานไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรบ้าง หลังจากครุ่นคิด เธอกระชับฝ่ามือหลิงม่อแน่น พลางงอเข่าลงเล็กน้อย อยู่ในท่าเตรียมวิ่งเต็มกำลัง

แต่ไม่คิดว่าในตอนนั้นเอง เสียง “สวบสาบ” นั่นกลับหยุดชะงัก หลิงม่อกระชากเธอวิ่งพุ่งออกไป…

—————————————–