ตอนที่ 345 ก่อความวุ่นวาย

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 345 ก่อความวุ่นวาย

“เยี่ยงนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่บอกว่าหากภายในสองวันยังมิเห็นฮูหยินรองหลี่ไปขอโทษก็จักนำเรื่องนี้ไปเรียนท่านฮูหยินผู้เฒ่า ตอนแรกบ่าวยังเป็นห่วงว่าถ้าสุขภาพของท่านมิดีจักทำเยี่ยงไร แต่ตอนนี้ดูมิมีปัญหาอันใดแล้วเจ้าค่ะ”

หลี่ซื่อได้ยินดังนั้นแววตาก็แข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม อันหลิงเกอตัวดีคิดไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าจริงด้วย !

อันหลิงเกอตั้งใจส่งปี้จูมาเพื่อเร่งนางไปขอโทษที่เรือนฉีอู๋ อาศัยว่ามีฮูหยินผู้เฒ่าคอยหนุนหลังจึงมิเกรงกลัวอันใด ! หลี่ซื่อรู้สึกพลาดท่าอย่างมาก หากมิใช่เพราะนางประมาทจนโดนอันหลิงเกอหลอกและคิดว่าอันหลิงเกอในตอนนี้เป็นตัวปลอม นางคงมิบีบบังคับเพื่อตรวจร่างกายของอันหลิงเกอและยิ่งมิมีทางกล้าพูดว่าจักขอโทษด้วยการเดินไปคำนับไปอย่างแน่นอน

นางเกิดมาเป็นบุตรสาวของข้าราชการ แม้ตอนนั้นท่านพ่อเป็นเพียงขุนนางขั้นหก มิได้โดดเด่นอันใดในเมืองหลวงแต่ก็นับว่าเป็นขุนนาง ตั้งแต่เด็กนางมิเคยลำบากมาก่อน ยิ่งมิต้องกล่าวถึงเรื่องเดินไปคำนับผู้ใดเช่นนี้อีก

แต่บัดนี้นางถูกคนที่เด็กคราวลูกบังคับให้คุกเข่าขอโทษ ช่างน่าอัปยศเสียจริง !

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของปี้จูจึงทำให้นางรู้สึกโมโหจนสั่นไปทั้งกายและยิ่งตอนนี้นางนอนอยู่บนเตียงจึงทำให้เห็นอาการสั่นได้อย่างชัดเจนทีเดียว

ส่วนปี้จูแค่มองด้วยสายตาที่มิบ่งบอกอารมณ์ใด “ฮูหยินรองหลี่ ท่านจักให้คำตอบกับคุณหนูใหญ่ว่าเยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”

“ในเมื่อข้าสัญญาไปแล้วย่อมรักษาสัญญา” ขณะที่พูดใบหน้าของหลี่ซื่อดูย่ำแย่อย่างมาก แต่ยังพยายามรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ การที่ต้องมาโต้เถียงกับสาวใช้เช่นนี้ช่างเสียศักดิ์ศรียิ่งนัก

ตอนที่นางกล่าวออกมา สาวใช้ที่อยู่ข้างกายได้ยินดังนั้นก็รีบพูดอย่างเป็นห่วงทันที “แต่สุขภาพของท่านมิค่อยดี หากฝืนทำเช่นนั้นเกรงว่าจักเป็นอันตรายถึงชีวิตได้นะเจ้าคะ”

จากนั้นสาวใช้ก็มองไปยังปี้จู มิมีสีหน้าก้าวร้าวเช่นเมื่อครู่อีกแต่แฝงไว้ด้วยการขอร้องเสียมากกว่า “ข้าได้ยินว่าคุณหนูใหญ่เป็นคนดีมีเมตตา ขอให้นายหญิงได้พักผ่อนจนแข็งแรง หลังจากนั้นค่อยไปขอโทษอีกที คุณหนูใหญ่คงมิว่าอันใดหรอกกระมัง”

“มิได้ มิได้” ปี้จูรีบส่ายหน้าทันที “คุณหนูใหญ่บอกว่าสองวันก็ต้องสองวัน ข้ามิกล้าตัดสินใจแทนคุณหนูใหญ่หรอก”

“อีกอย่างที่บอกว่าคุณหนูใหญ่ของเรามีเมตตาก็มิผิด แต่เมื่อโดนคนรังแกแล้วถ้าคุณหนูใหญ่ยังยอมถอยให้เรื่อย ๆ เช่นนี้ เกรงว่าในจวนโหวก็คงมิมีที่ให้นางยืนแล้วกระมัง”

คำพูดของปี้จูคล้ายกำลังบอกหลี่ซื่อว่าอันหลิงเกอในตอนนี้มิใช่คนขลาดเขลาเหมือนเมื่อก่อนแล้วจึงมิยอมให้ผู้ใดมาข่มเหงรังแกโดยมิตอบโต้

หลี่ซื่อรับฟังการโต้ตอบระหว่างสาวใช้สองคนก็รู้สึกแค้นใจที่ตนมิรีบกำจัดอันหลิงเกอตั้งแต่แรกแล้วปล่อยให้มีชีวิตอยู่จนโตมาเป็นเสี้ยนหนามทิ่มแทงตนในวันนี้

ทำให้สีหน้าที่แสดงออกมิสู้ดีนัก นางเงียบไปพักใหญ่แล้วตอบกลับมา “เจ้ากลับไปบอกคุณหนูใหญ่ว่าพรุ่งนี้ข้าจักไปขอโทษนางที่เรือน”

สิ่งที่ปี้จูต้องการคือคำตอบนี้จากหลี่ซื่อ เมื่อได้รับคำตอบแล้วจึงยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข “บ่าวรู้อยู่แล้วว่าฮูหยินรองหลี่เป็นคนรักษาสัญญา มิมีทางตั้งใจหาข้ออ้างเพื่อบอกปัดเรื่องการขอโทษแน่เจ้าค่ะ”

“บ่าวจักรีบไปรายงานให้คุณหนูใหญ่ทราบเพื่อที่คุณหนูใหญ่จักได้หาเวลาว่างเอาไว้เจ้าค่ะ”

คำพูดนี้ของปี้จูเป็นเหตุให้หลี่ซื่อรู้สึกโมโหจนเจ็บหน้าอกไปหมด คนที่มาเร่งให้นางไปขอโทษก็คืออันหลิงเกอ แต่คำพูดของปี้จูราวกับว่าอันหลิงเกอยุ่งเสียมากมายจนต้องหาเวลาว่างเพื่อมารับคำขอโทษจากนาง

ทำให้ตอนนี้มุมปากของนางกดลง แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “คุณหนูใหญ่งานยุ่งมากหรือไร แม้แต่ข้าจักไปขอโทษนางยังต้องหาเวลาว่าง”

“ก็มิได้ยุ่งมากหรอกเจ้าค่ะ” ปี้จูหัวเราะออกมาราวกับจักให้เสียงนั้นทิ่มแทงลงในหัวใจของหลี่ซื่อ “ช่วงนี้คุณหนูมิได้เข้าวัง ในจวนก็มิได้มีเรื่องอันใด ดังนั้นจึงตั้งตารอท่านไปพบเจ้าค่ะ”

อันใดคือการบอกว่ารอนางไปพบ ? รอดูความอับอายของนางใช่หรือไม่ ?

แม้ภายในใจคิดเยี่ยงนั้นแต่หลี่ซื่อก็ทำเพียงยิ้มราวกับแยกเขี้ยวออกมา นางคร้านจักเถียงกับปี้จูจึงพูดออกมาอย่างเรียบง่ายว่ามิมีทางผิดคำสัญญา จากนั้นปี้จูจึงขอตัวลากลับไป

“ช่างโอหังยิ่งนัก ! ”

ปี้จูเพิ่งเดินออกไป หลี่ซื่อก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันทีพร้อมส่งเสียงออกมาด้วยความโมโห

ท่าทางเกรี้ยวกราดนั้นมิเหมือนท่าทางของคนที่กำลังป่วยเลยแม้แต่น้อย

สาวใช้ข้างกายตกใจกับความเกรี้ยวกราดนี้มากจึงเอ่ยออกมาเบา ๆ “นายหญิง ท่านอย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ หากเสียสุขภาพก็จักเข้าทางคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ”

สาวใช้เดินไปรินน้ำชามาหนึ่งถ้วยแล้วส่งให้หลี่ซื่อ “คุณหนูใหญ่รอมิไหวถึงขั้นส่งคนมาเพื่อแสดงอำนาจให้ท่านเห็น นางอยากประกาศให้รู้ว่าครั้งนี้นางเป็นผู้ชนะ หากท่านโมโหเพราะเรื่องนี้ คุณหนูใหญ่ก็ยิ่งได้ใจเจ้าค่ะ”

นางพูดอย่างมีเหตุผล จากนั้นก็กระซิบกระซาบบางอย่างที่ข้างหูของหลี่ซื่อ

หลี่ซื่ออารมณ์มิดี ต่อให้ดื่มชาเยี่ยงไรความโกรธที่อยู่ภายในใจก็หาได้ลดลงไม่

ทว่าหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่สาวใช้กระซิบเมื่อสักครู่ ดวงตาของนางกลับเปล่งประกายขึ้นมาทันที “รีบไปทำเรื่องนี้ให้สำเร็จแล้วข้าจักตอบแทนเจ้าอย่างงาม”

นางแสดงท่าทีรีบร้อนขึ้นมาจนสาวใช้ต้องพูดปลอบเบา ๆ เพื่อให้นางใจเย็น “นายหญิงอย่าได้ใจร้อน ท่านยังมีกู่โมโม่อยู่มิใช่หรือเจ้าคะ ? ถึงเวลาก็ให้นางส่งคนมา…จากนั้นบ่าว…”

สาวใช้กระซิบบอกเบา ๆ จึงมีเพียงหลี่ซื่อเท่านั้นที่ได้ยิน

ทำให้ดวงตาของนางยิ่งเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็รีบเอ่ยว่า “ไปเรียกกู่โมโม่มาก่อน จากนั้นเจ้าค่อยไปทำให้สำเร็จ”

สาวใช้เมื่อเห็นสีหน้าของนางดีขึ้นจึงรีบรับคำแล้วออกจากห้องเพื่อไปทำบางสิ่งบางอย่าง

เช้าวันรุ่งขึ้นหน้าเรือนฉีอู๋ก็มีผู้คนมากมายมายืนรวมกันช่างดูวุ่นวายยิ่งนัก

ปี้จูถือว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นในจวนมิน้อย เมื่อเห็นหน้าประตูเรือนมีคนมายืนอยู่มากมาย ในใจก็เกิดความสงสัยจนต้องลากหญิงวัยกลางคนที่ทำงานในห้องครัวมาถาม

“ป้าเฉิน วันนี้พวกท่านมิทำงานกันหรือ ? เหตุใดถึงมารวมตัวกันที่นี่ ? ”

คนที่นางเรียกว่าป้าเฉินเป็นหญิงวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปี เมื่อได้ยินที่ปี้จูเอ่ยถามก็หันหน้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสนุกสนาน

“ไอหยา ปี้จู เจ้ามิรู้หรือไร เมื่อเช้าพวกเราทราบข่าวกันหมดแล้วว่าวันนี้ฮูหยินรองหลี่จักมาขออภัยคุณหนูใหญ่ ได้ยินว่านางจักเดินหนึ่งก้าวแล้วคุกเข่าคำนับหนึ่งครั้งจากเรือนของนางมาจนถึงเรือนของคุณหนูใหญ่”

เมื่อกล่าวจบป้าเฉินก็พึมพำออกมา “มิรู้ว่านางไปทำผิดอันใดจึงต้องมาขออภัยคุณหนูใหญ่เยี่ยงนี้ ปี้จู เจ้าเป็นคนของคุณหนูใหญ่ก็ช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยเถิด”

ทันใดนั้นใบหน้ากลมป้อมของปี้จูก็เคร่งขรึมทันที

เรื่องที่หลี่ซื่อจักมาขอโทษคุณหนู พวกนางมิเคยแพร่งพรายออกไป คนที่ทราบเรื่องนี้ก็มีเพียงมิกี่คนเท่านั้น

ขนาดว่าป้าเฉินที่ปกติอยู่แต่ในครัวกลับได้ยินข่าวนี้ด้วย จักต้องมีคนตั้งใจแพร่งพรายเรื่องนี้อย่างแน่นอน