บทที่ 410 เรือเดียวดาย ชุดคลุมสีดำ และไม้พายตะเกียง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 410 เรือเดียวดาย ชุดคลุมสีดำ และไม้พายตะเกียง! โดย Ink Stone_Fantasy

มีบรรยากาศเหนือชั้นที่บรรยายไม่ได้แผ่ออกมาจากแผ่นหลังชายเสื้อฟ้าผมเทา เป็นบรรยากาศที่สูงส่งแต่ก็แฝงไปด้วยความยโส ราวกับมีคุณสมบัติหลากหลายอย่างมาผสมรวมก่อให้เกิดเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่ทำให้ทุกคนเบื้องหน้าต้องก้มหัวให้ด้วยความรู้สึกด้อยค่า

จินตั้วหมิงเองก็รู้สึกเช่นนั้น พอได้พบเจ้าผินฟางก็รีบทำความเคารพในทันที

“หมิงน้อยขอแสดงความเคารพท่านลุงเจ้า” จินตั้วหมิงรีบเอ่ยทักทาย เขารู้ดีว่าชายตรงหน้าไม่ได้พึ่งพาความสัมพันธ์เนื้อคู่แห่งเต๋าในการไต่เต้าขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน ต้องบอกว่าเจ้าผินฟางต่างหากที่มีความสำคัญกับทางสหพันธรัฐจนได้เนื้อคู่แห่งเต๋ามา นอกจากจะมีคุณสมบัติอันเหนือชั้นแล้ว การพัฒนาขั้นตำแหน่งของเขาก็เป็นไปอย่างราบรื่นด้วย

ทว่าหากเปรียบเทียบด้านชื่อเสียงกับเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารแล้ว เจ้าผินฟางนั้นไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่คนทั่วไป มีเพียงเหล่าคนระดับสูงในแต่ละกลุ่มอำนาจเท่านั้นที่จะทราบชื่อเสียงของเขา

หวังเป่าเล่อเองก็อยากกล่าวทักทายเช่นกัน แต่พอได้ยินจินตั้วหมิงเรียกแทนตนเองว่าหมิงน้อยก็แทบจะกลั้นขำไว้ไม่อยู่แม้จะรู้สึกกดดันเมื่อได้เห็นแผ่นหลังของเจ้าผินฟางอยู่ด้านหน้า ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนต้องทำอะไรจึงรีบกล่าวทักทายเจ้าผินฟางตามไปในทันที

“เล่อน้องขอแสดงความเคารพท่านลุงเจ้า”

จินตั้วหมิงเลิกคิ้วสูง เหลือบมองไปทางหวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูด พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายหลังจากเรียกแทนตัวเองว่า ‘เล่อน้อย’ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เตรียมตัวตนเองให้พร้อม

เจ้าผินฟางที่หันหลังมองดูภาพสลักอยู่มีสีหน้างุนงงไปแวบหนึ่ง ทว่าเขาก็สงบใจสำรวมท่าทีก่อนจะค่อยๆ หันกลับมา

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจนหลังจากที่หันหน้ากลับมา ชายหนุ่มก็ต้องรู้สึกผิดที่คิดว่าตนมีรูปโฉมงดงามที่สุดในสหพันธรัฐ เพราะแม้จะย่างเข้าสู่ช่วงวัยกลางคนแล้ว เจ้าผินฟางก็ยังมีรูปลักษณ์โดดเด่นเหนือชั้นกว่าผู้อื่น เมื่อครั้งยังเยาว์วัยคงจะเป็นชายหนุ่มที่แสนจะละมุนละไมเป็นแน่แท้!

ถึงจะอยู่ในช่วงวัยกลางคนและมีผมสีเทา เขาก็ยังสง่างาม ดูหล่อเหลามากยิ่งขึ้นไปอีก

*ที่นี่มีแต่ชายที่สมชาย…*หวังเป่าเล่อถอนหายใจ รู้สึกอิจฉาขึ้นมาอยู่ภายใน แต่ก็รีบกลบฝังความรู้สึกไป เขารู้สึกคุ้นหน้าเจ้าผินฟาง แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเจออีกฝ่ายเมื่อใด

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังฉงนอยู่นั้น เจ้าผินฟางก็หันมามองจินตั้วหมิงและหวังเป่าเล่อด้วยแววตาสงบนิ่ง

เขาเลื่อนสายตาผ่านจินตั้วหมิง ให้ความสนใจในตัวหวังเป่าเล่อมากกว่า หลังจากประเมินชายหนุ่มด้วยสายตาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็แค่นเสียงออกทางจมูก

หวังเป่าเล่อตื่นตกใจไป รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่เข้าเกาะกุมหัวใจ เจ้าผินฟางละสายตาจากชายหนุ่มก่อนจะหันกลับไปทางภาพสลักอีกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว

หวังเป่าเล่อรู้สึกกังวลและไม่สบายใจหนักไปกว่าเดิม รีบหันไปมองจินตั้วหมิงด้วยแววตาสงสัยว่าสถานการณ์นี้คืออะไร จินตั้วหมิงกะพริบตา พยายามสื่อสารผ่านสายตาว่าตนก็ไม่รู้เช่นกัน

หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ตรงไหน เขาเริ่มคิดเดาสถานการณ์ในหัว

*ทำไมถึงจ้องข้าเช่นนั้น ถึงกับแค่นเสียงทางจมูกใส่อีก…ไม่ใช่แล้ว ต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้อง หรือว่าจะเป็น…*ระหว่างที่หวังเป่าเล่อกำลังไตร่ตรองสถานการณ์ก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว ชายหนุ่มคิดว่าเจ้าผินฟางน่าจะอยากขอรับตนเป็นบุตรบุญธรรมเหมือนกันกับเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขา!

จินตั้วหมิงเห็นหวังเป่าเล่อเริ่มเป็นกังวลอีกครั้งก็หัวเราะและตัดสินใจไม่อธิบายสถานการณ์ให้ฟัง เขายืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ เจ้าผินฟางไม่ได้สนใจสีหน้าเป็นกังวลของชายหนุ่ม เขาจ้องมองภาพสลักอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆ เปิดปากขึ้นเอ่ยประโยคแรกหลังจากได้พบชายหนุ่มทั้งสองคน

“พวกเจ้าทั้งสอง เข้ามาใกล้ๆ แล้วบอกข้าว่าเห็นอะไรในภาพสลักนี้”

เมื่อได้ยินเสียงเจ้าผินฟางดังขึ้น จินตั้วหมิงก็ก้าวออกไปยืนจ้องภาพสลักด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งในทันที หวังเป่าเล่อรีบปัดความรู้สึกในใจทิ้งไป ก่อนจะก้าวเข้าไปหยุดเคียงข้างเจ้าผินฟาง จากนั้นก็เงยหน้ามองภาพสลัก

ตอนที่เข้ามาในห้อง เขาได้เหลือบมองภาพสลักอยู่แวบๆ ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังจ้องมองภาพดาวเคราะห์ที่กำลังจะล่มสลาย มองภาพเหล่าวิญญาณที่ลอยออกมารวมตัวเป็นสายธารผสานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ภาพสลักนี้ดูแปลกเล็กน้อย แต่เขามองไม่ออกว่าภาพนี้ต้องการจะสื่ออะไร ยิ่งเพราะมัวคิดมากกับสายตาแปลกๆ ที่เจ้าผินฟางจ้องมาก็ยิ่งสติเตลิดไปกันใหญ่ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเลือกนิ่งเงียบ ทำเป็นจ้องมองภาพสลักอย่างละเอียดถี่ถ้วน

แต่ยิ่งจ้อง สายตาของหวังเป่าเล่อก็เริ่มหรี่เล็กลง เขาสัมผัสได้ไม่ชัดเจนตอนที่อยู่ห่างออกไป แต่พอมาอยู่ใกล้ๆ และได้จ้องมองภาพสลัก ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่แผ่ออกมาจากภาพนี้…

พลังนั้นบางเบาเสียจนคนอื่นๆ ไม่สามารถจับสัมผัสได้ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่ฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดนั้นกลับรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี ชายหนุ่มเดินตรงไปแตะภาพสลักเพื่อจะยืนยันสัมผัสของตนเอง ทันทีที่มือเขาแตะลงบนภาพสลัก หวังเป่าเล่อก็ตื่นตะลึงไป มั่นใจว่าพลังที่แผ่ออกมาจากภาพสลักคือปราณมืด!

“หมิงน้อย เจ้าว่าก่อน” ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงตื่นตะลึงอยู่ เจ้าผินฟางก็พูดขึ้น

จินตั้วหมิงรีบรับคำ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้ม

“ท่านลุงเจ้า สำหรับข้าแล้ว ภาพสลักนี้มีความหมายลึกล้ำแฝงอยู่ แม้ตัวข้าจะโง่เขลา แต่ก็บอกได้ว่าภาพสลักนี้แสดงให้เห็นถึงความหวัง ยกตัวอย่างเช่น การสูญสิ้นของจักรวาลนี้ และการกำเนิดของเหล่าวิญญาณ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นการสื่อให้เห็นอย่างสุดโต่ง ข้าคิดว่าจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นหากสิ่งต่างๆ เริ่มตึงเครียด ภาพที่นำเสนออย่างสุดโต่งนี้แสดงให้เห็นถึงความหวัง รวมไปถึงโอกาสที่ข้ายังไม่สามารถหยั่งรู้ได้!”

หวังเป่าเล่อสนใจคำตอบของจินตั้วหมิงไม่น้อย เขาไม่ได้มองแค่เพียงผิวเผิน แต่ได้ตีความหมายที่แฝงเอาไว้ในภาพสลักอย่างลึกซึ้ง ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าเจ้าผินฟางพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ฟังการตีความดังกล่าว เขาทราบในทันทีว่านี่คือการประเมินรูปแบบหนึ่ง!

พวกคนใหญ่คนโตเจอใครก็คิดจะทดสอบไปหมดเลยหรือไรหวังเป่าเล่อถอนหายใจ กำลังครุ่นคิดว่าจะตอบอย่างไรดี เสียงของเจ้าผินฟางก็ดังขึ้น

“หวังเป่าเล่อ ตาเจ้าแล้ว!”

“ชิ…” หวังเป่าเล่อไม่พอใจ รู้สึกว่าเจ้าผินฟางเลือกปฏิบัติ กับจินตั้วหมิงกลับเรียกแทนว่าหมิงน้อย น้ำเสียงที่พูดด้วยก็ดูอบอุ่น พอเป็นเขากลับเรียกชื่อตรงๆ เหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีอคติต่อตนอย่างไรอย่างนั้น

แม้ชายหนุ่มจะไม่รู้ว่าอคติของอีกฝ่ายเกิดจากสาเหตุใด แต่ตนนั้นแน่ชัดว่าอารมณ์ตัวเองที่คุกรุ่นอยู่นี้มีที่มาจากไหน ชายหนุ่มหันไปจ้องเจ้าผินฟาง

“ปรมาจารย์เจ้า แต่ละคนนั้นตีความภาพสลักนี้แตกต่างกันไป หมิงน้อยคิดว่ามันสื่อถึงความหวัง ส่วนข้าคิดว่าน่าจะเป็นพิธีกรรมอะไรสักอย่าง แต่ที่แต่ละคนตีความกันนั้นก็เป็นแค่การคาดเดา ข้าเองก็มีการตีความภาพสลักนี้ในแบบของข้า!”

“ภาพสลักนี่มีที่มาจากสุสานอาวุธเทพใต้ดินบนดาวอังคาร!” เจ้าผินฟางมีสีหน้าเฉยเมยตลอดช่วงครึ่งแรก แต่พอได้ยินช่วงครึ่งหลัง เขาก็หันมามองหวังเป่าเล่อในทันที

สายตาที่มองมาไม่ได้เป็นสายตาประเมินค่า แต่เป็นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“ทำไมถึงว่าเช่นนั้น”

“รู้สึกได้ตามสัญชาตญาณ!” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น ยืนเอามือไพล่หลังพร้อมกพูดขึ้นอย่างใจเย็น พยายามแสดงออกให้เจ้าผินฟางเห็นว่าตนไม่พอใจที่เขาเลือกปฏิบัติเช่นนี้

จินตั้วหมิงกะพริบตาและถอยหลังไป รู้สึกว่าน้ำเสียงที่หวังเป่าเล่อพูดกับเจ้าผินฟางนั้นช่างวอนโดนดีเสียจริง เจ้าผินฟางยังคงมองชายหนุ่มด้วยแววตาสงสัยที่เพิ่มมากขึ้น ความสงสัยในแววตาค่อยแปรเปลี่ยนเป็นการยอมรับ ราวกับว่าพอใจในคำตอบของหวังเป่าเล่อ ขณะที่จินตั้วหมิงกำลังตื่นตะลึงอยู่นั้น เจ้าผินฟางก็หัวเราะขึ้น

“มีคนมากมายจากสหพันธรัฐที่ได้เชยชมรูปนี้ก่อนพวกเจ้า แต่หวังเป่าเล่อ เจ้าเป็นคนแรกที่สามารถบอกแหล่งที่มาของภาพสลักนี้ได้โดยที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน!

“สมกับเป็นเจ้าเมืองนครอาวุธเทพใหม่ที่จัดการสุสานอาวุธเทพใต้ดินได้ เจ้าได้ศึกษาสุสานมาอย่างดีจนช่วยขัดเกลาสัญชาตญาณของตัวเองให้แม่นยำยิ่งขึ้น!

“ถูกแล้ว ภาพสลักนี่มาจากสุสานอาวุธเทพใต้ดินบนดาวอังคาร เป็นของที่ค้นพบเมื่อมีการเข้าไปตรวจสอบภายในสุสานเป็นครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน!

“ภาพสลักนี้เป็นของพิเศษ มันเปลี่ยนไปตลอดเวลา เมื่อต้องกับสภาพแสงต่างๆ ภาพที่ซ่อนอยู่อื่นๆ ก็จะปรากฏให้เห็น!” เจ้าผินฟางยกมือขวาขึ้นโบกขณะพูด ทันใดนั้น แสงในห้องวิจัยหมายเลขสามก็แปรเปลี่ยนไป ถ้ำที่อยู่ล้อมรอบเลือนหายกลายเป็นจักรวาลเข้ามาแทนที่!

ราวกับว่าทั้งสามได้ถูกเคลื่อนย้ายมาอยู่ในห้วงอวกาศ ขณะที่พวกเขายืนอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ สิ่งรอบตัวและภาพสลักก็ผสานรวมกัน อาจกล่าวได้ว่า พวกเขาถูกเคลื่อนย้ายเข้ามาสู่โลกในภาพสลัก

และเป็นตอนนั้นเองที่รูปวาดในภาพสลักพลันแปรเปลี่ยนไป แม้ดาวเคราะห์จะยังล่มสลายและวิญญาณมากมายยังลอยล่องเป็นสายธาร ที่ปลายสายธารวิญญาณด้านนอกดาวเคราะห์นั้น มีเรือเดียวดายสีดำปรากฏขึ้นในอวกาศ!

บนเรือเดียวดายมีชายชุดคลุมสีดำอยู่คนหนึ่ง ในมือของเขาถือไม้พายแปลกตาที่มีตะเกียงห้อยลงมา

เรือเดียวดาย ชุดคลุมสีดำ และไม้พายตะเกียง!

เส้นทางของเรือเดียวดายนั้นเหมือนจะแบ่งแยกแสงสว่างออกจากความมืด แสงจากตะเกียงเป็นดั่งแสงนำทางจากหอประภาคาร เมื่อชายชุดคลุมดำพายเรือไปด้านหน้า สายธารวิญญาณเบื้องหลังก็ไม่ได้ดูทุกข์ทรมานอีกต่อไป พวกมันเคลื่อนตัวไปอย่างสงบสุข

“มีใครเคยได้ยินเรื่องสำนักแห่งความมืดหรือไม่” เสียงของเจ้าผินฟางที่แฝงไปด้วยความเคารพจากก้นบึ้งของหัวใจดังก้องไปทั่วอวกาศ นั่นไม่ใช่คำถาม เขาเพียงพึมพำกับตนเองเท่านั้น