ตอนที่ 727

Elixir Supplier

727 ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิต

 

“ครับ อาจารย์อา” เมี่ยวซานติงมาด้วยความรีบร้อน ครั้งก่อนที่เขามาที่เขาหลงหู่ เขาก็ไม่ได้เจอกับนักพรตชรา “อาจารย์อา ยังมีศิษย์พี่อีกคนอยู่ที่เขาลูกนั้นครับ”

 

“อาจารย์รู้” นักพรตเต๋าพูด “อาจารย์กลัวว่า ตอนนี้ เขาอาจจะตกอยู่ในอันตราย ให้ศิษย์น้องของอาจารย์ไปที่สุสานแห่งนั้นกับเธอก็แล้วกัน”

 

เขาไม่คาดคิดว่าด้านในสุสานจะมีสิ่งเลวร้ายเกินกว่าที่ทุกคนจะสามารถจินตนาการได้ และทุกคนต่างก็สงสัยว่าอะไรที่อยู่ด้านในนั้น

 

“ขอบคุณครับ” เมี่ยวซานติงพูด “แล้วศิษย์พี่เป็นยังไงบ้างครับ?”

 

“เขาได้รับการรักษาแล้ว” นักพรตเต๋าพูด “เราก็ได้แต่หวังว่าเขาจะรอดชีวิต”

 

“อาจารย์อา เราก็เคยเข้าไปในนั้น แล้วได้รับบาดเจ็บมาเหมือนกันครับ” อยู่ๆเมี่ยวซานติงก็นึกถึงหวังเย้าขึ้นมาได้ ถ้าเขาสามารถรักษาเขากับน้องชายได้ เขาก็น่าจะสามารถรักษานักพรตที่ได้รับบาดเจ็บได้เหมือนกัน “ถึงจะไม่ได้ร้ายแรง แต่สาเหตุก็น่าจะมาจากแหล่งเดียวกัน และมีคนคนหนึ่งที่สามารถรักษามันได้ครับ!”

 

“จริงเหรอ? เธอก็รู้ว่านี่ไม่ใช่อาการป่วยธรรมดา” นักพรตชราตอบ

 

โรคนี้อยู่เหนือโรคธรรมดาที่คนทั่วไปเป็นกัน

 

“มันคือเรื่องจริงนะครับ” เมี่ยวซานติงพูด “ผมจะรีบออกเดินทางไปจังหวัดฉี แล้วก็ไปขอให้เขามาช่วยรักษาศิษย์พี่นะครับ”

 

“เธอโทรไปหาเขาไม่ได้เหรอ?” นักพรตชราถาม

 

“ไม่ได้หรอกครับ ผมต้องไปขอร้องเขาด้วยตัวเอง” เมี่ยวซานติงพูด “ผมจะให้น้องชายของผมพาทุกคนไปที่สุสานแทนนะครับ”

 

“หา?” หลิวซื่อฟางตกใจ

 

“อืม งั้นอาจารย์จะซื้อตั๋วให้” นักพรตเต๋าพูด

 

ไม่นาน ทุกอย่างก็พร้อม การซื้อขายทางออนไลน์ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก ตอนนี้ แม้แต่นักพรตเต๋าก็ยังพัฒนาไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกับคนทั่วไป

 

พวกเขาแบ่งกันเป็นสองกลุ่ม หนึ่งแยกตัวเดินทางไปเชิญหวังเย้าที่จังหวัดฉี เพื่อให้เขาเดินทางมารักษาอาการคนป่วยที่เขาหลงหู่ ส่วนอีกกลุ่มได้เดินทางไปที่หมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานโบราณ

 

 

ภายในหมู่บ้าน คนสองคนกำลังมองซ้ายขวาด้วยท่าทีระมัดระวัง

 

“นี่ ฉันได้ยินมาว่า สุสานนี้มีวิญญาณร้ายอยู่นะ” ชายคนหนึ่งพูด “แล้วก็ยังมีคนตายในนี้ด้วย”

 

“วิญญาณร้าย? ทำไมนายจะต้องกลัวอะไรแบบนั้นด้วย? ฉันได้นี่มาจากเขาหลงหู่ล่ะ” ชายอีกคนที่มีแก้มตอบคล้ายกับลิง ได้ถือแผ่นยันต์ที่เอาไว้ป้องกันวิญญาณร้ายเอาไว้ “มันมีไว้สำหรับไล่วิญญาณร้ายล่ะ”

 

“โอ้ แล้วขโมยของในสุสานจะผิดกฎหมายรึเปล่า?” ชายอีกคนถาม

 

“ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงเรื่องนั้นหรอก” ชายหน้าตอบพูด “นายอยากจะซื้อบ้านในเมือง, แต่งเมีย, และมีเงินไว้จ่ายค่ารักษาพยาบาลพ่อแม่หรือเปล่าล่ะ?”

 

“โอเค พอได้แล้ว” ชายอีกคนพูด “ไปกันเถอะ!”

 

ชายสองคนมุ่งหน้าไปยังกระท่อมบนเขาด้วยความระมัดระวัง

 

“นี่ ทำไมมันถึงได้เงียบแบบนี้ล่ะ?” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมา พวกเขาไม่ได้ยินเสียงนกหรือแมลงร้องเลย “นี่ นายรู้สึกว่ามันเย็นๆรึเปล่า?”

 

“เงียบสักทีได้ไหม?” ชายหน้าตอบพูด

 

อยู่ๆเขาก็ตบไปที่หน้าอกของตัวเอง กระเป๋าเสื้อของเขากำลังลุกไหม้ แผ่นยันต์ที่ได้มาจากเขาหลงหู่ได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว

 

ผ้าหลากสีที่ปกคลุมด้านนอกกระท่อมเอาไว้อยู่ๆก็ส่ายไปมา

 

สีหน้าของชายทั้งสองเปลี่ยนจากซีดเซียวเป็นตกตะลึง และจิตใจของพวกเขากลายเป็นว่างเปล่า หลังจากที่ได้สติกลับคืนมา พวกเขาก็รีบวิ่งมุ่งหน้าตรงไปที่เขา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิต ไม่ว่าจะเป็นของที่อยู่ด้านในสุสาน, เงินทอง, บ้านหรือว่าเมีย

 

ชายทั้งสองวิ่งขึ้นไปจนถึงยอดเขาและวิ่งลงไปยังหมู่บ้านที่อยู่อีกด้านของเขาลูกนี้ พวกเขาทรุดตัวลงนั่งที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน พร้อมกับหายใจหอบ

 

“เขารอดแล้ว!”

 

พวกเขาไม่กล้าหันกลับไปมองที่เขาลูกนั้น ส่วนสุสานโบราณที่ตั้งอยู่บนนั้น พวกเขาไม่อยากจะไปคิดถึงมันอีก

 

“ฉันจะไปคุยเรื่องนี้กับผู้ใหญ่บ้าน” ชายหน้าตบพูด “จะให้ชาวบ้านเข้าไปใกล้เขาลูกนั้นไม่ได้เด็ดขาด”

 

ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาในหมู่บ้านและหยุดลง มีคนสี่คนลงมาจากรถ สามคนในนั้นอยู่ในชุดของนักพรตเต๋า

 

“อาจารย์อา ที่นี่แหละครับ” หลิวซื่อฟางพูด

 

“ไปดูกันเถอะ” ผู้นำของกลุ่มนักพรตเต๋าพูด

 

“หา ตอนนี้เลยเหรอครับ?” หลิวซื่อฟางตกใจ

 

“ใช่ ตอนนี้เลย” ผู้นำนักพรตเต๋าพูด “ถามทำไมเหรอ?”

 

“มันดึกแล้ว แล้วบนนั้นก็มีวิญญาณร้ายอยู่ด้วยน่ะสิครับ” หลิวซื่อฟางพูด

 

“ที่พวกเรามาที่นี่ ก็เพื่อจัดการกับปีศาจและวิญญาณร้าย” นักพรตพูด

 

“แต่ไม่ใช่ว่า เวลากลางคืนจะทำให้พวกมันร้ายกาจขึ้นเหรอครับ?” หลิวซื่อฟางถาม

 

“เพราะแบบนั้น เราเลยต้องมาดูยังไงล่ะ” นักพรตพูด ก่อนที่เขาจะเดินมุ่งหน้าไปยังเขาลูกนั้น

 

“อาจารย์อา รอผมด้วย” หลิวซื่อฟางพูด

 

มันเป็นค่ำคืนที่เงียบสงัด บนเขาลูกนี้ดูเหมือนจะเงียบกว่าที่อื่น เมื่อพวกเขาเดินมาถึงตรงบริเวณตีนเขา กระดิ่งที่ห้อยอยู่ตรงเอวของนักพรตก็ส่งเสียงดังลั่น

 

“มันยากที่จะจัดการจริงๆ” นักพรตพูด

 

ด้านล่างของเขาลูกนี้มีต้นไม้และก้อนหินอยู่เป็นจำนวนมาก นักพรตเต๋าหยุดอยู่ที่หินก้อนหนึ่งและนำกระดาษแผ่นหนึ่งมาแปะเอาไว้ กระดิ่งที่เอวของเขาดูเหมือนจะสงบลง เขาเดินไปรอบๆเขาและหยุดที่หินอีกก้อน ก่อนที่จะนำกระดาษอีกแผ่นติดเอาไว้ เสียงกระดิ่งดูเหมือนจะเบาลงกว่าเดิม พวกเขาเดินรอบเขาเป็นครึ่งวงกลมเพื่อติดกระดาษตามก้อนหินทั้งหมดสี่แผ่น ก่อนที่จะเดินขึ้นไปด้านบน

 

หลิวซื่อฟางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขามองเห็นกระท่อมได้ลางๆ เขาคิดในใจ อย่าออกมานะ! อย่าออกมา! อย่าออกมาเลย! ได้โปรดเถอะ!

 

โชคดีที่นักพรตเต๋าไม่ได้เดินเข้าไปใกล้มากกว่านี้ เขาได้เดินวนรอบกระท่อมและนำกระดาษทั้งหมดแปดแผ่นติดตามต้นไม้และก้อนหินที่อยู่รอบๆบริเวณนั้นแทน เมื่อรวมเข้ากับกระดาษสี่แผ่นที่ติดไปก่อนหน้านี้ ทั้งหมดก็ได้กลายเป็นค่ายกลที่นักพรตได้สร้างขึ้นมา

 

“ไปกันเถอะ” นักพรตเต๋าพูด

 

“โอ้ ดีครับดี!” เมื่อได้ยินคำพูดของนักพรตเต๋า หลิวซื่อฟางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

 

พวกเขาทั้งหมดเดินลงเขาไปและหาบ้านของชาวบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านเพื่อนอนค้างคืน

 

ในขณะเดียวกันนั้น เมี่ยวซานติงก็บินไปถึงเมืองเต๋าในคืนนั้นและนั่งแท็กซี่จากเมืองเต๋าเพื่อเดินทางไปยังเขตเหลียนชาน แท็กซี่เดินทางด้วยความรวดเร็วตามความต้องการของผู้โดยสาร

 

“เดินทางมาถึงดึกขนาดนี้ คุณรีบมากเลยเหรอ?” คนขับแท็กซี่ถาม

 

การเดินทางต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง เพราะมันเป็นเวลาดึกมากแล้ว การพูดคุยกับผู้โดยสารก็ช่วยให้คนขับตื่นตัวได้มากขึ้น

 

“ครับ ผมมีเรื่องด่วนมาก” เมี่ยวซานติงพูด เขาเป็นกังวล เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของคน

 

“คุณมาจากที่ไหนเหรอ?” คนขับถาม

 

“หงโจวครับ” เมี่ยวซานติงตอบ

 

“ผมเคยไปที่นั่นมาก่อน” คนขับพูด “ที่นั่นมีเขาซานชิงกับเขาหลงหู่อยู่ใช่ไหม? มันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิของลัทธิเต๋า ถูกต้องรึเปล่า? แล้วนักพรตเต๋าที่อยู่ที่นั่นรู้วิธีการใช้เวทมนต์คาถาจริงๆเหรอ?”

 

“ครับ” เมี่ยวซานติงพูด เขาไม่ได้อยากจะคุยกับคนขับแท็กซี่มากนัก

 

เมื่อไปถึงที่เขตเหลียนชาน มันก็เป็นเวลาตีสามแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาโรงแรมเพื่อเข้าพักในเวลานี้ แต่สุดท้ายเขาก็เจอที่หนึ่ง หลังจากนอนได้ไม่ถึงสามชั่วโมง เขาก็ตื่นขึ้นมาก่อนหกโมงเช้าและนั่งแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านกลางเขา เมื่อตะวันโผล่ขึ้นฟ้า เขาก็รออยู่ที่ด้านหน้าคลินิกแล้ว

 

จงหลิวชวนที่ออกมาวิ่งในตอนเช้าเห็นเขาเข้า และสังเกตดูเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปบนเขาเพื่อออกกำลังกาย

 

เมี่ยวซานติงจุดบุหรี่สูบ เขามองดูนาฬิกาอยู่เกือบตลอด เฮ้อ มันเกือบได้เวลาที่ต้องตื่นแล้วไม่ใช่เหรอ? เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนที่ในที่สุด เขาจะหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อกดโทรหาหวังเย้า

 

หวังเย้าไม่ได้โมโหอะไรถึงแม้ว่าเขาจะโทรมาแต่เช้า เขารู้ความตั้งใจของเมี่ยวซานติง หลังจากที่ได้รู้ว่า เมี่ยวซานติงกำลังรอเขาอยู่ หวังเย้าก็ลงไปจากเขาในทันที

 

เมื่อได้เห็นหวังเย้าเดินมา เมี่ยวซานติงก็สูบบุหรี่ไปได้ห้ามวนแล้ว “ขอโทษที่ต้องมารบกวนหมอนะครับ”

 

“คุณเดินทางมาตอนกลางดึกเลยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ครับ มันเป็นเรื่องของชีวิตคนน่ะครับ” เมี่ยวซานติงพูด

 

“เข้ามาข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าเปิดประตูคลินิก และเทน้ำใส่แก้วให้กับเมี่ยวซานติง

 

เขาพอจะเดาได้ว่า เมี่ยวซานติงยังไม่ได้กินอาหารเช้ามา ดังนั้น การดื่มชาจึงไม่ใช่เรื่องที่สมควร

 

“ผมมาที่นี่เพื่อเชิญหมอไปรักษาคนครับ” เมี่ยวซานติงดื่มน้ำเข้าไป

 

“รักษาคนเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

เมี่ยวซานติงเล่าเรื่องทั้งหมดให้หวังเย้าฟัง

 

“มีคนตายไปสามคนแล้วอย่างนั้นเหรอ?” หวังเย้าไม่คิดว่า เรื่องมันจะเลวร้ายได้ถึงขนาดนี้

 

“ผมกลัวว่าน้องชายของผมจะได้รับอันตราย แล้วยังมีนักพรตจากเขาหลงหู่อีกคนที่ยังอยู่ในอันตรายด้วย” เมี่ยวซานติงพูด “หมอช่วยพวกเขาได้ไหมครับ? ผมยินดีทำทุกอย่างที่หมอต้องการ”

 

หวังเย้ามองชายที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทีสงบนิ่ง เมี่ยวซานติงกำลังเป็นกังวลอย่างมาก ความจริง ตัวหวังเย้าเองก็รู้สึกสนใจเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ไม่ใช่แค่โรคประหลาด แต่ยังรวมไปถึง “วิญญาณ” ที่เขาอยากจะไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง