ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 139 หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เฉินฉางเซิงก็รู้ว่าหนุ่มน้อยผู้นี้คือผู้ใด เริ่มจากตั้งแต่รู้จักถังซานสือลิ่ว จนกระทั่งข้ามผ่านช่วงเวลามาเป็นสหายร่วมสำนัก เขาได้ยินลูกสุนัขป่าคำนี้ออกจากปากของถังซานสือลิ่วนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งเวลานี้ เขาเพิ่งจะรู้ว่าเดิมทีสุนัขป่าตัวนี้อยู่ทางทิศเหนือมาตลอด

สุนัขป่ามิใช่สุนัข ลูกสุนัขป่าเป็นธรรมดามิใช่ลูกสุนัขที่แฝงไปด้วยความดูถูกเช่นนั้น ถังซานสือลิ่วรวมถึงผู้มีพรสวรรค์คนหนุ่มในประกาศชิงอวิ๋น ต่างก็เคยชินที่จะเรียกว่าลูกสุนัขป่ามาบรรยายหนุ่มน้อยที่น่าเกรงกลัวผู้นี้ ในความเป็นจริงตั้งใจให้ตนยังคงอยู่ในสายตาฝ่ายตรงข้าม ลากเข้าไปอยู่ในระยะห่างระดับหนึ่ง แท้จริงแล้วได้ซุกซ่อนความหมายบางอย่างไว้ ก็คือ…เคารพยำเกรง

ครั้งแรกเมื่อเฉินฉางเซิงได้ยินถังซานสือลิ่วเอ่ยถึงลูกสุนัขป่า อยู่ในโรงเตี๊ยมด้านหน้าสุสานเทียนซู ครานั้นเขารู้สึกว่าเมื่อถังซานสือลิ่วเอ่ยคำนี้มีความรู้สึกสลับซับซ้อน มีความหวาดกลัวจนกระทั่งเคารพยำเกรง ต้องเข้าใจว่าหนุ่มน้อยที่ทะนงตนดังเช่นถังซานสือลิ่ว แม้แต่บุคคลดังเช่นชิวซานจวินกับโก่วหานสือ ยังไม่ทำให้เขาเคารพมาจากใจได้

เขาไม่ได้ถามถังซานสือลิ่วว่าลูกสุนัขป่าแท้จริงแล้วคือผู้ใด อีกทั้งยังมิได้สืบเสาะความเป็นมาและการสืบทอดของลูกสุนัขป่าผู้นี้ เพราะว่าตอนนั้นเวลาทั้งหมดของเขาทุ่มเทให้กับการร่ำเรียนและฝึกบำเพ็ญเพียร อีกทั้งตามน้ำเสียงที่ถังซานสือลิ่วเอ่ยออกมา ลูกสุนัขป่าผู้นี้ราวกับว่าอยู่ตรงขอบฟ้าที่ไกลโพ้น เช่นนั้นเขาจึงมิได้สนใจ

จนกระทั่งด้านหน้าพระราชวังหลีวันนี้ แสงอาทิตย์ที่สาดส่องออกมา สายตาของเขาร่วงหล่นยังร่างกายของหนุ่มน้อยที่สวมชุดเดียวผู้นี้ และยากจะเคลื่อนไปไหนได้ จนกระทั่งเวลานี้ ในที่สุดเขาก็รู้ หนุ่มน้อยผู้นี้ใช้ชื่อไม่เหมือนกับคนทั่วไป เจ๋อซิ่ว คิดแล้วว่าภายหลังหากจะลืมชื่อนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง

“เจ๋อซิ่วผู้คับแค้น…” ลั่วลั่วยืนอยู่ข้างเขา จ้องมองหนุ่มน้อยที่อยู่ในศาลา เอ่ยเสียงเบา “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอกับเขา”

เฉินฉางเซิงได้ยินน้ำเสียงของนางสั่นเทาเล็กน้อย รู้สึกแปลกประหลาดจึงก้มศีรษะมองไป พบเพียงแค่สายตาของนางที่จ้องมองหนุ่มน้อยผู้นั้นเต็มไปด้วยความเวทนา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทันใดนั้นรู้สึกไม่สบายใจ

“ข้าคิดว่า ทุกคนที่อยู่ในสนามคงจะเป็นครั้งแรกที่เห็นเขา”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองหนุ่มน้อยผู้นั้น ท่าทางสลับซับซ้อนเอ่ยว่า “ตั้งแต่กำเนิดจนถึงฝึกบำเพ็ญเพียรจนเริ่มล่าสัตว์ เขาก็อยู่ที่ดินแดนหิมะทางทิศเหนืออันหนาวเหน็บ แต่ไหนแต่ไรไม่ได้ออกไปไหนมาก่อน แม้แต่คนของด่านยงเสวี่ยล้วนน้อยยิ่งที่จะเห็นเงาของเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเราที่มีใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนที่เจริญรุ่งเรือง”

ได้ยินประโยคที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นเอ่ยถาม “เขาที่จริงแล้วเป็นอย่างไร”

“เขาเป็นมนุษย์เผ่าปีศาจ”

ถังซานสือลิ่วปรายตามองลั่วลั่ว เอ่ยว่า “เป็นมนุษย์เผ่าปีศาจจริงๆ”

ระหว่างเผ่าปีศาจกับเผ่ามนุษย์มีความสัมพันธ์ชิดใกล้กัน กลับน้อยอย่างยิ่งที่สมรสซึ่งกันและกัน และไม่ได้มีตำนานเรื่องราวความรักที่แห้งแล้งและงดงามอะไร

เพราะว่าการสมรสระหว่างทั้งสองเผ่าพันธุ์ ง่ายที่จะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดีขึ้น

มนุษย์ปีศาจ เป็นการสมรสระหว่างเผ่าปีศาจกับเผ่ามนุษย์เกิดเป็นมาในยุคหลัง เป็นเผ่าปีศาจที่มีเลือดผสมของสองเผ่าพันธุ์มนุษย์และปีศาจ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่ว่าทางด้านฝึกบำเพ็ญเพียรก็มักจะประสบกับสิ่งที่ยากจะเอาชนะได้

บิดาของลั่วลั่วเป็นจักรพรรดิขาว มารดาเป็นองค์หญิงเผ่ามนุษย์ของดินแดนต้าซี หากจะกล่าวให้ถูก นางเป็นมนุษย์ปีศาจผู้หนึ่ง ในความหมายนั้นก็คือ เพราะว่าเพศสตรีของนาง ด้วยเหตุนี้ไม่สามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์ที่รุนแรงของจักรพรรดิขาวได้ แต่ว่าในความเป็นจริง มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่ซื่อสัตย์ใกล้ชิดกับจักรพรรดิขาวถึงล่วงรู้ สาเหตุเพราะนางมีสายเลือดของมนุษย์และปีศาจ จึงหมดหนทางจะฝึกฝนวิทยายุทธ์ที่ลึกซึ้งได้

ความรักความผูกพันของจักรพรรดิขาวและราชินีแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง จักรพรรดิขาวเดิมทีก็ไม่อาจมีนางสนม ภรรยารักใคร่ลั่วลั่วซึ่งเป็นธิดาเพียงคนเดียวจนยากหาสิ่งใดเปรียบ ไม่ปรารถนาจะกำเนิดบุตรชายอีก ลั่วลั่วหมดหนทางที่จะฝึกฝนวิทยายุทธ์ของจักรพรรดิขาวจนถึงขีดสูงสุด ก็ไม่อาจสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดินีได้ นี่ก็เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่ดินแดนเผ่าปีศาจหมื่นลี้กำลังเผชิญ เพราะว่าบุคคลดังเช่นจินอวี้ลวี่กับนางกำนัลหลี่ปฏิบัติต่อเฉินฉางเซิงดังเช่นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ไม่เพียงแค่เป็นเพราะลั่วลั่วคารวะเขาเป็นอาจารย์ แต่เป็นเพราะภายใต้การช่วยเหลือลั่วลั่วของเฉินฉางเซิง พวกเขาเห็นว่าปัญหานี้อาจจะแก้ไขได้

หนุ่มน้อยที่นามว่าเจ๋อซิ่วมีสถานการณ์คล้ายคลึงกับลั่วลั่ว บิดาเป็นเผ่าสุนัขป่า มารดาเป็นเผ่ามนุษย์ เพียงแค่สายเลือดบิดาของเขามิได้มีแข็งแกร่งสูงส่งดังเช่นบิดาของลั่วลั่ว สายเลือดทางฝั่งบิดามีความได้เปรียบอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้พรสวรรค์การฝึกบำเพ็ญเพียรของเขายังคงมีความสมบูรณ์ สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ปัญหาที่เขาพานพบร้ายแรงกว่าลั่วลั่วหลายเท่าตัว

สองปีก่อนเมื่อราชวงศ์ต้าโจวได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับความดีความชอบของทหาร จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราชได้สนทนากัน เนื้อหาของการสนทนาภายหลังได้แพร่งพรายออกมา ด้วยเหตุนี้ทั่วทั้งต้าลู่ต่างล่วงรู้ หนุ่มน้อยเผ่าป่าผู้นี้มีปัญหา เป็นปัญหาใหญ่ที่ยากจะแก้ไขได้ นั่นเป็นเพราะจักรพรรดินีกับใต้เท้าสังฆราชต่างก็แก้ไขปัญหาไม่ได้ แต่ไม่มีคนรู้ว่าปัญหานั้นคืออะไร

สุดท้ายแล้วข่าวคราวที่ปกปิดไว้ กลับแพร่งพรายจากดินแดนเสวี่ยเหล่ามายังที่ราบกลาง ผ่านคนเผ่ามารที่โชคดีหนีรอดเงื้อมมือหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าผู้นี้ได้ ดูเหมือนจะมั่นใจได้คร่าวๆ ว่าปัญหาที่หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าผู้นี้เผชิญก็คงจะเป็นทางด้านจิตใจ

นี่อาจจะเป็นเพราะว่าเหตุใดเมื่ออยู่ในดินแดนหิมะที่โหดร้าย เขาถึงถูกเผ่ามารกับกองทัพเผ่ามนุษย์เรียกขานว่าเจ๋อซิ่วผู้คับแค้น

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เฉินฉางเซิงจึงมองหนุ่มน้อยที่อยู่ในศาลาอีกครา อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าความโดดเดี่ยวของเขายิ่งทวีเพิ่มขึ้นอีก

เซวียนหยวนผ้อเอ่ยเสริม “ในเผ่าพันธุ์ของพวกข้าเขาก็มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง”

ดินแดนปีศาจหมื่นลี้ ในเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ยังคงอาศัยการล่าสัตว์ในการดำเนินชีวิต สิ่งที่เคารพยกย่องที่สุดก็คือนายพรานที่เก่งกาจ

เจ๋อซิ่วผู้คับแค้นก็เป็นนายพรานที่เก่งกาจ

เขาไม่คบค้าสมาคมกับเผ่ามนุษย์บนโลก และก็ไม่คบค้าสมาคมกับเผ่าปีศาจ เขาเดินทางไปยังดินแดนหิมะ ดำรงชีวิตด้วยการไล่ล่าเผ่ามาร

หลายปีมานี้ เผ่ามารที่เสียชีวิตในเงื้อมมือของเขายากจะนับได้

ไม่ว่าจะมีความหมายหรือไม่ เขาแก้ปัญหายุ่งยากให้แก่กองทัพทิศเหนือของต้าโจวมากมาย ด้วยเหตุนี้เมื่อราชวงศ์ต้าโจวหารือคุณความงามของกองทัพ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีรายชื่อของเขาตกหล่น เมื่อเขาต้องการชื่อของสำนักเด็ดดาราเพื่อเข้าร่วมการสอบใหญ่ กองทัพต้าโจวตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาจนถึงนายทหารต่างก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

เวลานี้เอง ซูม่ออวี๋เดินเข้ามา ทอดสายตามองกลางศาลาที่อยู่ไกลออกไป เอ่ยถาม “พวกเจ้าก็ดูออกแล้วหรือ”

เฉินฉางเซิงพยักหน้า

“การสอบความรู้ก่อนหน้านี้ สายตาของโก่วหานสือกับเทียนไห่เซิงเสวี่ยที่มองเขามีบางอย่างผิดไป ข้าถึงคิดได้ว่าอาจจะเป็นเขา”

ซูม่ออวี๋ทำความเคารพลั่วลั่ว พลางเอ่ยต่อ “ได้ยินมาว่าจักรพรรดิขาวกับราชินีศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ปรารถนาแยกชิงเขามารับใช้ เพียงแค่ว่าไร้คนเสาะหาเขาพบ คิดไม่ถึงว่าเขาจะเข้าร่วมการสอบใหญ่”

สุนัขป่าเดินทางไกลพันลี้มากินเนื้อ

หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าที่ใช้ชีวิตห่างไกลจากผู้คนมาโดยตลอด เพราะเหตุใดถึงจากดินแดนหิมะ มายังเมืองจิงตูที่เจริญรุ่งเรืองเพื่อเข้าร่วมการสอบใหญ่เล่า

“เขาสนใจคัมภีร์สวรรค์รึ” เฉินฉางเซิงทอดสายตามองไปยังทิศทางของสุสานเทียนซู

ถังซานสือลิ่วกล่าวตอบ “ผู้ใดก็ล้วนแต่สนใจสุสานเทียนซู แต่ถ้าหากนำเผ่ามารที่เขาสังหารจำนวนมากเปลี่ยนเป็นคุณงามความดี ก็เพียงพอให้เขาเข้าไปสุสานเทียนซูหลายต่อหลายครั้งแล้ว”

ไม่มีคนล่วงรู้เหตุผลที่หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าผู้นี้เข้าร่วมการสอบใหญ่

เวลานี้ ผู้เข้าสอบทุกคนต่างล่วงรู้ฐานะของเขาแล้ว แต่ว่าไร้ผู้คนเข้าใกล้ศาลาแห่งนั้น ยิ่งไม่มีคนวางแผนจะสนทนากับหนุ่มน้อยผู้นั้น

ถึงขนาดรวมไปถึงผู้คุมสอบอยู่ในนั้นด้วย ผู้คนจ้องมองในสายตาเขา เต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง เดิมทีไม่ปรารถนาจะเข้าใกล้

ถึงแม้จะเป็นขั้นทะลวงอเวจี โก่วหานสือกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในสนาม ต่างก็ไม่ได้เข้าไป

หนุ่มน้อยผู้นั้นยืนอยู่ตรงนั้น ยังคงโดดเดี่ยว เทือกเขากับศาลาต่างก็เป็นเพราะเขาจึงโดดเดี่ยวขึ้นมา

“เขาแข็งแกร่งยิ่งนัก” ลั่วลั่วอยู่ๆ ก็เอ่ยออกมา

หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าแน่นอนว่าแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อยู่ในอันดับสองของประกาศชิงอวิ๋นมาตลอด จนกระทั่งปีนี้อยู่ๆ ก็เปลี่ยนอันดับ ถูกลั่วลั่วแซงขึ้นไป สองปีที่ผ่านมาเขาอยู่ข้างใต้เพียงแค่สวีโหย่วหรง มีคนจำนวนมากถึงขนาดคิดว่า นี่เป็นเพราะสาเหตุที่เขาปรากฏร่องรอยหลงเหลือไว้เพียงน้อยนิด ถ้าหากเป็นการต่อสู้ตัดสินความเป็นความตาย ถึงแม้จะเป็นสวีโหย่วหรงก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา

เพราะว่าสิ่งที่หนุ่มน้อยผู้นี้ถนัดที่สุดก็คือการสังหาร

เวลานี้ผู้คนทางฝั่งทิศใต้ของคลองฉวี่เจียง รวมถึงผู้คุมสอบกับนักเรียนคุมสอบในนั้นด้วย หากนับชีวิตที่พวกเขาเคยสังหารรวมกันแล้ว ก็คงจะไม่เท่าที่เขาเคยสังหาร

เสียงระฆังดังมาจากตำหนักประจักษ์อักษรอย่างสบายอกสบายใจ เป็นความหมายว่าการสอบประลองยุทธ์รวมถึงการสอบความรู้ของการสอบใหญ่ได้สิ้นสุดลงแล้ว

ผ่านการตรวจนับ จนถึงตอนนี้มีผู้เข้าสอบที่ไม่ถูกคัดออก ยังเหลือทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบสามคน

การสอบใหญ่ต้องการเพียงแค่สามอันดับ อันดับแรกสามคน อันดับที่สองสิบคน อันดับที่สามสามสิบคน รวมทั้งสิ้นสี่สิบสามคน

ทุกปีก็เป็นเช่นนี้

เพราะว่าทางขึ้นสุสานเทียนซู มีเส้นทางทั้งหมดเพียงแค่สี่สิบสามเส้นทาง

เมื่อเข้าไปอยู่สามอันดับ ก็จะมีคุณสมบัติเข้าสุสานเทียนซู ซึ่งเป็นเป้าหมายของผู้เข้าสอบส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการสอบใหญ่

เพื่อตรัสรู้ถึงคัมภีร์สวรรค์ เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรทุกคนต่างก็ใฝ่ฝันหาแม้แต่ในความฝัน อีกทั้งเรื่องจริงที่หลายปีมานี้ได้ถูกพิสูจน์มานานแล้ว เช่นนั้นก็กลายเป็นหนทางที่ผู้แข็งแกร่งจะต้องเดินทางจริงๆ

ตามเมื่อข้ามคลองฉวี่เจียง พวกผู้เข้าสอบก็ได้จัดอันดับใหม่อีกครา

หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าผู้นั้นเป็นธรรมดาที่จะอยู่อันดับแรก

ผู้คนมองสายตาของเขาก็รู้สึกสับสน เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่า จางทิงเทา ชื่อนี้เป็นชื่อปลอม

ภายใต้การนำของนักบวชพระราชวังหลี ผู้เข้าสอบร้อยกว่าคนออกจากทุ่งหญ้าในป่าฝั่งทิศใต้ของคลองฉวี่เจียง มุ่งไปยังป่าลึกของสวนแสงสุริยะ

ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงด้านหน้าของต้นไม้สีเขียวต้นหนึ่ง

เวลาต้นฤดูใบไม้ผลิ กิ่งไม้ด้านข้างตรอกจิงตูจะมีเพียงต้นอ่อนสีเขียวแซมออกมา ต้นไม้ต้นนี้กลับแตกใบไม้สีเขียวนับไม่ถ้วน อยู่ในสายลมที่หนาวเย็นกวัดแกว่งไม่หยุด ก็เหมือนกับหนุ่มน้อยที่ลำพองใจผู้หนึ่ง

ต้นไม้สีเขียวต้นนี้มีหลายสิ่งที่ทำให้ลำพองใจ นอกจากความรู้สึกสีเขียวทึบ ยังมีความสูงใหญ่ของมัน

เมฆหมอกได้อำพรางเล็กน้อย ปิดบังกิ่งก้านสูงของต้นไม้ ทำให้มองไม่เห็นยอดต้นไม้

ลำต้นหนาเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ต้องสิบกว่าคนถึงจะโอบล้อมได้

ข้างใต้ต้นไม้สีเขียว มีโพรงหนึ่ง มองแล้วดำมืด ให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัว

บรรดานักบวชของพระราชวังหลี สุดท้ายแล้วก็พาผู้เข้าสอบเข้าไปยังโพรงต้นไม้นั้น

หลังโพรงต้นไม้ มีสถานที่วิเศษอื่นอยู่อีก

นั่นเป็นท้องฟ้าสีครามผืนหนึ่ง คาดไม่ถึงจะงดงามมากกว่าท้องฟ้าภายนอกต้นไม้

บนท้องฟ้ามีเมฆเบาบางหลายชั้นล่องลอยอยู่

ที่ไกลคล้ายกับว่ามองเห็นตำหนักหลายหลังเลือนราง

เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าคุ้นหูคุ้นตา

ลั่วลั่วเอ่ยว่า “อาจารย์ ท่านเคยมาที่นี่แล้ว”

เฉินฉางเซิงถึงจะเข้าใจ เดิมทีสถานที่ประลองการต่อสู้ของการสอบใหญ่ ที่จริงก็คือพระราชวังหลีเล็กหรืออาจจะกล่าวว่าอยู่ในวังศึกษา

อยู่ในโลกของการฝึกบำเพ็ญเพียร ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียง

โลกใบไม้ครามของใต้เท้าสังฆราช

พวกผู้เข้าสอบที่เคยมายังโลกใบเล็กเป็นครั้งแรก ต่างอ้าปากค้าง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง

ประหนึ่งเฉินฉางเซิงกับเซวียนหยวนผ้อที่เคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกก็มิปาน

แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงจะไม่แสดงท่าทางที่ถูกถังซานสือลิ่วถากถางว่าเป็นท่าทางของหนุ่มน้อยชนบท

เขาสงบอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้มิได้พลาดรายละเอียดแม้แต่น้อย

จ้องมองโลกใบไม้ครามของใต้เท้าสังฆราช มีผู้เข้าสอบจำนวนมากต่างก็เอ่ยพึมพำว่าแปลกประหลาด

หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าผู้นั้นมิได้มองโลกใบนี้ เขากำลังจ้องมองลั่วลั่ว

ในจิตใจของเฉินฉางเซิงอยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกถึงภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง