บทที่ 429 ฝนตกหนัก
บทที่ 429 ฝนตกหนัก
หลังจากโทรหาหวังเหยียน อวี้ฮ่าวหรานก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนต่อสายตรงหาหลี่หรงอย่างรวดเร็ว
เขารอสายนานกว่าสิบวินาที จากนั้นเสียงงัวเงียของอีกฝ่ายก็ดังมาจากปลายสาย
“หือ…พี่เขย?”
เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งโทรปลุกอีกฝ่าย เพราะตอนนี้เป็นเวลาใกล้เที่ยงคืนแล้ว
“ฉันเอง เธอจำซูหว่านเอ๋อได้ไหม? บ้านของเธอเกิดเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยน่ะ ช่วยเปิดประตูให้ซูหว่านเอ๋อที แล้วปล่อยให้เธอหลบอยู่ที่บ้านเราสักพัก”
พอเขาพูดจบ ปลายสายเงียบไปคู่นึ่ง ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายต้องใช้เวลาสักพักกว่าสติจะกลับมาครบถ้วน
“เอ่อ…โอเคพี่เขย ฉันจะเปิดประตูให้เธอเดี๋ยวนี้แหละ”
หลี่หรงไม่พูดอะไรมาก เพียงแค่ตอบด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ เมื่อได้ยินอย่างนั้น อวี้ฮ่าวหรานจึงวางสายด้วยความกังวล
เขารู้มาว่าซูหว่านเอ๋อเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย ดังนั้นเธอจึงไม่มีใครให้พึ่งพาได้ในยามวิกาลอย่างนี้
เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น เขาจึงบอกให้อีกฝ่ายไปซ่อนตัวที่บ้านของตัวเองทันที
“หวังว่าจะไม่เป็นไรนะ”
เขาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้หวังเหยียนฟังอย่างครบถ้วนแล้ว ตอนนี้เขาจึงรีบมุ่งหน้ากลับเมืองฮ่วยอัน
สายลมกลางดึกส่งเสียงหวีดหวิว เมฆดำค่อย ๆ คืบคลานเข้าปกคลุมท้องฟ้า
เวลาเที่ยงคืน สายฝนโปรยปรายในเมืองฮ่วยอัน
เพียงแค่ลมพัดโชยมาก็ทำให้ผู้คนหนาวเหน็บจนถึงกระดูกแล้ว
ซูหว่านเอ๋อกึ่งวิ่งกึ่งเดินอย่างตื่นกลัวอยู่บนถนนเพียงลำพัง เธอมองตรงไปข้างหน้าราวกับต้องการถึงที่หมายให้เร็วที่สุด
เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ไม่อาจต้านทานความหนาวเหน็บได้สักนิด
ขณะหลบหนีออกมาเธอสวมเพียงเสื้อตัวบางและกระโปรงสั้นสีเบจเท่านั้น แขนและเรียวขาที่โผล่พ้นชายเสื้อและกระโปรงเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย
“ตอนนี้…ฉันอยู่ที่ไหนแล้ว?”
เธอมองไปรอบ ๆ ด้วยความสิ้นหวัง
สายฝนที่โปรยปรายกอปรกับลมเย็นที่พัดมาเป็นระยะทำให้เธอไม่สามารถหลบหนีต่อไปได้
ซูหว่านเอ๋อจำทางไปบ้านของอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะเธอไปที่นั่นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
“ทำไมฉันไม่โทรหาเขาล่ะ”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ซูหว่านเอ๋อก็ล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา
“ไม่…ตอนนี้ดึกแล้ว ฉันจะโทรไปรบกวนเขาอีกไม่ได้…”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหาอีกฝ่าย แต่ก็ต้องรู้สึกผิดหวังเมื่อพบว่าแบตเตอรี่หมด
“ซูหว่านเอ๋อนะซูหว่านเอ๋อ ทำไมเธอถึงได้โง่ขนาดนี้…”
เธอกัดริมฝีปากด้วยความโมโห
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง
หลี่หรงลุกออกจากเตียงอย่างระมัดระวังที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนถวนถวนที่นอนอยู่ข้าง ๆ
หลังจากแต่งตัวและเปิดไฟในห้องนั่งเล่น เธอก็นั่งรอซูหว่านเอ๋อบนโซฟาอย่างเงียบ ๆ
“คืนนี้อากาศหนาวมากเลย”
ถึงจะอยู่ในบ้าน แต่เธอยังสัมผัสได้ถึงอากาศหนาวเย็นข้างนอกบ้าน เมื่อห่มผ้าห่มเพิ่มความอบอุ่น เธอจึงกดเปิดทีวี
ถึงอย่างนั้นหลังจากเลื่อนหาช่องทีวีอยู่นาน หลี่หรงก็ไม่เจอสิ่งที่น่าสนใจแม้แต่น้อย เธอจึงตัดสินใจปิดทีวีอีกครั้งด้วยความเบื่อหน่าย
เมื่อมองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
สายฝนโปรยปรายข้างนอกหน้าต่างเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ หญิงสาวรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
“ถ้าข้างนอกอากาศแบบนี้…”
หลี่หรงมองสายฝนข้างนอกหน้าต่างด้วยความกังวล
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ซูหว่านเอ๋อที่พี่เขยบอกก็ยังมาไม่ถึงเลย
ทันใดนั้นเสียงเบรกรถกะทันหันก็ดังมาจากชั้นล่าง
ในคืนฝนตกหนักอย่างนี้ เสียงนั้นจึงดังกว่าปกติเล็กน้อย เซนเซอร์หลอดไฟตรงทางเดินสว่างขึ้นทันที
ไม่นานเสียงเคาะประตูบ้านของอวี้ฮ่าวหรานก็ดังขึ้น
หลี่หรงเดินไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง แต่ยังคงไม่เปิดประตูให้อีกฝ่าย
“คุณเป็นใคร?”
ด้านนอกประตูคือหวังเหยียนที่เดินทางมาที่นี่อย่างรีบร้อน
“เอ่อ… ผมเป็นเพื่อนของพี่อวี้ครับ เขาบอกให้ผมมาดูแลคุณ…”
หลังจากได้รับโทรศัพท์ เขาก็โทรเรียกลูกน้องหลายคนให้มุ่งหน้ามาที่นี่ให้เร็วที่สุด
หลี่หรงลังเลเล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“มี…มีหลักฐานไหม?”
เมื่อไม่มีผู้ชายอยู่ด้วย เธอจึงรู้สึกไม่ปลอดภัย
“ครับ! ผมจะโทรหาลูกพี่เดี๋ยวนี้ครับ”
ตอนนั้นเอง ถวนถวนที่กำลังหลับอยู่ก็ตื่นขึ้น
“แม่จ๋า…แม่…ฮือฮือ…”
เมื่อเด็กน้อยตื่นขึ้น เธอก็เริ่มร้องไห้ทันทีที่ไม่เห็นว่าไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ หลี่หรงอดขมวดคิ้วไม่ได้
“ไม่ต้องโทรหรอก ฉันจะเปิดให้เอง แต่คุณต้องเข้ามาแค่คนเดียวนะ”
“ครับ ไม่มีปัญหา”
หวังเหยียนตอบตกลงทันที
เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้จักกับตัวเองเป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่คิดเล็กคิดน้อย
ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ
หลี่หรงมองออกไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เห็นชายวัยกลางคนรูปร่างสมส่วนยืนรอด้วยท่าทีสง่างาม
ไม่ว่ารูปลักษณ์จะน่าเชื่อถือแค่ไหน แต่ก็ยังไว้ใจพวกเขาไม่ได้อยู่ดี
แต่เพราะอีกฝ่ายยืนยันที่จะโทรหาพี่เขย เธอจึงยอมเปิดประตูให้พวกเขา
“เข้ามาสิ ข้างนอกอากาศหนาว”
หลี่หรงเปิดประตูกว้างขึ้นกว่าเดิมและเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ยืนอยู่ข้างนอก
เธอถอยหลังสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว
หวังเหยียนรู้ทันทีว่ามีอีกฝ่ายรู้สึกยังไง เขาจึงออกคำสั่งกับลูกน้องทันที
“พวกนายไปรออยู่ในรถเถอะ ฉันจะเข้าไปคนเดียว”
หลังจากโบกมือให้เหล่าลูกน้อง เขาก็เดินเข้าไปในบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ ลูกพี่อวี้โทรหาผมแล้วขอให้ผมมาดูแลคุณที่นี่ แล้วยังบอกว่า…เพื่อนของเขาถูกศัตรูไล่ล่า”
พอพูดจบ เขาก็มองไปรอบ ๆ แต่ไม่เจอใคร
หลังจากหลี่หรงอุ้มถวนถวนขึ้นมา เด็กน้อยก็หยุดร้องไห้ทันที
แต่ทันใดนั้นใบหน้าของถวนถวนก็ฉายแววประหลาดใจเมื่อเห็นหวังเหยียน
“ว้าว! อาหวังนี่นา!”
หลังจากที่เขาทำการแสดงมายากลให้ดู ถวนถวนก็ประทับใจอาหวังคนนี้อย่างมาก
“อาหวัง! ถวนถวนอยากดูมายากลอีก”
หลี่หรงรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นอย่างนั้น เธอเคยได้ยินเรื่องของชายคนนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว
“นั่งก่อนสิคะ คนที่คุณพูดถึงยังไม่มาที่นี่เลย”
เธอเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง ขณะที่ระหว่างคิ้วปรากฏร่องรอยของความกังวลอย่างชัดเจน
อากาศข้างนอกหนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูก แถมฝนที่เคยตกพรำ ๆ ก็ตกหนักขึ้น
หญิงสาวบอบบางคนนั้นจะอยู่ข้างนอกตามในสภาพอากาศอย่างนี้ได้ยังไง
ทั้งสองคนนั่งรออยู่ในบ้านครู่ใหญ่ พวกเขาต่างเป็นห่วงหญิงสาวไม่แพ้กัน
ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่หญิงสาวที่อวี้ฮ่าวหรานพูดถึงยังไม่โผล่มา
“ฉันรู้จักเธอ เราออกไปตามหาเธอกันเถอะค่ะ”
หลี่หรงทอดสายตามองความมืดมิดข้างนอกหน้าต่าง ใบหน้าของเธอฉายแววกังวลอย่างมาก
ถึงจะไม่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นมาอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน แต่เธอก็อดเป็นห่วงอีกฝ่ายที่กำลังตกอยู่ในอันตรายไม่ได้
หลังจากหยอกล้อและเล่นมายากลให้เด็กน้อยดู หวังเหยียนก็ขมวดคิ้วทันที
“ผมเห็นด้วย เป็นไปได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ?”
เขาให้ความสำคัญกับคำสั่งของอวี้ฮ่าวหรานเสมอ เพราะกลัวว่าจะรับมือกับปัญหาบางอย่างได้ไม่ดีพอ
หลังจากที่ทั้งสองคนปรึกษากัน หลี่หรงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าของถวนถวนแล้วอุ้มเธอไว้
“พวกเราออกไปตามหาเธอกันเถอะค่ะ”
แม้จะไม่อยากออกไปข้างนอกในสภาพอากาศอย่างนี้ แต่เธอก็อดเป็นห่วงความปลอดภัยของหญิงสาวไม่ได้
เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านเวลา หวังเหยียนจึงไม่พูดอะไรมาก แถมเขายังเชื่อว่าตัวเองมีความสามารถมากพอที่จะปกป้องอีกฝ่ายหนึ่ง
“ผมจะส่งลูกน้องไปตามหาเธอในละแวกนี้อีกแรงหนึ่งครับ”