กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด นิ่งคิดอย่างเงียบๆ
“ในหัวใจเจ้ารู้สึกไม่ยินยอม ยังคงหาหนทางไม่ออกใช่หรือไม่?”
กู่ฉิงซานอีกคนหนึ่งเอ่ยถาม ขณะกำลังนั่งยองๆ กับพื้น เรียนรู้วิธีการใช้ตะเกียบคีบอาหาร
กู่ฉิงซาน “นี่คุณแอบอ่านความรู้สึกผมอย่างงั้นหรือ?”
อีกกู่ฉิงซานกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ความคิด ความปรารถนา ความรู้สึก สิ่งเหล่านี้ในหัวใจของทุกสิ่งมีชีวิต ข้าสามารถรับรู้ถึงมันได้อย่างง่ายดาย นี่คือความสามารถโดยกำเนิดของข้า”
กู่ฉิงซาน “ถ้าคุณอยากจะออกไปจากที่นี่ อย่าได้อ่านความคิดของผมอีก”
“ก็ได้ๆ” อีกฝ่ายกล่าว
หลังจากนั้นพักหนึ่ง
อีกกู่ฉิงซานก็มองหน้าเขา เผยสีหน้ายิ้มแย้ม
ปากเอ่ยกล่าว “โอ้ ข้าว่าวิธีนั้นของเจ้าน่าจะได้ผลนะ ยังเหลือโอกาสอีกเจ็ดร้อยเก้าสิบห้าครั้ง ขออภัย ครั้งต่อไปข้าจะไม่อ่านความคิดเจ้าอีกแล้ว”
กู่ฉิงซานถลึงตามองเขา
“ส่งผมย้อนกลับไปในอดีตได้เลย”
“จัดไป”
ทันใดนั้นคลื่นแห่งความมืดมิดพลันพลุ่งพล่าน โถมทับเขาอย่างรวดเร็ว ผลักเขาเข้าสู่ห้วงกาลเวลา
ณ วังร้อยบุปผา
…
นางเซียนไป่ฮั่วขบขัน “นั่นสินะ เพราะหลังจากที่เจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ เจ้าคงต้องอยู่ที่นั่นอีกนาน หากจะให้เจ้าย้อนกลับมายังโลกเทวะอีกครั้ง การเสียเวลาไปและกลับ มันคงจะไม่คุ้มค่า”
ว่าจบเธอก็หยิบบางสิ่งออกมา
นี่คือดิสก์ค่ายกลสี่เหลี่ยมที่ถูกหล่อขึ้นด้วยบรอนซ์
กู่ฉิงซานรับมันไว้
กู่ฉิงซานเก็บดิสก์ค่ายกล กล่าวด้วยความจริงใจ “ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ส่งต่อสิ่งนี้ให้แก่ข้า”
เซี่ยเต๋าหลิงยิ้ม “เจ้ากับข้าเป็นศิษย์อาจารย์กัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป”
ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยถึงความตั้งใจของตัวเองออกมาทันใดนั้นเอง ช่วงเวลาก็หยุดพลันนิ่งลง
ในอีกเจ็ดวันถัดมา ในดินแดนชิงอำนาจ ใต้ผืนโลกทะเลทราย ร่างแสงทมิฬหยุดตะเกียบลง
ปากเอ่ยพึมพำ “จังหวะนี้แหละ จงเร่งสร้างเหตุการณ์ใหม่เพื่อหลบเลี่ยงการกำจัดสิ่งแปลกปลอมของกฎแห่งห้วงกาลเวลาเสีย!”
ณ วังร้อยบุปผา
ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหวทันที
บังเกิดระลอกคลื่นในความว่างเปล่า เล็ดลอดออกจากรอบตัวเขา แผ่กระจายไปทั่ววังร้อยบุปผา
ฟิ้ว!
ภายใต้แรงฉุดดึงของมิติ กู่ฉิงซานผู้ลอบมาจากอนาคตได้หายไป
และเกือบจะในเวลาเดียวกัน ช่วงเวลาก็กลับมาเป็นปกติ
กู่ฉิงซาน หมายถึงกู่ฉิงซานที่อยู่ในห้วงเวลาอดีตตั้งแต่แรกได้ปรากฏกายขึ้น
ในโถงร้อยบุปผา ในเวลานี้ เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวต่อ
“ฉิงซาน คราวนี้ข้าจะ ‘ส่งเจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ’ เพื่อให้เจ้ามีส่วนร่วมในการคัดกรองหน้าใหม่ และได้รับความช่วยเหลือจากระบบชีวิต”
“นี่จะเป็นวิธีการสามารถช่วยดาบพิภพได้เร็วขึ้นใช่หรือไม่ท่านอาจารย์” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ใช่ มีเพียงการเร่งเสริมฐานวรยุทธเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ แสวงหาดาบนภาเพื่อช่วยเหลือมันได้” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
…
ด้ายมิติกำลังฉุดดึงกู่ฉิงซานเดินทางผ่านมิติที่ว่างเปล่า ข้ามผ่านอาณาจักรแปลกๆ นับไม่ถ้วน
ด้วยด้ายมิติที่เสี่ยวเหมียวเป็นคนให้มา ส่งผลให้เขาสามารถข้ามผ่านโลกนับ หนึ่งร้อยล้านชั้นได้อย่างรวดเร็ว
แผนการคราวนี้ เขาได้ทำการกระตุ้นด้ายมิติเอาไว้ล่วงหน้า และกะเวลาให้มันถูกเปิดใช้งานก่อนช่วงที่นางเซียนไป่ฮั่วจะเอ่ยถึงความตั้งใจส่งเขาไปยังดินแดนชิงอำนาจ
ไม่กี่นาทีต่อมา
กู่ฉิงซานที่สามารถได้รับดิสก์ค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ก็มาถึงสมาคมกำปั้นเหล็ก
ด้วยวิธีนี้เอง ส่งผลให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของผู้ฝึกยุทธได้สำเร็จ!
ภายในสมาคมกำปั้นเหล็กเงียบเหงา ไม่มีใครเลยอยู่ในโลกมิติอนันต์แห่งนี้
ช่วงเวลาปัจจุบัน แบรี่กับเสี่ยวเหมียว ทั้งสองยังอยู่ในโลกเดิมของเขา
โลกเดิมที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยอำนาจของทวยเทพ บังเกิดความวุ่นวายของมิติขึ้น ทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกได้
ดังนั้น กล่าวได้ว่าสมาคมกำปั้นเหล็ก เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในตัวเลือกขณะนี้ หากเขาเดินทางกลับมายังมัน ก็จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเหตุการณ์อื่นๆ
กู่ฉิงซานนำดิสก์ค่ายกลโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ออกมา ทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์
ในที่สุด เขาก็จะได้ไปตามหาดาบนภาซักที!
เขาเริ่มใส่ศิลาวิญญาณคุณภาพดีที่สุด ชิ้นแล้วชิ้นเล่าลงบนดิสค่ายกล
จากนั้น เขาก็เริ่มเปิดใช้งานค่ายกลทันที
เห็นแค่เพียงบนตัวดิสก์ เริ่มสาดแสงแวบวาบ
ปัง!
รัศมีแสงสวรรค์ ก่อให้เกิดเสาแสงขนาดใหญ่ พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ เสาแสงก็ค่อยๆ สลายไป
กู่ฉิงซานได้ออกจากโลกมิติอนันต์ไปแล้ว
…
ณ โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์
ณ เบื้องบนที่ลอยล่องไปด้วยมวลเมฆสีขาวนวล
จู่ๆ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
เป็นกู่ฉิงซาน
เขาปรากฏกายขึ้น เร่งหยิบดิสค่ายกลออกมาอย่างรวดเร็ว พรมสองมือลงบนมันทันที
บนดิสก์ค่ายกล รัศมีแสงสวรรค์ชั้นแล้ว ชั้นเล่าปรากฏขึ้น
ดิสก์ค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่หลากหลายรูปแบบถูกจัดวางลงโดยเขา
กู่ฉิงซานโยนเม็ดยาวิญญาณเข้าปาก คว้าจับเช่าหยินกับดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจากในอากาศที่ว่างเปล่า
หลังจากเสร็จสิ้นทุกกระบวนการนี้ เขาก็หันไปมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง
การที่กู่ฉิงซานระวังตัวแจขนาดนี้ มันจะไปตำหนิเขาก็ไม่ได้
เพราะนางเซียนไป่ฮั่วเคยกล่าวเอาไว้ว่า ตั้งแต่ที่โลกสวรรค์และโลกแห่งผู้ฝึกยุทธถูกตัดการขาดเชื่อมต่อระหว่างกันและกัน มีเพียงผู้นำนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวกเท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตในวังสวรรค์ได้ โดยใช้ ‘ใบหยกพิทักษ์กายา’
เห็นได้ชัดว่าโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์มีความอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับการออกจากวังสวรรค์ ไปสำรวจภายนอก ยิ่งเป็นไปไม่ได้
อ้างอิงตามคำพูดของนางเซียนไป่ฮั่ว “เมื่อเจ้าออกจากวังสวรรค์ เจ้าจะตายทันที”
ดังนั้น เมื่อกู่ฉิงซานเข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ แวบแรกเขาจึงทุ่มพลังทั้งหมดที่มีเพื่อรักษาชีวิตตน
เจ้าตัวกวาดสายตาสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวัง
แล้วก็พบว่ามีวังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในภูเขาที่ห่างไกลออกไป
ขณะเดียวกัน ตำแหน่งที่กู่ฉิงซานลอยอยู่คือกลุ่มเมฆอันเปล่าเปลี่ยว
กู่ฉิงซานก้มลง และมองไปยังภูเขาที่อยู่ไกลออกไป
เขาค้นพบว่า ไม่ว่าจะเป็นตนเองหรือใต้ภูเขาที่ห่างไกล มันล้วนถูกรองรับโดยผืนเมฆ
นี่หมายความว่า ทุกสิ่งอย่างในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ สามารถตั้ง หรือเหยียบย่ำอยู่บนเมฆ เพื่อลอยบนท้องฟ้าได้ใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานเดินไปที่ขอบเมฆ และก้มมองลงไป
เบื้องล่าง เป็นดินแดนอันกว้างใหญ่ ไร้ที่สิ้นสุด
พอได้เห็นการมีอยู่ของผืนโลก กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจ
เพราะนี่มันไม่เป็นเหมือนกับในโลกล่องเวหา ที่โลกเบื้องล่างล้วนเป็นเลือดเนื้อของมารโลกา ที่สามารถกลืนกินชีวิตผู้คนได้ตลอดเวลา
กู่ฉิงซานเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด
เห็นแค่เพียงแผ่นดินที่รกร้าง และไร้ซึ่งชีวิต
โลกทั้งใบเงียบเหงา ราวกับว่ามันจมอยู่ในทะเลทรายแห่งกาลเวลามายาวนานหลายร้อยปี
กู่ฉิงซานเกิดความรู้สึกบางอย่างเล็กน้อย
ในสมัยโบราณ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ที่ทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นว่างเปล่าเช่นนี้?
แล้วเจ้าตัวก็เบนสายตามองไปยังพระราชวังบนภูเขาที่ตั้งอยู่ห่างไกลอีกครั้ง
ตามความทรงจำของท่านอาจารย์ นั่นเป็นสิ่งปลูกสร้างหลักของนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวก
และมันค่อนข้างไกลจากจุดที่เขายืนอยู่
แต่นี่ไม่มีทางเลือก
การเคลื่อนย้ายโดยค่ายกลนั้นขาดความแม่นยำ มันทำได้เพียงส่งผู้ใช้ไปยังสถานที่ในขอบเขตของวังสวรรค์เท่านั้น ไม่อาจเคลื่อนย้ายเข้าไปในวังสวรรค์โดยตรงได้
กู่ฉิงซานพยายามรับรู้สภาพแวดล้อมเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่พบอันตรายใดๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านพ้นขอบเขตพันวิบัติ ส่งผลให้การรับรู้ทางจิตวิญญาณของตนเองไม่อาจใช้งานได้ชั่วคราวในเวลานี้
ในเมื่อการออกจากวังสวรรค์เป็นอะไรที่อันตรายมาก ก็ควรระมัดระวังตัวไว้คงจะดีกว่า ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเขาคงต้องไปยังวังสวรรค์เพื่อทำการรวบรวมข้อมูลก่อน เป็นอันดับแรก
พอคิดได้ กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจก้าวไปทันที
ร่างกายของเขากะพริบไหวครั้งแล้วครั้งเล่า วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
สายลมหอนหวีดหวิวเข้าหูของเขา
ทุกสิ่งโดยรอบ ไม่มีอะไรเลย นอกจากถนนที่ปูด้วยเมฆ
ยิ่งนาน ความสงสัยของกู่ฉิงซานก็ยิ่งเติบโตขึ้น
ก็ในเมื่อมันไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวเขา แล้วโลกใบนี้มันอันตรายตรงไหนกัน?
ย่ำไปตามมวลเมฆสักพักหนึ่ง
ในที่สุด เขาก็เห็นก้อนหินที่มีขนาดสูงเท่ากับคนสามคน วางเป็นแนวตั้งอยู่ในหมู่เมฆ
กู่ฉิงซานหยุดลง และมองดูหิน
เห็นแค่เพียงสองตัวอักษรที่เขียนแบบเดียวกันกับในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ใจความว่า
“สวนอาหาร”
สวนอาหารอย่างงั้นหรือ?
กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย
ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ คำว่า ‘สวนอาหาร’ หมายถึงสถานที่ให้อาหารอสูรวิญญาณ
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ แต่ก็เห็นแค่เมฆและท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ไม่มีตึกราม หรือสิ่งใดเลย
มีแค่เพียงสองตัวอักษรขนาดใหญ่ที่เขียนอยู่บนหิน ไว้ระบุสถานที่แห่งนี้
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
วินาทีต่อมาตัวหินดูเหมือนว่าจะรู้สึกถึงการปรากฏตัวของเขา ทันใดนั้นมันพลันสาดแสงสว่าง
กู่ฉิงซานก้าวถอยหลังไป ทั้งคนทั้งร่างเริ่มตื่นตัว
แท้จริงแล้ว สิ่งของทุกอย่างที่นี่ มันช่างคล้ายกับเมฆหมอกหนา ชวนให้ผู้คนรู้สึกสับสนจริงๆ
หลังจากนั้นพักหนึ่ง
ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
กู่ฉิงซานที่ตั้งท่าเตรียมพร้อม ค่อยๆ วางสองดาบลงอย่างช้าๆ แล้วส่ายหัว
เขากำลังคิดที่จะออกเดินทางอีกครั้ง
แต่เดินต่อไปได้แค่ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ทั้งตัวเขาก็พลันแข็งค้าง สะบัดหัวเงยขึ้นไปเบื้องบนทันใด
“นั่นมันอะไรกันน่ะ?” เขาเอ่ยพึมพำเบาๆ
สุดปลายของเส้นขอบฟ้าอันห่างไกล เส้นแสงที่พลิ้วไสวไปมา แลคล้ายกับผ้าไหมผืนหนึ่งปรากฏขึ้น
ผ้าไหมผืนนี้เปล่งแสงสีเจือจางออกมาเป็นครั้งคราว แถมยังถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มเมฆหมอก ทำให้ไม่อาจมองเห็นรูปร่างที่แท้จริงของมันได้
ผ้าไหมค่อยๆ บินเข้ามาทางด้านกู่ฉิงซาน
ในขณะที่ผ้าไหมใกล้เข้ามา ท้องฟ้าก็เริ่มมืดมัว สภาพอากาศเริ่มแปรปรวน
ยามค่ำคืนได้มาถึง
ในเสี้ยววินาที วิสัยทัศน์ก็รวมกัน-
ปัง!
ท้องฟ้าระเบิดเลือนลั่น
พายุฝนสาดเทลง
สายลมพัดกรรโชกต่อเนื่อง
กู่ฉิงซานยืนหยัดอยู่ท่ามกลางพายุลมและฝน สายตาจดจ้องอยู่กับสิ่งนั้นอย่างตั้งใจ
ห่างไกลออกไป เขาเห็นผ้าไหมเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ผ้าไหมปรากฏขึ้นท่ามกลางเมฆหมอกสีดำ แต่ยังคงเว้นระยะห่างจากกู่ฉิงซาน
แต่ด้วยการอาศัยจิตสัมผัสเทวะและสายตาของเขา ทำให้กู่ฉิงซานสามารถตระหนักได้ถึงการดำรงอยู่ของมันอย่างชัดเจน
ว่านั่นมิใช่ผ้าไหม
แต่มันเป็นมังกร!
เหนือผืนฟ้าจากระยะไกล ปรากฏถึงมังกรที่ขยับกายเลื้อยไปมาอยู่ท่ามกลางอากาศ มันมาที่นี่เพราะสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของกู่ฉิงซาน
มันลดหัวลง วิสัยทัศน์ตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน
ท่ามกลางสายฝน หนึ่งคนหนึ่งมังกรเฝ้ามองกันและกันอย่างเงียบๆ
และแล้ววิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานก็มืดดับลง
ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เขาค้นพบว่าตนเองได้กลับมาอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิดแล้ว
“นี่ผมตายงั้นหรือ?” เขาถาม
“ใช่ และเจ้ายังเหลือโอกาสอีกเจ็ดร้อยเก้าสิบสี่ครั้ง”
ร่างแสงทมิฬกำลังถือเม็ดยาวิญญาณ อังมันใต้จมูก สูดดมกลิ่นอย่างระแวดระวัง
กู่ฉิงซานถามอย่างแปลกใจ “นี่มันไม่ถูกต้อง เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตัวมังกรเองก็ยังอยู่ตั้งไกล แต่ทำไมผมถึงตายได้?”
ร่างแสงทมิฬ “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
“ผมไม่เข้าใจ” กู่ฉิงซานกล่าว
ร่างแสงทมิฬวางเม็ดยาวิญญาณลง เอ่ยอธิบายอย่างช้าๆ “ก็เจ้าไปเผลอสบตามันเข้า เจ้าก็เลยตายไง”
……………………….