ตอนที่ 283 ยินดีบนความทุกข์ร้อนของคนอื่น

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 283 ยินดีบนความทุกข์ร้อนของคนอื่น

ในที่สุดอู่หลิงก็เอ่ยปากพูดออกมาในตอนที่ซูเจวี๋ยรับฟู่เสี่ยวกวนที่ตกลงมาจากฟ้าเป็นรอบที่หนึ่งพันแปดร้อยพอดี

“ช้าก่อนคุณชาย ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะทะยานบินขึ้นไปอีกครานั้นก็ได้หยุดชะงักชั่วครู่

“ข้ามีนามเต็มว่าอู่จ้าว นามย่อว่าหลิง ข้าเคยพบเจอคุณชายที่เส้นทางสัญจรบนภูเขาฉีซาน ตอนนั้นข้าโดนท่านปฏิเสธ บัดนี้เลยร้องขอให้เสด็จพ่อทรงออกหนังสือราชโองการ ขอคุณชายโปรดรับหนังสือนี้ด้วยเถิด”

ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองอู่หลิงและรับหนังสือราชโองการที่นางได้ส่งมาให้ แล้วจึงได้มั่นใจว่าหญิงสาวผู้ที่อยู่เบื้องหน้านั้นคือองค์หญิงไท่ผิงจริง ๆ

แต่เขาหาได้ทักทายตามธรรมเนียมไม่ เพียงแค่เอ่ยถามขึ้นมาแทน “ มิทราบว่าองค์หญิงมีเรื่องอันใดเร่งด่วนหรือไม่ถึงได้เสด็จมาที่นี่ ? ”

“คุณชายตอนนี้ก็มืดค่ำมากแล้ว ข้านั้นเห็นว่าจะดีกว่าหรือไม่หากท่านและขบวนจะเดินทางไปพักผ่อนที่เมืองฝานหนิงเสียก่อน ? “

ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้รู้สึกตัวว่าตนใช้เวลาฝึกวรยุทธไปครึ่งค่อนวันแล้ว เขาได้หันไปมองกวนถงแล้วเอ่ยถาม “ผู้ใดกันยืนโง่งมตากฝนอยู่ได้ เปียกปอนซีดเซียวเยี่ยงกับไก่ต้มในน้ำร้อน ท่านผู้นั้นเขาเป็นผู้ใดกัน ? “

เมื่อกวนถงได้ยินก็ถึงกับเดือดดาลจนแทบทนไม่ไหว อีกทั้งเขาได้ยืนตัวสั่นอยู่เช่นนั้นมานานโขแล้ว ทว่าหลังจากนั้นสายตาก็เริ่มพร่ามัว แล้วร่างนั้นก็ได้ร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น

“นี่มันอะไรกัน ข้าเพียงแค่เอ่ยปากถาม มิได้แตะต้องชายผู้นั้นแม้แต่น้อย หากเขาเกิดอันใดขึ้นมา แล้วจำต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ขอองค์หญิงทรงได้โปรดเป็นพยานให้แก่กระหม่อมด้วยเถิด ! ”

และได้มีเจ้าหน้ากรมพิธีการต่างรีบร้อนเข้ามาแบกร่างของกวนถงออกไป

ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วของตนเล็กน้อย แล้วเอ่ยกับอู่หลิง “ในเมื่อองค์หญิงเสด็จมาด้วยตนเองเยี่ยงนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนนั้นกระหม่อมจะมิถือโทษโกรธเคือง แต่กระหม่อมอยากจะร้องขอให้ฝ่าบาททรงรับรู้หรือจะทรงนำเรื่องนี้ทูลแก่องค์จักรพรรดิเหวินตี้ก็ย่อมได้ ตัวกระหม่อมและขบวนนั้นได้เดินทางผ่านอุปสรรคมาราวพันลี้ก็เพราะสารเชิญจากองค์จักรพรรดิและนี่เป็นงานชุมนุมวรรณกรรมที่ทรงเกียรติยิ่งนัก ตัวกระหม่อมนั้นหวังอย่างยิ่งว่างานนี้จักขาวสะอาดไร้มลทินอื่นใดมาแปดเปื้อน มิเช่นนั้นแล้ว กระหม่อมเกรงว่างานนี้ชักจะมีกลิ่นมิดีเสียแล้ว”

อู่หลิงเมื่อได้ยินแล้วดวงตาก็จรัสเป็นประกายพร้อมกับคำนับด้วยมารยาทงามอีกครา “ข้านั้นเห็นพ้องกับคำกล่าวของคุณชายเป็นอย่างยิ่ง ขอคุณชายได้โปรดสบายใจ แล้วตามขบวนกองทัพหญิงของข้าไปยังเมืองฝานหนิงด้วยเถิด”

“ก็ดี ! ”

อู่หลิงจึงเดินกลับไปด้วยความรู้สึกที่มีความสุขยิ่งนัก

ขบวนของฟู่เสี่ยวกวนนั้นเดินตามหลังกองทัพหญิงของนางไปทางเมืองฝานหนิงอีกครา

ฝนยามวสันตฤดูนั้นแสนละเอียด โคมไฟ ณ เมืองฝานหนิงส่องแสงเจิดจ้า

สถานที่ต้อนรับที่เหล่าขุนนางกรมพิธีการได้จัดเตรียมไว้นั้นก็มีแสงสว่างไสวเฉกเช่นเดียวกัน

เหล่าคณะทูตจากแคว้นฝาน แคว้นอี๋และแคว้นฮวงก็อยู่ที่แห่งนี่เช่นกัน พวกเขาล่วงหน้ามาก่อนขบวนของฟู่เสี่ยวกวนเป็นเวลา 2 วัน ทำให้มีเวลาเหลือเฟือในการพบปะพูดคุยต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกคุ้นเคยกันมากขึ้น

อีกทั้งพวกเขายังเห็นพ้องกันในใจว่าศัตรูตัวฉกาจครานี้คือฟู่เสี่ยวกวน ทำให้พวกเขาสนิทสนมกันมากขึ้นเป็นทวีคูณ

และเวลานี้เหล่าตัวแทนจากแต่ละแคว้นได้มาล้อมวงสนทนากัน และกำลังถกเถียงด้วยเรื่องที่ว่าองค์หญิงไท่ผิงได้เสด็จออกจากเมืองไปแล้วครึ่งค่อนวัน และตอนนี้ก็ยังไร้ซึ่งเงาของฟู่เสี่ยวกวนและขบวน องค์หญิงทรงประหารมันแล้วหรือว่ามันและพวกพ้องได้กลับแคว้นไปแล้วจริง ๆ

ในกลุ่มเหล่าตัวแทนนั้นมีองค์ชายสิบสามแห่งแคว้นฝานนามว่าฝานเทียนหนิงร่วมอยู่ด้วย เขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม บุคลิกเงียบขรึม แม้นว่าเขาจะนั่งอยู่ใกล้กัน แต่เขากลับนั่งดื่มชาอย่างเงียบเชียบด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มมิได้มีส่วนร่วมใด ๆ กับการถกเถียงครานี้เลยแม้แต่น้อย

ทว่าองค์ชายหกตัวแทนแห่งแคว้นอี๋ซึ่งมีนามว่าเหยียนหานยู่ บัดนี้อายุ 18 ปี ร่างกายสูงใหญ่และกำยำ ช่วงเอวมีดาบพิฆาตสีทองอร่ามคาดไว้ เวลานี้กำลังกล่าวให้ร้ายถึงพวกของฟู่เสี่ยวกวนอยู่ “ข้าแลเห็นว่าองค์หญิงไท่ผิงหาได้ทรงประหารเจ้าฟู่เสี่ยวกวนไม่ แต่ทรงเอาพวกมันไปกักขังเสีย เจ้าคนพวกนั้นมันมิรู้จักที่ต่ำที่สูง คิดหรือว่าความรู้อันตื้นเขินของพวกมันนั้นจะสามารถกำเริบเสิบสานได้ ที่นี่คือแผ่นดินของราชวงศ์อู๋หาใช่ของราชวงศ์หยูไม่ ที่นี่หาใช่ที่ที่มันจะมาคึกคะนองทำตามอำเภอใจได้”

ท่าป๋ายวนหัวเราะชอบใจพร้อมกับเอ่ยเสริม “ได้ข่าวมาว่าแคว้นอี๋ได้บุกรุกเข้าอาณาเขตของราชวงศ์หยูไปกว่าสามร้อยลี้แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนในฐานะที่เป็นคนแห่งราชวงศ์หยูมิล่วงรู้ว่าเขาจะคิดเยี่ยงไร ? ”

คำพูดของท่าป๋ายวนนี้เองทำให้เหล่าปัญญาชนเดือดขึ้นมา

แต่หาใช่เพราะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนฟู่เสี่ยวกวนไม่ แต่เป็นเพราะรู้สึกยินดีบนความทุกข์ร้อนของผู้อื่นอย่างไม่มีสิ้นสุด

“กองทัพแห่งราชวงศ์หยูตรงชายแดนศึกทางตะวันออกนั้นช่างอ่อนแอนัก ตัวข้านั้นได้ข่าวมาว่ายามที่ศึกเพิ่งเริ่มนั้นกองทัพแห่งแคว้นอี๋ข้ามที่ราบสีหม่าได้อย่างง่ายดายนัก หากข้ามแม่น้ำสีหม่าไปได้ก็จักรุกล้ำเข้าไปในเขตซางยู่”

“ว่ากันว่าศึกที่แม่น้ำสีหม่านั้น กองทัพแคว้นอี๋เสียกำลังพลไปเพียงพันกว่านายบาดเจ็บอีกสามพันว่านาย แต่กองทัพแห่งราชวงศ์หยูนี่สิตกตายไปถึงห้าพันหรือมากหมื่นกว่านาย นี่หรือว่ากองทัพแห่งราชวงศ์หยูจะมิได้เรื่องเสียจริง ๆ ”

“พวกท่านจงคิดดูเถิด ตั้งแต่ฮ่องเต้หยูยิ่นทรงขึ้นครองบัลลังก์มาแคว้นหยูก็ตกต่ำและอ่อนแอลงอย่างมาก พระองค์ทรงโปรดทรัพย์สมบัติและรักตัวกลัวตายยิ่ง ช่างเทียบมิได้แม้เพียงครึ่งของยุคสมัยรุ่งเรืองของฮ่องเต้ไท่เหอ ราชวงศ์ในเวลานี้ได้โดนตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจทั้งหกทะลวงจนกลวงสิ้น ได้ยินมาว่าราชวงศ์มีอำนาจควบคุมแค่ภายในพระราชตำหนักเพียงเท่านั้น ส่วนเยี่ยนเป่ยซีหนอนบ่อนไส้นั้นกลับกุมอำนาจภายในราชวงศ์ เวลานี้ศึกทางตะวันตกก็ตกอยู่ในการสั่งการของบุตรชายเยี่ยนเป่ยซีผู้ซึ่งมีนามว่าเยี่ยนห้าวชู ซึ่งท่านผู้นั้นก็ทำได้ดีแต่ด้านวรรณกรรม จับปากกานั้นพอใช้ได้ แต่จับดาบยามใดเกรงว่าจะทำได้แค่สับหัวแม่เท้าของตนเองเสียนะสิ”

“ฮ่า ๆ ๆ… ”

ในห้องโถงมีเสียงหัวเราะชอบใจสนั่นหวั่นไหว แล้วได้มีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา “ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนจะมีความสามารถด้านวรรณกรรมก็ช่างปะไร เพียงแค่ประพันธ์บทกวีได้ก็เท่านั้นหาได้มีผลใดอุทิศต่อสังคมไม่ เขายกด้ามพู่กันได้แต่กลับยกด้ามดาบแล้วทำออกมาให้ดีเช่นกันมิได้ เช่นนั้นแล้วทุกท่านจงฟังไว้ ขบวนนี้มันเต็มไปด้วยพวกไม่เอาถ่านและขี้แพ้ พวกมันมาเยือนแผ่นดินแห่งราชวงศ์อู๋ครานี้เพราะมีราชสาส์นเชิญ หากแม้นองค์หญิงไท่ผิงทรงฟันฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นเสียจนพิการ ฮ่องเต้หยูยิ่นก็มิอาจหืออืออะไรได้ทั้งสิ้น ”

ทุกคนต่างนึกคิดอีกครา คำพูดนี้พูดอีกก็ถูกอีก เหตุเพราะคืนก่อนที่ได้รู้จักเสนาบดีกรมพิธีการแห่งราชวงศ์อู๋ผู้ซึ่งมีนามว่ากวนถง ผู้ที่ได้เชิญพวกเขาทั้งหมดไปพบปะพูดคุย เหลือเพียงแค่ฟู่เสี่ยกวนผู้เรื่องชื่อระบือนามผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกปล่อยให้อ้างว้างอยู่นอกเมือง

หากงานวรรณกรรมครานี้มิอาจเอาชนะฟู่เสี่ยวกวนได้ มิเช่นนั้นจักใช่อาวุธเอาชนะได้หรือไม่ ?

หรือรุมกระทืบสักคราก็ย่อมได้ !

แค่มิทำให้ถึงตาย ฮ่องเต้หยูยิ่นคงจะยอมปิดตาข้างหนึ่งแล้วทำเป็นมิรับรู้ไปเสีย

เรื่องนี้ควรจัดการให้แล้วเสร็จก่อนที่งานวรรณกรรมจะเริ่มขึ้น ทำให้ไอ้ฟู่เสี่ยวกวนมันพิการติดเตียงมิอาจไปร่วมงานได้ ท้ายที่สุดนั้นรางวัลแห่งชัยชนะจะตกอยู่ในมือของผู้ใดก็คงต้องอาศัยความสามารถของตนเอง

นี่คือความคิดของผู้เยาว์ส่วนมาก เว้นแต่ฝานเทียนหนิงเท่านั้นที่ยังคงนั่งปลีกวิเวกอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แล้วยังคงมองผู้คนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็กน้อยแต่ยังคงมิได้ส่งเสียงใดออกมา เงียบเสียจนคนอื่นกลับลืมว่าเขามีตัวตนอยู่ในที่แห่งนี้

เหยียนหานยู่ร่วมวงสนทนาอีกครา แล้วเขาได้ดึงดาบพิฆาตที่คาดอยู่ตรงช่วงเอวนั้นฟาดลงไปบนโต๊ะด้วยความตั้งใจ “พวกท่านนั้นมิล่วงรู้ถึงสถานการณ์กองทัพ ณ เวลานี้ กองทัพซึ่งนำโดยแม่ทัพป๋อยี้เซี่ยนผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นข้าได้รุกล้ำแนวกั้นซางยู่และกวนซานจี๋ได้สำเร็จ ณ เวลานี้ได้ล่วงเลยไปแล้วสิบวัน ข้าเห็นว่าบัดนี้กองทัพคงล่วงล้ำไปจนถึงเมืองหลานหลิงเมืองยุทธศาสตร์ทางตะวันออก หากเมืองหลานหลิงแตกพ่าย แคว้นอี๋ของข้าคงจักมีทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่นั้นเพิ่มขึ้นมา ! ”

“ทุ่งหลานหลิงนั้นช่างวิเศษนัก หากตั้งฐานที่มั่นไว้ที่นั้นแล้วจัดตั้งทัพใหม่ให้บุกมาทางฝั่งตะวันตก หากไร้ซึ่งกองทัพที่มีความสามารถพอจะสกัดกั้นได้อีกครา แคว้นอี๋ของท่านคาดว่าจะกลืนแคว้นหยูไปจนสิ้นใช่หรือไม่ ? ”

เหยียนหานยู่หัวเราะอย่างพอใจยิ่ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยตอบคำถามเมื่อครู่

ขณะนั้นเอง ด้านนอกมามีเสียงม้าดังอึกทึกเข้ามา ทุกคนก็หันออกไปดูว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ก็เห็นขบวนม้าได้ครอบครองพื้นที่ลานด้านหน้าจนเต็ม

ม้าของอู่หลิงนั้นนำขบวน ช่างกล้าหาญและโดดเด่นยิ่งนัก

นางกระโดดลงมาจากหลังม้าแล้วเดินไปยังหลังขบวน เหล่าปัญญาชนนั้นก็แห่กรูกันออกมาอาศัยแสงสะท้อนจากโคมไฟบนลานช่วยในการมองเห็น แล้วพวกเขาได้พบอู่หลิงผู้ที่ยืนไปหยุดหน้ารถม้าคันหนึ่ง

บนรถม้านั้นได้มีคนผู้หนึ่งเดินลงมา แม้นว่าสายตานั้นจะมองเห็นได้ชัดเจนเพียงใด สายฝนที่แสนละเอียดนั้นพลันทำให้มองใบหน้าของคนผู้นั้นได้ไม่ชัดนัก แต่ก็สามารถมองเห็นได้ว่าอู่หลิงกำลังโค้งคำนับท่านผู้นั้นอยู่

อู่หลิงโค้งคำนับแล้ว แต่ท่านผู้นั้นหาได้คำนับตอบ เป็นใครกันช่างฐานะสูงส่งยิ่ง

อู่หลิงพูดกล่าวบางอย่างกับท่านผู้นั้น แล้วเขาก็โบกมือปฏิเสธ ส่วนขบวนที่ติดตามมานั้นได้หันหัวตามกองทัพหญิงออกจากลานไปแล้ว