ตอนที่ 898 สามีกลายเป็นขันที?

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

“เรื่องที่ทำให้หนังสือเล่มนั้นชวนให้จดจำก็คือการลงโทษในแบบต่างๆ มีอยู่แบบหนึ่งโหดร้ายมากก็คือการกรีดแล้วปอกทีละนิด ไม่ยอมให้ตายง่ายๆ หลายวันกว่าจะหมดลมหายใจตายไป” 

 

 

“หนังสือเล่มนั้นดังเรื่องนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” อวี๋หมิงหลางเองก็จำเรื่องในหนังสือเล่มนั้นได้ 

 

 

เสี่ยวเชี่ยน หึ ออกมา จำได้ยิ่งดี เธอจะได้พูดความคิดของเธอต่อ 

 

 

“เมียจ๋า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม? เดี๋ยวนะ หรือคุณคิดจะตอนผม?” 

 

 

เปลี่ยนสามีให้เป็นขันที? 

 

 

“ถึงฉันจะไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น แต่ฉันลองศึกษารายละเอียดการลงโทษแบบนั้นโดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์แล้ว นายเคยคิดไหมว่า การเอาโคลนเหนียวๆทาบนบาดแผลแล้วลอกออกจะเป็นไง? ถึงน้องชายนายจะไม่มีบาดแผล แต่ถ้าโคลนแห้งแล้วลอกออก ทีละนิด มีขนติดออกมาด้วยนะ~ ไม่ต่างจากการเอาแวกซ์ถอนขน” 

 

 

โวะ 

 

 

ไม่ต้องบรรยายให้เห็นภาพได้ไหม 

 

 

อวี๋หมิงหลางแค่ได้ฟังก็รู้สึกเจ็บแล้ว แถมเธอยังจะเอาไปทาตรงนั้นด้วย? 

 

 

“โคลนนี่จะลอกเป็นแผ่นได้ไง? มันต้องใช้ล้างเอาไม่ใช่เหรอ?” เขายังแอบหวังว่าจะมีทางรอด เมียเขาน่าจะพูดเล่นแหละ จะโหดร้ายแบบนั้นได้ไง 

 

 

“โคลนอันนี้ไม่ได้หรอก มันต้องใช้ที่ล้างหน้าเฉพาะของมันล้างออก แต่ใครบอกนายว่าผู้หญิงมีแค่มาร์คแบบนี้แบบเดียว? ฉันยังมีโคลนแบบอื่นอีก ตอนทาเป็นโคลน แต่ตอนแห้งลอกออกได้เป็นแผ่น ไม่รู้นะว่าประสิทธิภาพในการถอนขนเป็นไง?” 

 

 

ชีวิตนี้มีสามีที่คอยเอาใจได้แค่คนเดียว แต่มาร์คหน้าน่ะต้องใช้นับไม่ถ้วน นี่แหละโลกของผู้หญิง 

 

 

อวี๋หมิงหลางยอมจำนน เขาตระหนักได้แล้วว่า ห้ามยั่วโมโหผู้หญิงเด็ดขาด เป็นของต้องห้าม 

 

 

“เมียจ๋าผมผิดไปแล้ว วันนี้ผมผิดมหันต์” 

 

 

“นายผิดอะไร?” เสี่ยวเชี่ยนข่ม 

 

 

“ผมผิด…ตรงไหนอะ?” 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนถึงเพิ่งนึกได้ เขาไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย เธอก็แค่เอาเขาเป็นที่ระบายอารมณ์เท่านั้น เอ่อ… 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนที่รู้ว่าตัวเองทำตัวไร้เหตุผลรีบส่งโฟมล้างหน้าให้เขา แต่ก็ยังไม่ลืมเก๊กหน้า 

 

 

“อันที่จริง ผู้ชายที่ชอบเอาใจเมียแต่ละคนล้วนสูงสองเมตร มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่ มีใบหน้าที่หล่อเหลา ตายแล้ว~ สามีฉัน ทำไมถึงได้หล่อแบบนี้?” 

 

 

ในที่สุดเสี่ยวเฉียงก็ได้ล้างเอามาร์คหน้าออกจนหมด พอเช็ดหน้าแห้งเขาก็มองเธอด้วยสีหน้าทั้งอยากหัวเราะและร้องไห้ในคราวเดียว 

 

 

“ก็เพราะมีเมียแสนดี วันๆเอาแต่หาเรื่องทรมานสามีไงล่ะจ๊ะ” 

 

 

“แล้วนายยอมให้ฉันทรมานไหมล่ะ?” 

 

 

“ยอมสุดๆเลยจ้ะ แค่ฮองเฮามีความสุขก็พอแล้ว” 

 

 

ฮือๆๆ ถ้าไม่พูดแบบนี้ ไม่แน่เธออาจฉวยโอกาสเอามาร์คมาทาเสี่ยวเฉียงน้อยตอนเขาหลับแน่ 

 

 

เธอทำเรื่องแบบนี้ได้แน่เขามั่นใจ 

 

 

เพื่อปกป้องเสี่ยวเฉียงน้อยเอาไว้ เขายอมทำตัวเชื่อฟังดีกว่า 

 

 

“จริงสิเมียจ๋า ทำไมคุณไม่ให้ผมทำอาหารเย็นล่ะ นี่มันก็ได้เวลากินข้าวแล้วนะ วันนี้คุณได้แชมป์มาเรากินก๋วยเตี๋ยวสุขใจกันดีไหม?” กินเสร็จแล้วก็ไปเล่นกลิ้งผ้าปูที่นอนกัน? 

 

 

“ไม่ต้องทำหรอก พวกเราไปดูหลิวเหมยกัน ถ้าเขาไม่ได้เป็นอะไรพวกเราก็ออกไปหาอะไรกินกัน แต่ถ้าเขาเกิดเรื่อง…” เสี่ยวเชี่ยนนิ่งไป ไม่พูดต่อ 

 

 

“หลิวเหมย? เป็นอะไร?” 

 

 

ช่วงสองวันนี้หลิวเหมยมัวแต่ยุ่งเรื่องที่ทำงาน แม้แต่จะไปดูเมียแข่งก็ยังไม่มีเวลา อย่าว่าแต่เรื่องน้องสาวเลย 

 

 

“แม่ฉันบอกว่าหลิวเหมยกับฟู่กุ้ยไปเที่ยวกันตั้งแต่วันที่ฉันแข่งวันแรกแล้ว นายเชื่อมะ?” 

 

 

เมื่อกี้เสี่ยวเฉียงยังทำเป็นหยอกล้อกับเสี่ยวเชี่ยนอยู่ พอได้ยินแบบนี้ก็ทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที กลับไปทำตัวปกติ 

 

 

“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด คงเกิดอะไรขึ้นแน่แล้วไม่ได้บอกพวกเรา…ไม่ได้ ต้องรีบไปดู” 

 

 

ทั้งสองคนจึงเตรียมออกไปด้วยกัน 

 

 

ถึงหลิวเหมยจะเป็นคนซื่อๆ แต่ก็ไม่เป็นคนนอกลู่นอกทาง แถมฟู่กุ้ยยังเป็นคนเอาใจใส่คนรอบตัวยิ่งกว่า สองคนที่เป็นคนละเอียดขนาดนี้ไม่มีทางทำตัวเอาแต่ใจนึกจะไปเที่ยวก็ไป การที่สองคนนี้พูดข้ออ้างแบบนี้ได้ก็แสดงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน 

 

 

ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกับเสี่ยวเฉียงกำลังจะไปหาหลิวเหมย แม่อวี๋ก็โทรเข้ามาพอดี 

 

 

“เจ้าเล็ก ไปซื้อยาให้แม่หน่อย เร็วๆด้วย” 

 

 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” 

 

 

“อย่าเพิ่งถามเลย ฟู่กุ้ยกระดูกหัก นี่ก็สามวันแล้ว หลิวเหมยเพิ่งโทรมาบอกแม่ แม่มาที่นี่ไม่ได้เอากล่องยามาด้วย คงต้องไปซื้อเอาข้างนอก” 

 

 

“กระดูกหัก?” อวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยนมองหน้ากัน เกิดเรื่องขึ้นจริงๆด้วย 

 

 

“ใช่น่ะสิ วันที่ฟู่กุ้ยเพิ่งมาวันนั้นนั่นแหละ…” 

 

 

แม่อวี๋เล่าเรื่องให้ฟัง อวี๋หมิงหลางไม่กล้ารอช้า รีบไปหาซื้อยาตามที่แม่อวี๋สั่งทันที 

 

 

สูตรยาของแม่อวี๋สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ได้ผลดีมาก เพียงแต่หาตัวยายาก ร้านขายยาจีนสมัยนี้มีไม่ค่อยครบ มีสมุนไพรสองตัวที่หาซื้อไม่ได้ อวี๋หมิงหลางจึงจะขับรถไปซื้อที่โรงพยาบาลแพทย์แผนจีน 

 

 

เมื่อไปถึงบ้านหลิวเหมย พอเข้าบ้านเสี่ยวเชี่ยนก็เห็นฟู่กุ้ยนั่งอยู่บนรถเข็น แม่อวี๋กับหลิวเหมยอยู่ข้างๆเขา แม่อวี๋กำลังดูฟิล์มเอกซเรย์ให้ 

 

 

“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม มิน่าฟู่กุ้ยไม่กล้าบอกแม่เธอ 

 

 

ต้าหลงกำลังจะสอบ คงกลัวน้องชายเสียสมาธิ 

 

 

“ไม่เป็นไร แผลแค่นี้เอง อายุยังน้อยรักษาตัวเดือนนึงก็หายแล้ว” ฟู่กุ้ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 

 

 

แต่หลิวเหมยกลับขอบตารื้น พอนึกถึงวันนั้นที่ฟู่กุ้ยเกือบไม่อยู่แล้วก็รู้สึกปวดใจ 

 

 

“พอไหว แม่ดูฟิล์มละ อาการไม่หนัก ใช้ยาของบ้านเราคงหายไวขึ้น เดือนนึงก็น่าจะหายดี” แม่อวี๋ดูฟิล์มเอกซเรย์เสร็จก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง 

 

 

แม่อวี๋ทำยาเสร็จก็ทาให้ฟู่กุ้ย หลังจากกำชับเรื่องที่ต้องระวังแล้วก็พูดออกมาด้วยความเสียดาย 

 

 

“สูตรยาของบรรพบุรุษคงไม่มีใครสืบทอดแล้ว มีลูกตั้งสี่คนแต่ไม่มีใครเอาสักคน มีลูกสะใภ้เป็นหมอสามคนแต่ไม่มีใครเป็นหมอกระดูกเลย น่าเสียดายจริงๆ” 

 

 

ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังจะปลอบใจ แม่อวี๋ก็พูดต่อ 

 

 

“สูตรยาที่สืบต่อกันมาในตระกูลจะให้สูญหายไปไม่ได้ ต่อไปถ้าหลานคนไหนสนใจเรื่องกระดูกนะ แม่จะถ่ายทอดวิชาให้หมด” 

 

 

“งั้นแม่ก็คงต้องพุ่งความสนใจไปที่ลูกในท้องต้าอีแล้วล่ะค่ะ หนูคิดว่าอีกหน่อยลูกของหนูก็คงซนไม่เบา คงมานั่งเรียนเรื่องพวกนี้ดีๆยาก” 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนพูดตามความเป็นจริง เสี่ยวเหวยเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ด้านกีฬา เรื่องเต้นก็ไม่น้อยหน้า แต่เสี่ยวเชี่ยนจินตนาการไม่ออกเลยว่าลูกเธอจะมานั่งใจเย็นคอยรักษาคนไข้ได้ยังไง 

 

 

“ถ้าซนก็เหมือนตาเล็กนั่นแหละ” แม่อวี๋หันไปจิกตาใส่เสี่ยวเฉียง 

 

 

เสี่ยวเฉียงกำลังนั่งกินแอปเปิ้ลพลางคุยกับฟู่กุ้ย อยู่เฉยๆก็โดนด่าซะงั้น 

 

 

“อะไรกันทำไมคุยอะไรก็โยงมาที่ผม?” 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนหันไปมองเขา อวี๋หมิงหลางนึกถึงเรื่องมาร์คหน้าขึ้นมาทันที เขาจึงแกล้งไอ 

 

 

“คือว่า เรื่องพันธุกรรมมันก็แก้อะไรไม่ได้อะนะ แต่พวกเราอบรมเลี้ยงดูตอนหลังได้ เมียผมเก่งขนาดนี้ จะเด็กแบบไหนก็เลี้ยงดูให้ดีได้ มียีนเกเรจากผมเป็นตัวถ่วงก็ไม่ต้องกลัว เมียผมเก่ง” 

 

 

เพื่อที่จะไม่ถูกถอนขน สกิลการประจบก้าวหน้าขึ้นทันที 

 

 

“กะล่อน” เสี่ยวเชี่ยน หึ ออกมา ถือว่าได้ผล 

 

 

หลิวเหมยที่ปกติช่างพูดช่างคุยวันนี้กลับเงียบผิดปกติ ทุกคนนั่งคุยกันเธอก็ไม่พูดแทรก นั่งเหม่ออยู่ข้างๆ จนกระทั่งโทรศัพท์ในบ้านดัง เสี่ยวเชี่ยนจึงไปรับ 

 

 

“หลิวเหมยอยู่ไหม?” ปลายสายน้ำเสียงดูร้อนรน 

 

 

“อยู่ค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ” เสี่ยวเชี่ยนยื่นโทรศัพท์ให้หลิวเหมย เหมือนคนที่บ้านหลิวเหมยจะโทรมา