บทที่ 235 สะพานกระดาษข้ามหลุมงู
วันต่อมา วันที่ 4 ของการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง
ณ รุ่งสางมีฝนโปรยปรายลงมาเล็กน้อย
แต่เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสง สายฝนก็หยุดลง
โลกทั้งใบสดชื่นมากขึ้น ต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นสีเขียวสด ราวกับได้รับการล้างน้ำให้สดใหม่ใสสะอาด
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะประตูด้วยฝีมือหวังจงที่กำลังส่งเสียงโวยวายเพราะความตื่นเต้น
“นายน้อยขอรับ พวกเราจะรวยกันใหญ่แล้ว เมื่อคืนนี้ข้าเปิดประมูลค่าโฆษณาได้ทั้งสิ้น 4,500 เหรียญทองคำ ผู้ที่เราจะต้องโฆษณาให้เขาก็คือหอการค้าสามพันโยชน์ ร้านขายอัญมณีหลิวไค่และร้านขายกระบี่อาจารย์ฟ่านสาขาเมืองหยุนเมิ่ง เช้านี้ ข้าได้จัดเตรียมของที่จำเป็นต้องใช้เรียบร้อยแล้วขอรับ”
หวังจงจ้องมองนายน้อยด้วยแววตาเลื่อมใส
“ดีมาก”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ก่อนจะกล่าวว่า “ความจริง เป็นข้าต่างหากนะที่รวย ไม่ใช่พวกเรา”
หวังจงเงียบกริบไปทันที
เมื่อรับถุงเงินที่บรรจุ 4,500 เหรียญทองคำไปเรียบร้อยแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ยิ้มแย้มอย่างใจดีและส่งมอบ 10 เหรียญเงินให้แก่พ่อบ้านประจำตัว “นี่คือค่าเหนื่อยของเจ้า ขอบใจมากที่อุตส่าห์ทำงานหามรุ่งหามค่ำ รับไปเถอะ ไม่ต้องขอบคุณข้าก็ได้”
หวังจงยังคงพูดอะไรไม่ออก
นายน้อยจะเก็บเหรียญทองไว้ทั้งหมดคนเดียวเลยหรือ?
แต่ชายชราก็ไม่กล้าถามอะไรมากมาย เขารีบเก็บเหรียญเงินใส่ถุงเงินข้างเอว พร้อมกับกัดฟันกล่าวว่า “ขอบคุณนายน้อยสำหรับเงินค่าแรงขอรับ”
หรือว่าจะขอค่าแรงเพิ่มอีกสักหน่อยดีนะ?
แต่หวังจงก็ไม่อยากจบชีวิตของตนเองลงตอนนี้
หลินเป่ยเฉินพยายามระงับความตื่นเต้น และนำเงินจำนวน 2,500 เหรียญทองคำออกมา กล่าวว่า “นี่คือเงินเดิมพันของเราประจำวันนี้ จงเอาไปใช้ในบ่อนพนันให้ได้กำไรมากที่สุด เราจะทำเงินได้มากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับวันนี้เท่านั้น หลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไป เราคงไม่สามารถทำเงินได้ก้อนใหญ่เท่านี้อีกแล้ว”
หวังจงยื่นมือออกไปรับถุงเงินมาประคองเอาไว้อย่างทะนุถนอม
หลินเป่ยเฉินทำท่าคิดอะไรบางอย่างอยู่เล็กน้อย ก็หยิบถุงเงินเพิ่มมาอีก 1,500 เหรียญทองคำ “เอาเงินก้อนนี้ไปด้วย”
นี่คือความพยายามที่จะยกระดับฐานะของตนเองอีกครั้ง
เส้นทางเศรษฐีที่จะพลิกชีวิตได้ชั่วข้ามคืน
หนทางข้างหน้ายังมีงานให้ต้องทำอีกมากมายนัก
หลินเป่ยเฉินเจียดเงิน 1,000 เหรียญทองคำเอาไว้ใช้สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือ
เพียงเท่านี้ก็ทดแทนเงินที่เขาสูญเสียไปได้แล้ว
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงมารับประทานอาหารฝีมือของสองสาวรับใช้ เมื่อรับประทานเสร็จ เขาก็แนะนำให้พวกนางเพิ่มการบ้านให้แก่เจ้าหนูอากวง และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็เดินไปที่หน้าสถาบันเพื่อไปสมทบกับคนอื่นๆ
…
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าบาดเจ็บหรือ?”
ไป๋ชินหยุนถามออกมาเสียงแข็งในระหว่างที่โดยสารอยู่บนรถม้า
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน ข่าวลือแพร่กระจายไปได้ไวมาก เขารีบกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสบายใจ “ข้าฟื้นตัวดีแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
“คิดอยู่แล้วเชียว เจ้ามีพลังสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้นี่นา”
ไป๋ชินหยุนว่า
ถึงแม้ฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่การได้รับฟังบทสนทนาระหว่างหลินเป่ยเฉินกับไป๋ชินหยุน ก็ทำให้พวกเขาเบาใจขึ้นหลายเท่า
“เช้าวันนี้จะเป็นการทดสอบวิชาตัวเบา ส่วนรอบบ่ายน่าจะเป็นการทดสอบตัวยาสมุนไพรกับพลังลมปราณ วันนี้เราต้องแข่งขันกันถึง 3 วิชา เวลาพักคงน้อยนิดนัก”
ฮันปู้ฟู่เปลี่ยนหัวข้อสนทนากลับมาเข้าเรื่องสำคัญ
เยว่หงเซียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแย้ม พูดว่า “ข้าคิดว่าบททดสอบในรอบนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ผู้เข้าแข่งขันคงไม่สามารถผ่านเข้ารอบไปได้ง่ายๆ อีกแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าไป๋ชินหยุนไม่ได้สนใจผลการแข่งขันสักเท่าไหร่ นางเปลี่ยนเรื่องพูดอีกครั้งหนึ่งว่า “นี่ พวกท่านได้ยินข่าวนี้หรือยัง? เมื่อวานนี้อาจารย์อู๋เฟิ่งกูถูกไล่ออกจากกระทรวงศึกษาแล้ว เขาไม่ได้เป็นขุนนางรับใช้ประชาชนอีกต่อไป ให้ตายเถอะ หลินเป่ยเฉิน เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นดีดหน้าผากเด็กสาวร่างเล็ก แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ทำไมจะต้องพูดอะไรด้วย แล้วอีกอย่างนะ จากนี้ไปเจ้าต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่หลิน แล้วก็หัดพูดจากับข้าให้มันดีๆ หน่อย…”
ไป๋ชินหยุนร้องโอดโอย ยกมือกุมหน้าผากด้วยความเจ็บปวด ทุกคนที่โดยสารอยู่บนรถม้าส่งเสียงหัวเราะอย่างผ่อนคลาย
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ “อีกอย่างเจ้าก็คงได้ยินแล้วว่าข้ายืนยันที่จะเข้ารับการทดสอบอีกครั้ง แต่อาจารย์อู๋เป็นคนปฏิเสธ เห็นไหมว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าสักนิด ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เด็กหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะเหมือนตนเองไม่ได้ฉวยโอกาสโฆษณาสบู่ในระหว่างการแข่งขัน
หลังจากนั้นไม่นาน รถม้าก็นำพาพวกเขามาถึงสถานศึกษากระบี่หลวง
ผู้เข้าแข่งขันที่เหลืออยู่ 62 คนมารวมตัวกันที่ใจกลางสนามหญ้าขนาดใหญ่ ผู้เข้าแข่งขันที่ตกรอบไปแล้วทั้ง 10 คน อย่างเช่นเจิ้งซูไค ก็มาร่วมรับชมการแข่งขันที่ขอบสนามหญ้าเช่นกัน
แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองหลี่สงฟู่ก็มารับชมการแข่งขันด้วยตนเอง และก่อนที่จะเริ่มต้นอธิบายกฎการแข่งขันประจำวันนี้ เขาก็ได้แจ้งข่าวให้ทุกคนทราบว่าเจ้าหน้าที่อู๋เฟิ่งกูได้พ้นสภาพการเป็นขุนนางในกระทรวงศึกษาเรียบร้อยแล้ว นี่คือข่าวลือที่ไป๋ชินหยุนเล่าให้พวกเขาฟังบนรถม้า อาจารย์อู๋โดนไล่ออกให้กลับไปขายแตงโมสมใจปรารถนา
และเหตุผลที่ทำให้เขาถูกไล่ออกก็คือ อู๋เฟิ่งกูใช้อำนาจของความเป็นหัวหน้ากรรมการในทางมิชอบ เขาพูดหลายอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน และยังโฆษณาสินค้าอย่างผิดกฎ แต่หลี่สงฟู่กลับไม่ได้พูดถึงพฤติกรรมของหลินเป่ยเฉินเลยสักคำเดียว นี่หมายความว่ากระทรวงศึกษายังคงยึดผลคะแนนในการทดสอบความเร็วกระบี่ของเขาตามเดิม หลินเป่ยเฉินจึงอดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้
คณะอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เช่นกัน
เมื่อแจ้งข่าวจบสิ้น หลี่สงฟู่ก็ใช้สายตาที่คมวาวราวกับกระบี่จ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยสีหน้าดุดัน “ข้าต้องขอยอมรับในความฉลาดเฉลียวของผู้เข้าแข่งขันบางคนจริงๆ แต่หวังว่าพวกเจ้าคงเอาความคิดสร้างสรรค์นั้นมาใช้ในทางที่ดี อย่าได้คิดฉวยโอกาสหาเงินค้ากำไรจากการแข่งขันอีก นี่คือกฎข้อใหม่ที่จะถูกบัญญัติขึ้นนับตั้งแต่วันนี้ไป ห้ามไม่ให้ผู้เข้าแข่งขันคนใดเอ่ยถึงผลิตภัณฑ์ทุกชนิดระหว่างการต่อสู้ หากมีผู้ใดฝ่าฝืน ผู้เข้าแข่งขันคนนั้นจะถูกตัดสิทธิ์โดยทันที!”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างและส่งเสียงปรบมือเป็นคนแรก
ดูเหมือนว่า ‘ผู้เข้าแข่งขันบางคน’ ที่เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองเอ่ยถึง คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขานั่นเอง
แต่กลับมีผู้เข้าแข่งขันจำนวนมากสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปในพริบตา
เนื่องจากว่าเมื่อวานนี้ พวกเขาเห็นการโฆษณาของหลินเป่ยเฉิน จึงทำการตกลงกับพ่อค้าประจำเมือง รับโฆษณาสินค้าระหว่างการแข่งขันในราคาสูง ใครจะไปรู้เลยว่ายังไม่ทันได้แข่ง กระทรวงศึกษาก็ออกกฎใหม่ห้ามไม่ให้พวกเขาพูดโฆษณาสินค้าเสียแล้ว…
ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่า เงินค่าโฆษณาที่พวกเขารับมาเมื่อคืนนี้ ก็ต้องจ่ายคืนพ่อค้าเหล่านั้นกลับไปทั้งหมด
ผู้เข้าแข่งขันกลุ่มนั้นอยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแจ้งข่าวของหลี่สงฟู่ การแข่งขันวันที่ 4 ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
หัวหน้ากรรมการในวันนี้เป็นชายชราร่างผอมสูงลักษณะเคร่งขรึม ใบหน้ายับย่นเต็มไปด้วยริ้วรอยเหมือนคนมีอายุ 300 กว่าปี จมูกงองุ้มดั่งตะขอ ริมฝีปากบางเฉียบ ดูเป็นคนที่เข้มงวดอย่างยิ่ง
เขาแนะนำว่าตนเองมีนามเหมยซือหยวน เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงศึกษา และมีระดับอาวุโสมากยิ่งกว่าหลี่สงฟู่เสียอีก
หลี่สงฟู่เดินหลบไปยืนอยู่ด้านข้าง
ในหอประชุมของสถานศึกษากระบี่ที่สาม การถ่ายทอดสดการแข่งขันได้เริ่มต้นขึ้นบนหน้าจอขนาดใหญ่
“การแข่งขันแรกในวันนี้ คือการทดสอบความสามารถในการใช้วิชาตัวเบา” เหมยซือหยวนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจัง มีสีหน้าเหมือนเจ้าหนี้มาทวงเงินผู้คน น้ำเสียงของเขาดังกังวานได้ยินไปไกล “การทดสอบจะแบ่งแยกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกนั้นจะเป็นการข้ามสะพาน พวกเจ้าจงเบิกตาดูเอาเองเถิด!”
แล้วสายตาของทุกคนก็มองตามนิ้วมือของชายชราไป
ใจกลางสนามหญ้าขณะนี้ พวกเขาพบเห็นหลุมกว้าง 25 วา ลึก 3 จั้ง สองข้างของหลุมลึกนั้นมีเสาหินตั้งอยู่เหมือนกับเสาค้ำสะพาน
ด้านบนปากหลุมมีสะพานกระดาษทอดยาวเป็นระยะทางทั้งหมด 30 วา มันมีขนาดความกว้างเพียงครึ่งวา เป็นตัวเชื่อมระหว่างฝั่งหนึ่งของหลุมลึกไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แต่กระดาษที่นำมาใช้เป็นสะพานมีความบอบบางอย่างยิ่ง ขอเพียงมีลมแรงพัดมาสักเล็กน้อย สะพานกระดาษเหล่านี้ก็จะต้องขาดออกเป็นแน่แท้
วันนี้ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องใช้วิชาตัวเบาของตนเองข้ามสะพานกระดาษอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อนำผลท้อหนึ่งลูกและธงสีเหลืองหนึ่งผืนกลับมายังจุดเริ่มต้น ถ้าทำได้สำเร็จ ถึงจะถือว่าผ่านการทดสอบ
การตัดสินจะยึดจากระยะเวลาที่ใช้ในการข้ามสะพานทั้งขาไปและขากลับ
“พวกเราฟังสิ นั่นมันเสียงอะไรน่ะ?”
ไป๋ชินหยุนพูดขึ้นมาในขณะที่กางหูรับฟังอะไรบางอย่าง
“ดูนั่นสิ นั่นมัน…งูพิษไม่ใช่หรือ? ในหลุมมีงูพิษอยู่เต็มไปหมด” หนึ่งในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด
หลินเป่ยเฉินทอดสายตามองลงไปในหลุมลึก
เขาเห็นว่าด้านล่างสะพานกระดาษ มีงูพิษหลากสีสันจำนวนนับหมื่นตัวกำลังส่งเสียงขู่ฟู่ฟ่ออยู่ในก้นหลุม พวกมันกำลังเลื้อยไปมา ดูน่าขนลุกเหลือเกิน
นี่พวกกระทรวงศึกษาคิดจะจับเด็กมาเป็นอาหารงูหรือไง?
หลินเป่ยเฉินถึงกับยืนตะลึงอยู่กับที่
ใครกันนะเป็นคนต้นคิดวิธีการแข่งขันที่เสี่ยงตายขนาดนี้?
ไม่สำคัญหรอกว่าพวกเขาจะข้ามสะพานกระดาษได้สำเร็จหรือไม่ แต่ถ้าเกิดมีคนตกลงไปในหลุมงูพิษขึ้นมาล่ะ จะมีผู้ใดสามารถรับประกันความปลอดภัยได้บ้าง?