ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 1336 – ทักษะรักษาห่วงวิญญาณของชิงสุ่ย, หวู๋หวู่น้อย, หญิงสาวทั้งสองออกจากการเก็บตัวฝึกวิชา

 

เขาคงต้องใช้งานโอสถหยางในเร็วๆนี้แล้ว นี่อาจเป็นปัจจัยสำคัญ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ประโยชน์มากมายจากโอสถหยางในเร็ววันนี้ แต่ก็ยังมีครอบครัวและมิตรสหายรอบๆตัวเขา ตราบที่พวกเขายังมีความต้องการใช้งานโอสถหยาง ความสามารถของพวกเขาจะถูกเพิ่มอย่างก้าวกระโดด

 

ด้วยเวลาอันแสนสั้น ชิงสุ่ยจะมีความแข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญจริงๆก็คือการทำให้พลังมีความมั่นคงขึ้น ชิงสุ่ยใช้เข็มแห่งชีวิตและความตายเพื่อเสริมสร้างพลังให้กับตนเองเพื่อพัฒนาวิชากายาทองคำเก้าหยาง

 

วิชากายาทองคำเก้าหยางของเขาในตอนนี้อยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบ เขาไม่รู้เช่นกันว่ามันจะพัฒนามาถึงขั้นนี้ เส้นใยโลหิตทองคำอินทนิลในกระแสเลือดของคำมีความหนาขึ้นกว่าสองเท่า พลังในกระแสเลือดของเขาทำให้ความสามรถของชิงสุ่ยถูกเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งถูกพัฒนามากขึ้นที่สุดคือความเสียหายที่เขาสามารถระเบิดมันออกมาได้

 

ในวันนี้ชิงสุ่ยรู้สึกต้องการเดินทางกลับไปยังมหาทวีปอู่เซียตะวันตกเพื่อเยี่ยมเยียนเสียหน่อย ทั้งหมดก็เพราะเป็นเวลานานมากแล้วที่เขากลับไปเยี่ยมองค์หญิงใหญ่และคนอื่นๆ

 

ชิงสุ่ยบอกกล่าวเรื่องนี้กับหมอปิศาจ ในระยะเวลานี้แม้ความสามารถของเขาจะตามหลังชิงสุ่ยอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับก่อนหน้าแล้ว แน่นอนว่าที่เขาพัฒนาขึ้นรวดเร็วเช่นนี้เกิดจากทักษะรักษาห่วงวิญญาณอันแข็งแกร่งของเขา

 

หมอปิศาจสอนทักษะรักษาห่วงวิญญาณแก่ชิ่งสุ่ย ซึ่งในตอนแรกชิงสุ่ยไม่ต้องการที่จะเรียนมัน แต่เขาก็มิอาจปฏิเสธน้ำใจของหมอปิศาจนี้ได้ ผู้คนทั้งหลายคงไม่รู้สึกอึดอัดหรอกถ้าพวกเขามีทักษะที่มากมาย ยิ่งไปกว่านั้นทักษะรักษาห่วงวิญญาณสามารถยืดอายุขัยของคนออกไปได้ถึงสามวัน สำหรับชิงสุ่ยเองแล้วภายสามวันสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมายหลายอย่าง

 

แน่นอนว่าเมื่อชิงสุ่ยได้เรียนรู้ทักษะรักษาห่วงวิญญาณแล้ว เขาก็ต้องพบว่ามันไม่ได้ง่ายดั่งที่หมอปิศาจได้บอกเอาไว้ วินิจฉัยและยืดอายุขัยสามวันของบุคคลเป็นเพียงขั้นตอนเบื้องต้นเท่านั้น

 

อาจเป็นเพราะหมอปิศาจทำสิ่งเหล่านี้ซ้ำๆมาตลอดแต่ชิงสุ่ยชอบเรียนและทดลองสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา เขาค้นพบความสามารถอื่นๆที่แฝงมากับทักษะรักษาห่วงวิญญาณอีกเช่นกัน เช่น เมื่อทักษะรักษาห่วงวิญญาณหลอมรวมเข้ากับร่างกายและปราณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลแล้ว มันช่วยให้สามารถเสริมสร้างการป้องกันขึ้นได้ ซึ่งมีความแข็งแกร่งกว่าการใช้ทักษะปราการจู่โจมเสียอีก

 

เมื่อเทียบกับปราณแห่งการหวนคืนของชิงสุ่ยแล้ว มันอาจจะช่วยกระตุ้นพลังในร่างกายและช่วยให้เพิ่มอายุขัยขึ้นอีกเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ยังไม่ทำให้ชิงสุ่ยประหลาดใจมากนัก เรื่องที่น่าตกใจก็คือการใช้มันร่วมกับพลังเส้นทางแห่งสวรรค์ส่งผลให้พลังมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่ที่เขาสามารถก้าวไปสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ได้แล้ว เขาพยายามคิดถึงเรื่องการใช้พลังเหล่านี้ในการต่อสู้มาตลอด เขาไม่คิดมาก่อนว่าเมื่อใช้มันกับสิ่งอื่นๆจะให้ผลดีเช่นนี้

 

เคล็ดเสริมกายา… ชิงสุ่ยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับสิ่งเหล่านี้ ด้วยมังกรไอยราเกล็ดทองคำและเคล็ดวิชาทวิบ่มเพาะไร้นาม เขาต้องการมั่นใจว่ารากฐานของเขาจะถูกเสริมสร้างอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งมันทำให้เขาสามารถเพิ่มความสามรถแก่ตนเองขึ้นไปได้อีก

 

แม้ว่าผลลัพธ์จะยังออกมาไม่ดีเท่าที่ควรแต่ชิงสุ่ยเองก็ยังพอใจกับมันมาก เคล็ดเสริมกายาบรรพกาลเป็นการเสริมพลังให้กับร่างกายและกายาทองคำเก้าหยางช่วยเสริมให้สมบูรณ์ขึ้นอีกขั้น เขาหวังว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงโอสถหยางจะช่วยเพิ่มความสามารถให้กับเขาอย่างมหาศาล

 

เมื่อหมอปิศาจรู้ว่าชิงสุ่ยต้องการจะออกเดินทาง เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด ด้วยระยะเวลาเหล่านี้ชิงสุ่ยมักจะออกไปที่อื่นๆ เป็นเวลาแปดถึงสิบวันในทุกๆเดือน และเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ

 

เมื่อชิงสุ่ยเดินทางมาถึง อี่หวงกู่หวู๋กำลังอ่านตำราและนั่งลงอยู่บนที่นอนอันแสนนุ่ม นางดูเงียบสงบและแฝงไปด้วยความฉลาดราวกับเป็นบุคคลในภาพวาด เมื่อนางหันกลับมาและพบกับชิงสุ่ย นางถึงกับอุทาน “เจ้ากลับมาแล้ว!”

 

“เจ้ากำลังมองหาสิ่งใดอยู่เช่นนั้นหรือ?” ชิงสุ่ยนั่งลงข้างๆและโอบลงที่เอวของนาง

 

“ไม่มีเสียหน่อย อ้อ ใช่แล้ว ลู่หยานและหยวนเอ๋อได้ออกมาจากการเก็บตัวฝึกวิชายุทธแล้ว” อี่หวงกู่หวู๋ปิดตำราลงพร้อมกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

 

“พวกนางออกมาแล้ว? พวกนางเป็นอย่างไรกันบ้าง?” ชิงสุ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

 

“ถือว่าไม่เลวเลย พวกนางแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ถ้าเจ้าช่วยได้อีกแรง พวกนางจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้อีก”  อี่หวงกู่หวู๋ยิ้มพร้อมกับผลักตัวชิงสุ่ยลงไปยังที่นอนพร้อมใช้ร่างกายอันสวยงามทับลงไปที่ตัวชิงสุ่ย ในตอนชิงสุ่ยรู้สึกว่าเลือดในร่างกายของเขากำลังเดือดพล่าน

 

“รายกาจยิ่งนัก!”

 

ชิงสุ่ยไม่ได้ถอยกลับและจูบลงไปที่ริมฝีปากอันน่าเย้ายวนของนาง ในขณะที่ใช้เมือลูบเล้าไปยังภูเขาทั้งสอง อี่หวงกู่หวู๋รีบโต้ตอบกลับทันที ลิ้นของนางกำลังพัวพันอยู่กับชิงสุ่ยในตอนนี้

 

เป็นเวลากว่าสองเดือนแล้วที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ชิงสุ่ยได้เดินทางกลับมากว่าสองครั้งในช่วงนี้แต่ก็ไม่มีที่ท่าว่าจะได้ทำมันอีก อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงสัมผัสและจูบซึ่งกันและกัน ชิงสุ่ยอยากจะกล่าวกับนางว่าพวกเขาสามารถทำมันได้อีก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงหยุดความคิดนั้นเอาไว้ก่อน

 

รออีกเสียหน่อย สิ่งดีๆมักจะคู่ควรกับการรอคอยเสมอ

 

เขาซุกศีรษะเข้าไปยังชุดคลุมของนางตรงเข้าไปหาเนินทั้งสอง พร้อมสูดหายใจเข้าอย่างกับคนตะกละตะกลาม  อี่หวงกู่หวู๋มองไปยังชิงสุ่ยและใบหน้าของหน้าเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“ปรมจารย์ป้า จำสิ่งที่ข้าเคยกล่าวเอาไว้ได้หรือไม่ ท่านควรจะรู้เรื่องร่างกายของตนเอง ตัวข้าเองมีกายาเก้าหยาง แม้ว่าพวกเราจะสามารถทำมันได้ในตอนนี้ แต่ได้โปรดรออีกหน่อย เช่น เมื่อข้าสามารถไปถึงอาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจได้แล้ว ข้าจะสามารถมีสัมพันธ์กับท่านได้โดยปราศจากปัญหาใดๆ” ชิงสุ่ยรู้ดีว่าเขาควรให้ความหวังแก่นางเสียหน่อยและถือเป็นเรื่องใหญ่เสียด้วย

 

เมื่อได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย ดวงตาขออี่หวงกู่หวู๋ก็เบิกกว้างขึ้น นางไม่มีปัญหาใดๆกับคำพูดของชิงสุ่ย ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของนางมีความอ่อนไหวเป็นอย่างมาก เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งที่แล้วทำให้นางรู้ดีว่าร่างกายของชิงสุ่ยมีความเป็นเอกลักษณ์ ความอบอุ่นที่มาจากร่างกายของเขาทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายจริงๆ มันมีความน่าดึงดูดมาก ราวกับเป็นแรงดูดของแม่เหล็กขั้วเหนือและใต้เลยทีเดียว

 

ซึ่งตรงกับเหตุผลที่ว่าในครั้งแรกที่อี่หวงกู่หวู๋และชิงสุ่ยได้พบกัน นางทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกราวกับว่านางเป็นคนเข้าถึงยาก เพราะร่างกายของนางได้สัมผัสกับความรู้สึกบางอย่างที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างกายของชิงสุ่ย อย่างไรก็ตามนางไม่อยากทำให้ชิงสุ่ยเกิดความลำบากใจ ดังนั้นไม่ว่าชิงสุ่ยจะกล่าวอะไรออกมา นางยังคงไม่เชื่อมันทั้งหมด

 

แต่ถึงอย่างนั้น นางยังคงฝันและหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งนางจะกลายเป็นของเขาในที่สุด นางรู้สึกว่าโอกาสนั้นมีน้อยลงขึ้นทุกที แม้ว่าร่างกายของชิงสุ่ยจะไม่เลวนักแต่ร่างกายของนางต่างหากที่เป็นปัญหา

 

แต่เมื่อนางได้ยินสิ่งที่ชิงสุ่ยกล่าวออกมาในวันนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าคงเชื่อถือได้ ถ้าชิงสุ่ยสามารถบรรลุระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจได้แล้ว เรื่องเหล่านี้อาจเป็นไปได้ขึ้นมา เมื่อคิดย้อนกลับไปนางรู้สึกว่านางตัดสินใจได้ดีจริงๆ เป็นเพราะนางรู้สึกว่าชิงสุ่ยเป็นคนที่สามารถบรรลุระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจได้ เพียงแค่ต้องให้เวลากับเขาเสียหน่อย ซึ่งความหวังเหล่านี้อาจเป็นจริงขึ้นมา

 

“เช่นนั้นแล้วข้าจะถือว่ามันเป็นคำสัญญา เมื่อเจ้าสามารถบรรลุขั้นปราณบรรณชาสวรรค์พินาจพวกเราจะทำมันอีกครั้ง…”อี่หวงกู่หวู๋กล่าวพร้อมก้มหน้าลง

 

“ทำอะไรเช่นนั้นหรือ? เจ้าหวู๋หวู่น้อย?” ชิงสุ่ยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ในขณะที่มองไปยังหญิงสาว

 

อี่หวงกู่หวู๋รู้สึกตกใจเพราะชิงสุ่ยได้เรียกชื่อเล่นของนางออกมา ไม่ใช่ว่าเพราะนางรู้สึกอ่อนแอหรือเพราะความรู้สึกเขินอาย แต่นางกลับรู้สึกมีความสุขมาก นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าชายหนุ่มคนนี้จะเรียกนางว่าหวู๋หวู่น้อยอย่างสนิทสนม สีหน้าของนางเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย นางจ้องมองชิงสุ่ย “ชิงสุ่ย ข้ามีความสุขมากๆในวันนี้”

 

“ในภายภาคหน้า ท่านจะมีความสุขตลอดไป ข้าให้สัญญาว่าจะทำให้ท่านเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุด”

 

“ข้าเชื่อในตัวเจ้า”

 

“ท่านปรมจารย์ป้า…”

 

“ข้าไม่ชอบให้เจ้าเรียกข้าเช่นนั้น” อี่หวงกู่หวู๋ใช้มือทั้งสองคล้องคอของชิงสุ่ยเอาไว้และกล่าวออกมาด้วยเสียงน่ารัก

 

“หวู๋หวู่น้อย…”

 

“มันน่าสะอิดสะเอียนเกินไป… เจ้าสามารถเรียกข้าด้วยชื่อนั้นเมื่อมีแค้เพียงเราสองคนเท่านั้น”

 

“ในตอนนี้ก็มีแค่เพียงสองเรา”

 

“หืมมมม!”

 

“มีคนจากตระกูลอี่หวงมาพบข้า” ชิงสุ่ยพยายามจะบอกเรื่องเหล่านี้ต่ออี่หวงกู่หวู๋

 

“หืม เป็นอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ ถ้าเจ้าไม่สามารถปฏิเสธพวกมันได้ เช่นนั้นเจ้าก็คล้อยตามไปก็แล้วกัน เพียงแต่อย่าถลำลึกเข้าไปมากและปล่อยให้พวกมันได้ใจไว้ก่อน” อี่หวงกู่หวู๋มองไปยังชิงสุ่ยและกล่าวอย่างสงบ นางไม่อยากให้ปัญหาเกิดขึ้นกับชิงสุ่ย เป็นเพราะตระกูลอี่หวงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อต้านได้ในตอนนี้

 

“ข้ายังไม่ได้ร่วมมือกับพวกเขาเสียทีเดียว ข้าให้พวกเขาช่วยเหลือบางอย่างและจะร่วมมือก็ต่อเมื่อพวกเขาทำได้สำเร็จ เมื่ออยากร่วมมือด้วยกันแล้ว พวกเขาควรแสดงความจริงใจออกมาเสียหน่อย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกเลยต้องตกลงกับข้าไป นอกเหนือจากนั้นในไม่นานนักท่านคงพร้อมที่จะต่อกรกับตระกูลอี่หวงแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะอยู่ข้างๆท่าน” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างสบายใจ

 

“มันคงต้องใช้เวลาอีกยาวนาน ต้องขอบใจเจ้าเรื่องเคล็ดรูปแบบพยัคฆ์ เมื่อข้าบรรลุวิชานี้ขึ้นไป มันจะช่วยเพิ่มความสามารถของข้าขึ้นอีก และข้าจะสามารถขึ้นไปยืนอยู่ในระดับเดียวกันกับตระกูลอี่หวงได้” อี่หวงกู่หวู๋รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อกรกับพวกระดับพลังปราณจักรพรรดิ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนในระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจอยู่ในตระกูลอี่หวงอีกด้วย แม้ว่าคนๆนั้นจะอยู่ในระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจขั้นต้นแต่ก็ยังนับว่าเป็นคนในระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจอยู่ดี

 

คนในระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาเปรียบดั่งเทพเจ้าที่ปกครองโลกใบนี้ ซึ่งมีความต่างทางระดับชั้นอยู่ อาจกล่าวได้ว่าระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจครอบครองวิชาเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์ขั้นสูงอยู่ ระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจที่ครอบครองพลังหนึ่งล้านสุริยาสามารถสังหารคนในระดับพลังปราณจักรพรรดิที่ครอบครองพลังห้าแสนสุริยาได้กว่าร้อยคน และนี่คือความน่ากลัวของเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์ ตัวอย่างเช่น เคล็ดวิชาสรวงสวรรค์สามารถเพิ่มพลังโจมตีและป้องกันเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ และอาจให้ผู้ใช้ได้หยิบยืมพลังแห่งสวรรค์และโลกเพื่อปลดปล่อยพลังโจมตีที่น่ากลัว ผู้ฝึกยุทธระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจบางคนอาจสามารถเรียกเมฆฝน สายฟ้า และอาจถึงขั้นใช้สายฟ้าฟาดลงมาบนผืนโลกได้

 

ผู้ฝึกยุทธิ์ระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจสามารถพลิกได้แม้กระทั่งแม่น้ำและมหาสมุทร บีบอัดอากาศหรือแม้กระทั่งเสกสรรค์ภูเขาขึ้นมา สำหรับพวกเขาแล้วการสร้างภูเขาขึ้นมาสักลูกไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

 

ถ้าอี่หวงกู่หวู๋ต้องการต่อสู้กับคนในตระกูลอี่หวง อย่างน้อยนางต้องบรรลุระดับราณบรรชาสวรรค์พินาจและพึ่งพาเคล็ดรูปพยัคฆ์ในการต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธิ์ อย่างไรก็ตามไม่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะบรรลุเคล็ดวิชาในช่วงเวลาสั้นๆ อาจต้องกินเวลาถึงสิบปีหรือมากกว่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะกำจัดตระกูลที่ทรงพลังเช่นตระกูลอี่หวง

 

ดังนั้นอี่หวงกู่หวู๋จึงค่อนข้างกังวล อย่างไรก็ตามในช่วงนี้นางรู้สึกมีความสุข ในตอนนี้นางมีความก้าวหน้าขึ้นมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้า นางกำลังก้าวเข้าใกล้กับความหวังเข้าไปทุกที

 

 

กว่าที่ชิงสุ่ยจะได้พบกับอวี้ลู่หยานและถานท่ายหยวนก็เป็นวันรุ่งขึ้นแล้ว พวกนางทั้งสองมีความก้าวหน้าขึ้นอย่างมหาศาล มีกลื่นอายของยอดยุทธิ์ที่เฉียบคมเผยให้เห็น ชิงสุ่ยรู้ดีว่าพวกนางยังไม่สามารปรับตัวได้สมบูรณ์นัก และคงจะค่อยๆดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อถึงเวลาพวกนางจะได้พบกับความเปลี่ยนแปลงและได้แสดงพลังออกมาอย่างเต็มที่

 

เมื่อไม่ได้พบกับชิงสุ่ยมาหลายเดือน อวี้ลู่หยานวิ่งเข้ามาและสวมกอดชิงสุ่ยอย่างแน่นแฟ้น แม้แต่ชิงสุ่ยเองก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกของนางที่มีต่อเขา เขาคิดถึงอวี้ลู่หยานเป็นอย่างมาก จากนั้นทั้งสองก็ผละตัวออกจากกัน อวี้ลู่หยานยิ้มให้และเดินไปหาถานท่ายหยวน “เจ้าต้องการกอดกับเขาด้วยใช่ไหม? เขาก็เป็นของเจ้าแล้วเช่นกัน”

 

“ข้าไม่สนเรื่องนั้นหรอก” เป็นเพราะถานท่ายหยวนและชิงสุ่ยไม่ได้ใกล้ชิดกันสักระยะแล้ว ทำให้นางรู้สึกกระวานกระวายใจถ้าเป็นเพราะเรื่องอื่นๆนางคงไม่รู้สึกกระวานกระวายเช่นนี้ อย่างไรก็ตามนางยังคงรู้สึกตื่นเต้นในความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง อีกทั้งยังมีความกังวลที่จะสูญเสียมันไป