ตอนที่ 347 ชี้นำ
บ่าวที่ทุกคนเรียกว่าป้าหวังเมื่อเห็นว่าคนที่อุตส่าห์ไปเกลี้ยกล่อมมากำลังเปลี่ยนความคิด ภายในใจก็รู้สึกร้อนรนยิ่งนัก
นางกำลังจักอ้าปากพูดแต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาของอันหลิงเกอที่เปล่งประกายราวไข่มุกสีดำก็รู้สึกหนาวจับใจโดยมิทราบสาเหตุ ถึงขั้นพูดมิออกแม้แต่คำเดียว
เมื่อไร้ป้าหวังคอยใส่ไฟอยู่ด้านข้าง เหล่าสาวใช้ก็วิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานาจนในที่สุดหลี่ซื่อก็เดินมาถึงด้านหน้าของทุกคน
เสียงหน้าผากโขกพื้นดังขึ้น จากที่มองเห็นไกล ๆ พอตอนนี้ได้ยินใกล้ ๆ ก็ยิ่งรู้สึกราวกับเสียงนั้นกระแทกลงในใจของทุกคนก็มิปาน
โดยเฉพาะเหล่าสาวใช้ของหลี่ซื่อ เมื่อเห็นเจ้านายลดศักดิ์ศรียอมคุกเข่าคำนับต่อหน้าอันหลิงเกอเช่นนี้ก็รู้สึกคล้ายที่พึ่งของตนกำลังพังทลาย
ป้าหวังคือหนึ่งในตัวอย่างที่ได้เห็นกันไปแล้ว แม้วันนี้นางได้รับคำสั่งจากหลี่ซื่อว่าให้มาพูดใส่ไฟเพื่อให้ทุกคนมองอันหลิงเกอในแง่ลบ
ทว่าต่อให้ทำถึงเพียงนั้นก็ยังมิสามารถปกปิดความจริงที่ว่าหลี่ซื่อต้องมาคุกเข่าขอโทษอันหลิงเกอได้อยู่ดี เห็นชัดว่าอำนาจของหลี่ซื่อในตอนนี้ถูกลดทอนลงมิน้อย
สำหรับหลี่ซื่อที่เป็นคนดูแลจวนมากว่าสิบปี เป็นคนที่น่าเกรงขามพูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น นี่จึงเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ในชีวิตที่นางมิเคยได้รับมาก่อน
แต่อันหลิงเกอทำราวกับมิรู้ว่าเรื่องนี้ส่งผลต่อหลี่ซื่อเพียงใด ดวงตาคู่งามเบนสายตาไปยังหลี่ซื่อพร้อมด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลี่ซื่อที่ยังคุกเข่าอยู่กับพื้นมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาและยังโขกศีรษะลงพื้น จากนั้นก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น บนหน้าผากมีรอยเลือดปรากฏชัด มองแล้วน่าตกใจมิน้อย
ตอนที่นางเงยหน้าขึ้นมาจึงได้สบตากับอันหลิงเกอครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบก้มหน้าลงทันที
นิ่งเงียบสงบเสงี่ยมเช่นนี้ หาใช่นิสัยของหลี่ซื่อ
อันหลิงเกอรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างแต่มิได้แสดงสีหน้าใดออกมา นางแค่รอให้หลี่ซื่อเอ่ยปากก่อนเท่านั้น
ขณะที่หลี่ซื่อยังคงมีท่าทางนิ่งสงบ เหล่าสาวใช้รอบกายก็เริ่มวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้อยู่ต่อหน้าเจ้านายถึงสองคน ต่อให้พวกสาวใช้วุ่นวายกันมากเพียงใดก็มิมีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์เสียงดังเหมือนเมื่อครู่ มีเพียงกระซิบกระซาบกันเบา ๆ เท่านั้น คุยกันไปพลางเงยหน้ามองสีหน้าของเจ้านายสองคนไปด้วย
ที่จริงอันหลิงเกอมิคิดว่าด้านนอกเรือนจักมีคนมายืนดูมากมายเพียงนี้ แต่ในเมื่อคนพวกนี้โดนหลี่ซื่อเรียกมาเอง นางจึงมิไล่ไปแต่อย่างใด ตรงกันข้ามคือยิ่งอยากรู้ว่าหลี่ซื่อคิดทำอันใดกันแน่
“ข้าขออภัยคุณหนูใหญ่ หวังว่าคุณหนูใหญ่จักมิถือสาเรื่องที่ข้าทำผิด”
ในที่สุดหลี่ซื่อก็เอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อยมิได้นุ่มนวลเหมือนทุกครั้ง
พลันดวงตาของอันหลิงเกอก็ฉายแววสงสัยออกมา แต่ยังมิทันพูดอันใดปี้จูก็เอ่ยปากถามเสียก่อน
“เสียงของฮูหยินรองหลี่เป็นอันใดหรือเจ้าคะ ? เมื่อวานนี้ท่านเป็นหวัดหรือเจ้าคะ ? ”
หลี่ซื่อยังคุกเข่าอยู่ที่พื้น เมื่อได้ยินคำถามของปี้จูก็ส่งเสียง อืม เรียบ ๆ กลับมาเท่านั้น
หลี่ซื่อมิได้ใส่ใจเรื่องที่ตนเป็นหวัด แต่พวกสาวใช้ที่อยู่รอบข้างกลับส่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ป้าหวังบอกว่าเมื่อวานหลี่ซื่อโดนยั่วโทสะจนกระอักโลหิต ตอนนี้หลี่ซื่อยังเป็นหวัดอีก ทว่าป่วยถึงขนาดนี้ก็ยังมาคุกเข่าขอโทษต่อหน้าคุณหนูใหญ่
มิรู้ว่าหลี่ซื่อทำอันใดผิด คุณหนูใหญ่จึงบังคับให้นางมาคุกเข่าถึงขั้นมิสนใจว่าอีกฝ่ายกระอักเลือดและเป็นหวัดหรือไม่
พวกสาวใช้ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเบา ๆ แต่เสียงนั้นยังลอยมาเข้าหูอันหลิงเกออย่างชัดเจน
หรือวันนี้หลี่ซื่อต้องการแสดงบทน่าสงสารเพียงอย่างเดียว ?
อันหลิงเกอเลิกคิ้วขึ้น มุมปากฉีกยิ้มที่มีความหมายบางอย่างแฝงอยู่
หากเป็นเช่นนั้นจริงนางคงมองหลี่ซื่อผิดไป
หลี่ซื่อเจ้าเล่ห์และเจ้าแผนการ เป้าหมายย่อมมิมีทางเรียบง่ายเช่นนี้
แม้อันหลิงเกอคิดเช่นนั้นก็มิได้แสดงสีหน้าอันใดออกมา จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “หลี่อี๋เหนียงอย่าตำหนิว่าข้าทำให้ท่านขายหน้าเลย เมื่อวานนี้ตอนที่ท่านเรียกแม่นมของเรือนท่านย่ามาตรวจร่างกายข้า ตัวข้าก็รู้สึกอับอายเช่นนี้”
อันหลิงเกอพูดถึงเรื่องที่หลี่ซื่อล่วงเกินนางก่อน จากนั้นก็กล่าวเสริม “แต่หากหลี่อี๋เหนียงมิได้คุยโวเอาไว้ว่าถ้าข้ามิใช่ตัวปลอม ท่านจักยอมเดินหนึ่งก้าวคุกเข่าคำนับหนึ่งก้าวจากเรือนของท่านมาถึงเรือนฉีอู๋ เรื่องวันนี้ก็คงมิเกิดขึ้น”
หลังจากอันหลิงเกอพูดจบ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าสาวใช้ก็ค่อย ๆ เบาลง
ที่แท้เรื่องที่หลี่ซื่อต้องมาคุกเข่าขอโทษก็มิใช่ความคิดของคุณหนูใหญ่ แต่เพราะนางใส่ร้ายคุณหนูใหญ่ก่อน มิหนำซ้ำยังกล่าวเองว่าจักทำเช่นนี้ก็ถือว่าได้รับผลกรรมของตนเองแล้ว
ทำให้พวกนางรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวทันที เมื่อครู่ที่พวกนางตำหนิอันหลิงเกอก็เพราะมิรู้ความจริงแล้วพูดกันไปต่าง ๆ นานา ตอนนี้เหมือนโดนความจริงตบหน้าเข้าอย่างจัง
หลี่ซื่อยังคุกเข่าอยู่ที่พื้นและเมื่อได้ยินคำพูดของอันหลิงเกอก็ค่อย ๆ ยืนขึ้น
นางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “เป็นความผิดของข้าเอง ข้าคิดว่าเกอเอ๋อมีนิสัยเปลี่ยนไปคล้ายเป็นคนละคนจึงเกรงว่าจักมีคนมาทำร้ายเจ้าแล้วสวมรอยเป็นเจ้าแทน ดังนั้นจึงสงสัยว่าเจ้าเป็นตัวปลอม เกอเอ๋อวางใจเถิด ต่อไปจักมิเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกแน่นอน”
ท่าทางยอมรับผิดของนางดูจริงใจมากเกินไป ต่อให้อันหลิงเกอรู้ว่าอีกฝ่ายมิมีทางปล่อยวางโดยง่ายเช่นนี้ ทว่าตอนนี้คงไหลตามน้ำไปก่อน
แต่เสียงแหบแห้งช่างแปลกหูเสียจริง ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็ยื่นมือออกไปจับข้อมือของหลี่ซื่อเอาไว้
หลี่ซื่อตกใจกำลังจักชักมือกลับแต่ก็มิทันการจึงทำได้เพียงมองอันหลิงเกอวางมือไว้ที่ข้อมือของตน นิ้วมือทั้งห้าสัมผัสอยู่บริเวณชีพจร
การเคลื่อนไหวของอันหลิงเกอรวดเร็วมาก พริบตาเดียวก็ชักมือกลับทันที
เพียงชั่วระยะเวลาพริบตานั้นก็พอที่นางจักตรวจสุขภาพของหลี่ซื่อได้แล้ว
หลังจากชักมือกลับ ใบหน้าของนางคล้ายจักยิ้มก็ยิ้มมิออกเสียทีเดียว
“ชีพจรของหลี่อี๋เหนียงมิเหมือนคนเป็นหวัดเพราะชีพจรของท่านหนักแน่นเต็มไปด้วยพลัง ไร้วี่แววของคนที่เป็นหวัดแม้แต่น้อย ทั้งยังดูมิออกด้วยว่าเมื่อวานท่านเพิ่งกระอักโลหิต เหตุใดเสียงของท่านจึงแหบแห้งเช่นนี้ ? ”
ทั้งที่เมื่อวานหลี่ซื่อโดนยั่วโทสะจนกระอักเลือด ร่างกายสมควรอ่อนแอแต่ชีพจรบ่งบอกว่าหลี่ซื่อมีสุขภาพแข็งแรงดี มิได้อ่อนแอแม้แต่น้อย
นอกจากเสียงที่แปลกไปแล้วก็มิพบสิ่งใดผิดปกติ
เมื่ออันหลิงเกอถามเช่นนี้ สีหน้าของหลี่ซื่อก็แข็งค้างทันที นางคาดมิถึงว่าอยู่ ๆ อันหลิงเกอจักยื่นมือออกมาตรวจชีพจรกันเยี่ยงนี้
หรืออันหลิงเกอเกิดสงสัยขึ้นมาแล้วหรือ ?
แต่การปลอมตัวของนางแนบเนียนเช่นนี้ อันหลิงเกอมิมีทางจับได้แน่นอน !
ดวงตาของนางกลิ้งกลอกไปมาดูลุกลี้ลุกลน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า “เกอเอ๋อ เจ้าคิดมากไปแล้ว ร่างกายของข้าแข็งแรงดี มิเช่นนั้นคงมิกล้าเดินคำนับมาถึงนี่เพื่อเป็นการขออภัยเจ้าหรอก”
นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาให้คนมาสนใจเรื่องคุกเข่าขอโทษอีกครั้งย่อมกระจ่างชัดแล้วว่ามิอยากให้อันหลิงเกอถามถึงประเด็นเรื่องเสียงอีก